ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คอมมิวนิสต์"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 16: | บรรทัดที่ 16: | ||
ในขั้นตอนของการเปลี่ยนผ่าน การปฏิวัติจะนำสังคมเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ เพื่อขจัดชนชั้นนายทุน ขจัดสถาบันทรัพย์สินส่วนบุคคล ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทำให้ทุกคนเสมอเท่าเทียมกัน ไม่มีการกดขี่ขูดรีด ทุกคนมีอิสรเสรีในการกินการอยู่ รัฐที่เป็นเครื่องมือของชนชั้นที่แข็งแรงกว่า ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือกดขี่ชนชั้นที่อ่อนแอกว่าจะเหี่ยวแห้งหายไปในที่สุด เพราะไม่มีชนชั้นเหลืออยู่ให้กดขี่อีกต่อไป แนวคิดมาร์กซ ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 7 ประการ ดังต่อไปนี้ | ในขั้นตอนของการเปลี่ยนผ่าน การปฏิวัติจะนำสังคมเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ เพื่อขจัดชนชั้นนายทุน ขจัดสถาบันทรัพย์สินส่วนบุคคล ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทำให้ทุกคนเสมอเท่าเทียมกัน ไม่มีการกดขี่ขูดรีด ทุกคนมีอิสรเสรีในการกินการอยู่ รัฐที่เป็นเครื่องมือของชนชั้นที่แข็งแรงกว่า ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือกดขี่ชนชั้นที่อ่อนแอกว่าจะเหี่ยวแห้งหายไปในที่สุด เพราะไม่มีชนชั้นเหลืออยู่ให้กดขี่อีกต่อไป แนวคิดมาร์กซ ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 7 ประการ ดังต่อไปนี้ | ||
1. '''วัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์''' (Historical materialism) | '''1.''' '''วัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์''' '''(Historical materialism)''' หมายถึง หลักการที่ให้ความสำคัญแก่การดำรงชีพในทางเศรษฐกิจและสภาวะที่ผู้คนทำการผลิตเพื่อการดำรงชีพ มาร์กซ ถือว่าฐานการผลิตได้แก่ วิถีการผลิตหรือระบบเศรษฐกิจ เป็นเงื่อนไขหรือปัจจัยกำหนดโครงสร้างส่วนบนอันได้แก่อุดมการณ์และระบบการเมือง แนวคิดเช่นว่านี้ หมายความว่า พัฒนาการทางสังคมและประวัติศาสตร์สามารถอธิบาได้ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจและชนชั้นทางสังคม ซึ่งในเวลาต่อมาชาวมาร์กซิสต์ถือเป็นกฎตายตัวที่ใช้อธิบายพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษย์ | ||
2. '''การเปลี่ยนแปลงแบบวิภาษวิธี''' (Dialectical change) มาร์กซ เชื่อว่าพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์คือวิภาษวิธี ซึ่งหมายถึงกระบวนการขับเขี้ยวต่อสู้ระหว่างพลังที่แข่งขันกันที่มีผลทำให้เกิดการพัฒนาสู่ขั้นตอนที่สูงขึ้น และผลที่ตามมาคือการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์อันเกิดจากความขัดแย้งภายในของวิถีการผลิต และสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปของความเป็นอริกันทางชนชั้น | '''2.''' '''การเปลี่ยนแปลงแบบวิภาษวิธี''' '''(Dialectical change)''' มาร์กซ เชื่อว่าพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์คือวิภาษวิธี ซึ่งหมายถึงกระบวนการขับเขี้ยวต่อสู้ระหว่างพลังที่แข่งขันกันที่มีผลทำให้เกิดการพัฒนาสู่ขั้นตอนที่สูงขึ้น และผลที่ตามมาคือการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์อันเกิดจากความขัดแย้งภายในของวิถีการผลิต และสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปของความเป็นอริกันทางชนชั้น | ||
3. '''การแปลกแยก''' (Alienation) หมายถึงกระบวนการในระบบทุนนิยมที่แรงงานถูกลดคุณค่าลงมาเป็นเพียงสินค้า และงานกลายเป็นกิจกรรมที่ไม่คำนึงความเป็นมนุษย์ ในมุมมองข้างต้น คนงานแปลกแยกออกจากผลผลิตที่เกิดจากแรงงานของเขา แปลกแยกจากกระบวนการแรงงาน แปลกแยกจากเพื่อนร่วมงาน และแปลกแยกจากตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดสร้างสรรค์และสัตว์ทางสังคม | '''3.''' '''การแปลกแยก''' '''(Alienation)''' หมายถึงกระบวนการในระบบทุนนิยมที่แรงงานถูกลดคุณค่าลงมาเป็นเพียงสินค้า และงานกลายเป็นกิจกรรมที่ไม่คำนึงความเป็นมนุษย์ ในมุมมองข้างต้น คนงานแปลกแยกออกจากผลผลิตที่เกิดจากแรงงานของเขา แปลกแยกจากกระบวนการแรงงาน แปลกแยกจากเพื่อนร่วมงาน และแปลกแยกจากตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดสร้างสรรค์และสัตว์ทางสังคม | ||
4. '''การต่อสู้ทางชนชั้น''' (Class struggle) สาระสำคัญของการเป็นอริกันภายในสังคมทุนนิยมคือการดำรงอยู่ของทรัพย์สินส่วนบุคคล สิ่งนี้ก่อเกิดการแบ่งแยกระหว่างชนชั้นนายทุนที่เป็นเจ้าของเครื่องมือและปัจจัยการผลิต กับชนชั้นกรรมาชีพที่มิได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน และดำรงชีพด้วยการขายแรงงาน ชนชั้นนายทุนเป็นชนชั้นผู้ปกครอง นายทุนไม่เพียงมีอำนาจทางเศรษฐกิจเนื่องจากมีทรัพย์สมบัติ แต่ยังใช้อำนาจทางการเมืองผ่านทางกลไกรัฐและทางอุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์ของพวกเขาคืออุดมการณ์การปกครองแห่งยุค | '''4.''' '''การต่อสู้ทางชนชั้น''' '''(Class struggle)''' สาระสำคัญของการเป็นอริกันภายในสังคมทุนนิยมคือการดำรงอยู่ของทรัพย์สินส่วนบุคคล สิ่งนี้ก่อเกิดการแบ่งแยกระหว่างชนชั้นนายทุนที่เป็นเจ้าของเครื่องมือและปัจจัยการผลิต กับชนชั้นกรรมาชีพที่มิได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน และดำรงชีพด้วยการขายแรงงาน ชนชั้นนายทุนเป็นชนชั้นผู้ปกครอง นายทุนไม่เพียงมีอำนาจทางเศรษฐกิจเนื่องจากมีทรัพย์สมบัติ แต่ยังใช้อำนาจทางการเมืองผ่านทางกลไกรัฐและทางอุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์ของพวกเขาคืออุดมการณ์การปกครองแห่งยุค | ||
5. '''มูลค่าส่วนเกิน''' (Surplus value) ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนายทุนกับชนชั้นกรรมาชีพ เป็นความสัมพันธ์เชิงขัดแย้งที่รอมชอมกันมิได้ สะท้อนความเป็นจริงว่า ในระบบทุนนิยม ชนชั้นแรงงานจะถูกขุดรีดโดยผลของโครงสร้างของระบบ มาร์กซ เชื่อว่ามูลค่าทั้งหมดเกิดจากแรงงานที่ใช้ไปในการผลิตสินค้า | '''5.''' '''มูลค่าส่วนเกิน''' '''(Surplus value)''' ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนายทุนกับชนชั้นกรรมาชีพ เป็นความสัมพันธ์เชิงขัดแย้งที่รอมชอมกันมิได้ สะท้อนความเป็นจริงว่า ในระบบทุนนิยม ชนชั้นแรงงานจะถูกขุดรีดโดยผลของโครงสร้างของระบบ มาร์กซ เชื่อว่ามูลค่าทั้งหมดเกิดจากแรงงานที่ใช้ไปในการผลิตสินค้า และการแสวงหากำไรของนายทุนบังคับให้นายทุนขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานโดยการจ่ายค่าจ้างให้น้อยกว่ามูลค่าของแรงงาน และโดยเหตุผลข้างต้น ระบบทุนนิยมจึงเป็นระบบที่ไม่มั่นคงตลอดเวลา เพราะชนชั้นกรรมาชีพมิอาจรอมชอมทนการขูดรีดและกดขี่ได้ตลอดไป | ||
6. '''การปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ''' (Proletarian revolution) | '''6.''' '''การปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ''' '''(Proletarian revolution)''' มาร์กซ เชื่อว่าระบบทุนนิยมจะต้องสิ้นสุด นายทุนที่ขูดรีดผู้ใช้แรงงาน นั่นคือการขุดหลุมฝังศพตัวเอง ตามการวิเคราะห์ของมาร์กซ ระบบทุนนิยมจะเผชิญกับวิกฤตการณ์ระรอกแล้วระรอกเล่า และจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อันเนื่องจากการผลิตเกินความต้องการ สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ชนชั้นกรรมาชีพเกิดความสำนึกทางชนชั้นในการปฏิวัติ มาร์กซ เห็นว่าการปฏิวัติเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ และพยากรณ์ว่าจะอุบัติขึ้นโดยสถานการณ์บังคับ โดยมีเป้าหมายเพื่อยึดครองและควบคุมปัจจัยการผลิต อย่างไรก็ดี มาร์กซ มีมุมมองเปลี่ยนไปในภายหลังว่าอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธีตามแนวทางสังคมนิยม | ||
7. '''สังคมคอมมิวนิสต์''' (Communism) มาร์กซ พยากรณ์ว่าการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพจะนำมาสู่ขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านสู่ช่วงเวลาของการปกครองในระบอบสังคมนิยม “เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ” | '''7.''' '''สังคมคอมมิวนิสต์''' '''(Communism)''' มาร์กซ พยากรณ์ว่าการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพจะนำมาสู่ขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านสู่ช่วงเวลาของการปกครองในระบอบสังคมนิยม “เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ” ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการสกัดและต่อต้านการต้านการปฏิวัติที่ก่อขึ้นโดยชนชั้นนายทุนที่ถูกยึดทรัพย์สมบัติ อย่างไรก็ดี เมื่อความเป็นอริทางชนชั้นจางหายไป และสังคมเปลี่ยนเข้าสู่สังคมคอมมิวนิสต์เต็มรูปแบบ รัฐที่ปกครองโดยชนชั้นกรรมาชีพก็จะละลายหายไป สังคมคอมมิวนิสต์จะเป็นสังคมที่ปราศจากชนชั้นในความหมายที่ว่าทุกคนจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน และระบบการผลิตสิ่งของอุปโภคบริโภคจะเป็นการผลิตเพื่อใช้และเพื่อความพึงพอใจในการสนองความจำเป็นของมนุษย์ และโดยการเปลี่ยนแปลงที่ว่า ประวัติศาสตร์ยุคที่มนุษย์จะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเองและบรรลุถึงศักยภาพของตนอย่างเต็มที่จะเริ่มต้นขึ้น | ||
'''แนวคิดเลนิน''' เป็นการเสริมเติมหรือแก้ไขแนวคิดของ มาร์กซ ในส่วนที่ว่าชนชั้นกรรมาชีพจะเกิดสำนึกในการเป็นชนชั้นของพวกตน | '''แนวคิดเลนิน''' เป็นการเสริมเติมหรือแก้ไขแนวคิดของ มาร์กซ ในส่วนที่ว่าชนชั้นกรรมาชีพจะเกิดสำนึกในการเป็นชนชั้นของพวกตน และผนึกกำลังกันโค่นล้มระบบทุนนิยมโดยพัฒนาการของสังคมทุนนิยมที่กดขี่ขูดรีดรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ในประเด็นนี้ เลนิน เกรงว่าชนชั้นกรรมชีพจะถูกชักนำให้หลงผิดโดยแนวความคิดและความเชื่อของชนชั้นนายทุน จะไม่สามารถบรรลุถึงขั้นที่จะก่อการปฏิวัติล้มระบบทุนนิยม เนื่องจากไม่อาจก้าวผ่านขั้นสำนึกความเป็นสหภาพแรงงาน อันหมายถึงความปรารถนาเพียงปรับปรุงเงื่อนไขการทำงานและความเป็นอยู่ มากกว่าการที่จะโค่นล้มระบบทุนนิยม ด้วยเหตุผลข้างต้น พรรคแนวปฏิวัติที่ติดอาวุธด้วยแนวคิดมาร์กซ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำหน้าที่เป็นแกนนำของชนชั้นกรรมาชีพ พรรคการเมืองที่ว่านี้จะเป็นพรรคการเมืองชนิดใหม่ ไม่ใช่พรรคแนวมวลชน แต่เป็นพรรคที่ถักทอเข้าด้วยกันอย่างเหนียวแน่น ด้วยอาสาสมัครมืออาชีพและมุ่งมั่นสามารถจะทำหน้าที่เป็นผู้นำทางอุดมการณ์ การจัดตั้งองค์การของพรรคยึดหลักประชาธิปไตยรวมศูนย์ อันเป็นหลักการว่าด้วยเสรีภาพในการอภิปรายผสมกับเอกภาพในการปฏิบัติ ด้วยแนวคิดข้างต้น เมื่อเลนินยึดอำนาจการปกครองในรัสเซียได้ในปี 1917 จึงดำเนินการปกครองในระบอบสังคมนิยมเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ ภายใต้การนำของพรรคบอลเชวิค (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคคอมมิวนิสต์) เพียงพรรคการเมืองเดียว | ||
'''แนวคิดสตาลิน''' | '''แนวคิดสตาลิน''' เป็นเรื่องการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นแบบแผนปฏิบัติกันต่อ ๆ มาในประเทศที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น จีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม คิวบา และอาจถือได้ว่าเป็นหลักการเพิ่มเติมในการสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ตามแนวคิดของมาร์กซ การปฏิวัติครั้งที่ 2 ในสหภาพโซเวียต นำโดยสตาลิน ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมากกว่าการปฏิวัติครั้งก่อนที่นำโดยเลนิน การปฏิวัติครั้งนี้มีที่มาจากความคิดที่ว่าจะสร้างระบอบสังคมนิยมในประเทศเดียวเป็นแบบอย่างแทนการส่งออกการปฏิวัติทั่วโลก แนวคิดสตาลินในทางเศรษฐกิจ คือการวางแผนเศรษฐกิจ 5 ปี สตาลินเริ่มแผน 5 ปี แผนที่ 1 ในปี 1928 ด้วยการขจัดวิสาหกิจเอกชนอย่างทันทีทันใด และตามด้วยระบบนารวมหรือคอมมูนการเกษตรในปี 1929 ทรัพยากรและเครื่องมือต่าง ๆ ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ และระบบการวางแผนจากส่วนกลางชี้นำโดยคณะกรรมการวางแผนของรัฐได้อุบัติขึ้น และที่ร้ายกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็รุนแรงไม่น้อยกว่ากัน สตาลินได้ใช้อำนาจเผด็จการขจัดกวาดล้างศัตรูฝ่ายตรงข้าม และเปลี่ยนสหภาพโซเวียตเป็นรัฐส่วนบุคคล | ||
| มาตรการรุนแรงที่ฝ่ายแรงงานใช้ต่อสู้กับฝ่ายนายทุน เช่น การหยุดงานประท้วง การชุมนุมประท้วงรัฐบาล หรือกรณีที่พรรคคอมมิวนิสต์ในบางประเทศใช้กำลังความรุนแรงต่อสู้กับรัฐบาล หรือพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศที่ประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจรัฐ เช่น รัสเซีย จีน แล้วใช้อำนาจเผด็จการยึดทรัพย์สิน หรือลงโทษผู้มีฐานะมั่งคั่งด้วยการประหารชีวิตอย่างไร้ความปราณี ทำให้ระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์ในสายตาของชาวโลกกลายเป็นลัทธิโหดร้ายป่าเถื่อนเกินมนุษย์ ทั้ง ๆ ที่รากเหง้าของแนวคิดคอมมิวนิสต์คือความปรารถนาดีที่ต้องการจะเห็นมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม หลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากความไม่เป็นธรรม | ||
บรรทัดที่ 47: | บรรทัดที่ 47: | ||
Tucker, Robert C. (ed.), The Marx-Engels Reader, New York: W.W. Norton, 1972. | Tucker, Robert C. (ed.), The Marx-Engels Reader, New York: W.W. Norton, 1972. | ||
[[หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:20, 18 มิถุนายน 2568
ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
คอมมิวนิสต์
คอมมิวนิสต์ (communism) คือ ลัทธิเศรษฐกิจการเมืองที่ใฝ่ฝันจะทำให้เกิดสภาวะทางสังคมในอุดมคติที่บุคคลมีความเสมอเท่าเทียมกัน เป็นเจ้าของทรัพย์สิน ปัจจัยการผลิต เช่น ที่ดิน เครื่องจักร อุปกรณ์การผลิต ร่วมกัน ทุกคนมีอิสรเสรีในการทำงานและการดำรงชีพ ไม่มีความสัมพันธ์ในรูปแบบนายจ้างลูกจ้าง ทุกคนทำงานรับใช้สังคมตามความสามารถ และบริโภคตามความต้องการ (from each according to his ability, to each according to his needs.) เป็นสังคมที่ทุกคนมีอิสรเสรี มีกินมีใช้อย่างพร้อมเพรียงดังเช่นสังคมพระศรีอารยะ
แนวคิดของมาร์กซในเรื่องสังคมคอมมิวนิสต์นี้ เข้าใจว่าได้รับอิทธิพลจาก the Old testament คัมภีร์ศาสนาฮิบรูที่มีความเก่าแก่กว่า 3,000 ปี ที่สื่อความหมายว่าทรัพย์สินเป็นมรดกทางศีลธรรม เป็นพันธะความรับผิดชอบทางสังคม เป็นความไว้วางใจที่มอบให้บุคคล ไม่ใช่สิทธิ และจาก the New Testament คัมภีร์ศาสนาคริสต์ ที่พรรณนาถึงสังคมคริสเตียนภายหลังเหตุการณ์พระเยซูถูกตึงไม้กางเขนไม่นานว่า “บรรดาผู้เลื่อมใสศรัทธาร่วมกัน นำสิ่งของทั้งหมดมารวมกัน และพวกเขาขายทรัพย์สมบัติและสินค้าที่มีนั้น และแจกจ่ายแก่คนทั้งหลายที่ต้องการ”
ในอีกความหมายหนึ่ง คอมมิวนิสต์ หมายถึง ระบอบการปกครองที่กระทำการเพื่อปลดปล่อยชนชั้นกรรมาชีพและสร้างสังคมสันติสุขที่ทุกคนเสมอเท่าเทียมกันและมีเสรีภาพในการดำรงชีพ โดยยึดถือแนวคิดมาร์กซ (Marxism) และแนวคิดเลนิน (Leninism) เป็นหลักการปกครอง และถ้าดำเนินการตามแนวทางของสหภาพโซเวียตต้องเสริมด้วยหลักการของสตาลิน (Stalinism)
แนวคิดมาร์กซ เกิดจากการศึกษา ประสบการณ์ การวิพากษ์วิจารณ์ การเคลื่อนไหว และการเรียกร้องของ คาร์ล มาร์กซ์ (1818-1883) นักคิดชาวเยอรมันเชื้อชาติยิว ต่อสังคมทุนนิยมในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่กำลังเฟื่องฟู ที่มาร์กซเห็นว่านายทุนกดขี่ขูดรีดชนชั้นแรงงานอย่างรุนแรง มาร์กซ เชื่อว่าการกดขี่ขูดรีดของนายทุนต่อชนชั้นแรงงาน ทำให้ชนชั้นแรงงานกลายเป็นวัตถุทางการค้า ขูดรีดผลประโยชน์ส่วนเกินจากแรงงาน สร้างความมั่งคั่งบนความทุกข์ยากของแรงงาน ทำให้ชนชั้นแรงงานเกิดความตระหนักในความเป็นชนชั้น กลายเป็นพลังแปลกแยกจากชนชั้นนายทุน และจะลุกฮือทำการปฏิวัติโค่นล้มระบบทุนนิยมในที่สุด
ในขั้นตอนของการเปลี่ยนผ่าน การปฏิวัติจะนำสังคมเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ เพื่อขจัดชนชั้นนายทุน ขจัดสถาบันทรัพย์สินส่วนบุคคล ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทำให้ทุกคนเสมอเท่าเทียมกัน ไม่มีการกดขี่ขูดรีด ทุกคนมีอิสรเสรีในการกินการอยู่ รัฐที่เป็นเครื่องมือของชนชั้นที่แข็งแรงกว่า ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือกดขี่ชนชั้นที่อ่อนแอกว่าจะเหี่ยวแห้งหายไปในที่สุด เพราะไม่มีชนชั้นเหลืออยู่ให้กดขี่อีกต่อไป แนวคิดมาร์กซ ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 7 ประการ ดังต่อไปนี้
1. วัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ (Historical materialism) หมายถึง หลักการที่ให้ความสำคัญแก่การดำรงชีพในทางเศรษฐกิจและสภาวะที่ผู้คนทำการผลิตเพื่อการดำรงชีพ มาร์กซ ถือว่าฐานการผลิตได้แก่ วิถีการผลิตหรือระบบเศรษฐกิจ เป็นเงื่อนไขหรือปัจจัยกำหนดโครงสร้างส่วนบนอันได้แก่อุดมการณ์และระบบการเมือง แนวคิดเช่นว่านี้ หมายความว่า พัฒนาการทางสังคมและประวัติศาสตร์สามารถอธิบาได้ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจและชนชั้นทางสังคม ซึ่งในเวลาต่อมาชาวมาร์กซิสต์ถือเป็นกฎตายตัวที่ใช้อธิบายพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษย์
2. การเปลี่ยนแปลงแบบวิภาษวิธี (Dialectical change) มาร์กซ เชื่อว่าพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์คือวิภาษวิธี ซึ่งหมายถึงกระบวนการขับเขี้ยวต่อสู้ระหว่างพลังที่แข่งขันกันที่มีผลทำให้เกิดการพัฒนาสู่ขั้นตอนที่สูงขึ้น และผลที่ตามมาคือการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์อันเกิดจากความขัดแย้งภายในของวิถีการผลิต และสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปของความเป็นอริกันทางชนชั้น
3. การแปลกแยก (Alienation) หมายถึงกระบวนการในระบบทุนนิยมที่แรงงานถูกลดคุณค่าลงมาเป็นเพียงสินค้า และงานกลายเป็นกิจกรรมที่ไม่คำนึงความเป็นมนุษย์ ในมุมมองข้างต้น คนงานแปลกแยกออกจากผลผลิตที่เกิดจากแรงงานของเขา แปลกแยกจากกระบวนการแรงงาน แปลกแยกจากเพื่อนร่วมงาน และแปลกแยกจากตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดสร้างสรรค์และสัตว์ทางสังคม
4. การต่อสู้ทางชนชั้น (Class struggle) สาระสำคัญของการเป็นอริกันภายในสังคมทุนนิยมคือการดำรงอยู่ของทรัพย์สินส่วนบุคคล สิ่งนี้ก่อเกิดการแบ่งแยกระหว่างชนชั้นนายทุนที่เป็นเจ้าของเครื่องมือและปัจจัยการผลิต กับชนชั้นกรรมาชีพที่มิได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน และดำรงชีพด้วยการขายแรงงาน ชนชั้นนายทุนเป็นชนชั้นผู้ปกครอง นายทุนไม่เพียงมีอำนาจทางเศรษฐกิจเนื่องจากมีทรัพย์สมบัติ แต่ยังใช้อำนาจทางการเมืองผ่านทางกลไกรัฐและทางอุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์ของพวกเขาคืออุดมการณ์การปกครองแห่งยุค
5. มูลค่าส่วนเกิน (Surplus value) ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนายทุนกับชนชั้นกรรมาชีพ เป็นความสัมพันธ์เชิงขัดแย้งที่รอมชอมกันมิได้ สะท้อนความเป็นจริงว่า ในระบบทุนนิยม ชนชั้นแรงงานจะถูกขุดรีดโดยผลของโครงสร้างของระบบ มาร์กซ เชื่อว่ามูลค่าทั้งหมดเกิดจากแรงงานที่ใช้ไปในการผลิตสินค้า และการแสวงหากำไรของนายทุนบังคับให้นายทุนขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานโดยการจ่ายค่าจ้างให้น้อยกว่ามูลค่าของแรงงาน และโดยเหตุผลข้างต้น ระบบทุนนิยมจึงเป็นระบบที่ไม่มั่นคงตลอดเวลา เพราะชนชั้นกรรมาชีพมิอาจรอมชอมทนการขูดรีดและกดขี่ได้ตลอดไป
6. การปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ (Proletarian revolution) มาร์กซ เชื่อว่าระบบทุนนิยมจะต้องสิ้นสุด นายทุนที่ขูดรีดผู้ใช้แรงงาน นั่นคือการขุดหลุมฝังศพตัวเอง ตามการวิเคราะห์ของมาร์กซ ระบบทุนนิยมจะเผชิญกับวิกฤตการณ์ระรอกแล้วระรอกเล่า และจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อันเนื่องจากการผลิตเกินความต้องการ สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ชนชั้นกรรมาชีพเกิดความสำนึกทางชนชั้นในการปฏิวัติ มาร์กซ เห็นว่าการปฏิวัติเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ และพยากรณ์ว่าจะอุบัติขึ้นโดยสถานการณ์บังคับ โดยมีเป้าหมายเพื่อยึดครองและควบคุมปัจจัยการผลิต อย่างไรก็ดี มาร์กซ มีมุมมองเปลี่ยนไปในภายหลังว่าอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธีตามแนวทางสังคมนิยม
7. สังคมคอมมิวนิสต์ (Communism) มาร์กซ พยากรณ์ว่าการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพจะนำมาสู่ขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านสู่ช่วงเวลาของการปกครองในระบอบสังคมนิยม “เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ” ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการสกัดและต่อต้านการต้านการปฏิวัติที่ก่อขึ้นโดยชนชั้นนายทุนที่ถูกยึดทรัพย์สมบัติ อย่างไรก็ดี เมื่อความเป็นอริทางชนชั้นจางหายไป และสังคมเปลี่ยนเข้าสู่สังคมคอมมิวนิสต์เต็มรูปแบบ รัฐที่ปกครองโดยชนชั้นกรรมาชีพก็จะละลายหายไป สังคมคอมมิวนิสต์จะเป็นสังคมที่ปราศจากชนชั้นในความหมายที่ว่าทุกคนจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน และระบบการผลิตสิ่งของอุปโภคบริโภคจะเป็นการผลิตเพื่อใช้และเพื่อความพึงพอใจในการสนองความจำเป็นของมนุษย์ และโดยการเปลี่ยนแปลงที่ว่า ประวัติศาสตร์ยุคที่มนุษย์จะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเองและบรรลุถึงศักยภาพของตนอย่างเต็มที่จะเริ่มต้นขึ้น
แนวคิดเลนิน เป็นการเสริมเติมหรือแก้ไขแนวคิดของ มาร์กซ ในส่วนที่ว่าชนชั้นกรรมาชีพจะเกิดสำนึกในการเป็นชนชั้นของพวกตน และผนึกกำลังกันโค่นล้มระบบทุนนิยมโดยพัฒนาการของสังคมทุนนิยมที่กดขี่ขูดรีดรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ในประเด็นนี้ เลนิน เกรงว่าชนชั้นกรรมชีพจะถูกชักนำให้หลงผิดโดยแนวความคิดและความเชื่อของชนชั้นนายทุน จะไม่สามารถบรรลุถึงขั้นที่จะก่อการปฏิวัติล้มระบบทุนนิยม เนื่องจากไม่อาจก้าวผ่านขั้นสำนึกความเป็นสหภาพแรงงาน อันหมายถึงความปรารถนาเพียงปรับปรุงเงื่อนไขการทำงานและความเป็นอยู่ มากกว่าการที่จะโค่นล้มระบบทุนนิยม ด้วยเหตุผลข้างต้น พรรคแนวปฏิวัติที่ติดอาวุธด้วยแนวคิดมาร์กซ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำหน้าที่เป็นแกนนำของชนชั้นกรรมาชีพ พรรคการเมืองที่ว่านี้จะเป็นพรรคการเมืองชนิดใหม่ ไม่ใช่พรรคแนวมวลชน แต่เป็นพรรคที่ถักทอเข้าด้วยกันอย่างเหนียวแน่น ด้วยอาสาสมัครมืออาชีพและมุ่งมั่นสามารถจะทำหน้าที่เป็นผู้นำทางอุดมการณ์ การจัดตั้งองค์การของพรรคยึดหลักประชาธิปไตยรวมศูนย์ อันเป็นหลักการว่าด้วยเสรีภาพในการอภิปรายผสมกับเอกภาพในการปฏิบัติ ด้วยแนวคิดข้างต้น เมื่อเลนินยึดอำนาจการปกครองในรัสเซียได้ในปี 1917 จึงดำเนินการปกครองในระบอบสังคมนิยมเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ ภายใต้การนำของพรรคบอลเชวิค (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคคอมมิวนิสต์) เพียงพรรคการเมืองเดียว
แนวคิดสตาลิน เป็นเรื่องการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นแบบแผนปฏิบัติกันต่อ ๆ มาในประเทศที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น จีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม คิวบา และอาจถือได้ว่าเป็นหลักการเพิ่มเติมในการสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ตามแนวคิดของมาร์กซ การปฏิวัติครั้งที่ 2 ในสหภาพโซเวียต นำโดยสตาลิน ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมากกว่าการปฏิวัติครั้งก่อนที่นำโดยเลนิน การปฏิวัติครั้งนี้มีที่มาจากความคิดที่ว่าจะสร้างระบอบสังคมนิยมในประเทศเดียวเป็นแบบอย่างแทนการส่งออกการปฏิวัติทั่วโลก แนวคิดสตาลินในทางเศรษฐกิจ คือการวางแผนเศรษฐกิจ 5 ปี สตาลินเริ่มแผน 5 ปี แผนที่ 1 ในปี 1928 ด้วยการขจัดวิสาหกิจเอกชนอย่างทันทีทันใด และตามด้วยระบบนารวมหรือคอมมูนการเกษตรในปี 1929 ทรัพยากรและเครื่องมือต่าง ๆ ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ และระบบการวางแผนจากส่วนกลางชี้นำโดยคณะกรรมการวางแผนของรัฐได้อุบัติขึ้น และที่ร้ายกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็รุนแรงไม่น้อยกว่ากัน สตาลินได้ใช้อำนาจเผด็จการขจัดกวาดล้างศัตรูฝ่ายตรงข้าม และเปลี่ยนสหภาพโซเวียตเป็นรัฐส่วนบุคคล
มาตรการรุนแรงที่ฝ่ายแรงงานใช้ต่อสู้กับฝ่ายนายทุน เช่น การหยุดงานประท้วง การชุมนุมประท้วงรัฐบาล หรือกรณีที่พรรคคอมมิวนิสต์ในบางประเทศใช้กำลังความรุนแรงต่อสู้กับรัฐบาล หรือพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศที่ประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจรัฐ เช่น รัสเซีย จีน แล้วใช้อำนาจเผด็จการยึดทรัพย์สิน หรือลงโทษผู้มีฐานะมั่งคั่งด้วยการประหารชีวิตอย่างไร้ความปราณี ทำให้ระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์ในสายตาของชาวโลกกลายเป็นลัทธิโหดร้ายป่าเถื่อนเกินมนุษย์ ทั้ง ๆ ที่รากเหง้าของแนวคิดคอมมิวนิสต์คือความปรารถนาดีที่ต้องการจะเห็นมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม หลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากความไม่เป็นธรรม
บรรณานุกรม
Heywood, Andrew. Politics, London: Macmillan, 1997, pp. 80-84.
Lipson, Leslie. The great Issues of Politics: An Introduction to Political Science, Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice Hall, 1993, pp. 196-215.
Rodee, Carlton Clymer and others. Introduction to Political Science (4th ed.), New York: McGraw-Hill, 1983, pp. 80-82.
Tucker, Robert C. (ed.), The Marx-Engels Reader, New York: W.W. Norton, 1972.