ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ (Cartel Party)"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 3: | บรรทัดที่ 3: | ||
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' ''':''' รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต | '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' ''':''' รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต | ||
= <span style="font-size:x-large;">'''บทนำ'''</span> = | = <span style="font-size:x-large;">'''บทนำ'''</span> = | ||
'''พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ (Cartel Party)''' เป็นมโนทัศน์ที่ Richard Katz และ Peter Mair พัฒนาขึ้นเพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ของพรรคการเมืองในประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้าซึ่งแสดงบทบาทประหนึ่งกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ (cartel) โดยพรรคการเมืองที่อยู่ในระบบการเมืองอาศัยทรัพยากรของรัฐ และสมคบคิดกันกีดกันไม่ให้พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใหม่ ๆ เข้าสู่ระบบการเมืองเพื่อรับประกันความอยู่รอดของพรรคการเมืองในระบบ มโนทัศน์เรื่องพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจจึงเกี่ยวข้องกับพัฒนาการประชาธิปไตย (โดยเฉพาะในตะวันตก) การจัดองค์กรของพรรคการเมือง และการแข่งกันของพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้งด้วย ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจขึ้นนั้นมาจากการถดถอยของพรรคแนวมวลชนและการลดลงอย่างต่อเนื่องของสมาชิกพรรคการเมือง ที่เคยเป็นแหล่งที่มาหลักของเงินสนับสนุนพรรคการเมือง พรรคการเมืองในระบบจึงหันไปใช้ยุทธศาสตร์การรณรงค์หาเสียงที่ใช้ต้นทุนสูงและใช้เทคโนโลยีสื่อสารมวลชนสมัยใหม่เพื่อดึงดูดการสนับสนุนจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามด้วยต้นทุนทางการเมืองที่สูงขึ้น พรรคการเมืองจึงหันไปหาการสนับสนุนจากรัฐ (state subventions) เพื่อทดแทนการสนับสนุนจากภาคประชาสังคม ผลก็คือ พรรคการเมืองที่มีความเป็นสถาบันสูงในระบบการเมืองค่อย ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐที่ร่วมมือกันแบ่งปันทรัพยากรและกีดกันตัวแสดงทางการเมืองใหม่ไม่ให้เข้าสู่ระบบและเพื่อประกันส่วนแบ่งในตลาดการเมืองนั่นเอง | '''พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ (Cartel Party)''' เป็นมโนทัศน์ที่ Richard Katz และ Peter Mair พัฒนาขึ้นเพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ของพรรคการเมืองในประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้าซึ่งแสดงบทบาทประหนึ่งกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ (cartel) โดยพรรคการเมืองที่อยู่ในระบบการเมืองอาศัยทรัพยากรของรัฐ และสมคบคิดกันกีดกันไม่ให้พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใหม่ ๆ เข้าสู่ระบบการเมืองเพื่อรับประกันความอยู่รอดของพรรคการเมืองในระบบ มโนทัศน์เรื่องพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจจึงเกี่ยวข้องกับพัฒนาการประชาธิปไตย (โดยเฉพาะในตะวันตก) การจัดองค์กรของพรรคการเมือง และการแข่งกันของพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้งด้วย ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจขึ้นนั้นมาจากการถดถอยของพรรคแนวมวลชนและการลดลงอย่างต่อเนื่องของสมาชิกพรรคการเมือง ที่เคยเป็นแหล่งที่มาหลักของเงินสนับสนุนพรรคการเมือง พรรคการเมืองในระบบจึงหันไปใช้ยุทธศาสตร์การรณรงค์หาเสียงที่ใช้ต้นทุนสูงและใช้เทคโนโลยีสื่อสารมวลชนสมัยใหม่เพื่อดึงดูดการสนับสนุนจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามด้วยต้นทุนทางการเมืองที่สูงขึ้น พรรคการเมืองจึงหันไปหาการสนับสนุนจากรัฐ (state subventions) เพื่อทดแทนการสนับสนุนจากภาคประชาสังคม ผลก็คือ พรรคการเมืองที่มีความเป็นสถาบันสูงในระบบการเมืองค่อย ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐที่ร่วมมือกันแบ่งปันทรัพยากรและกีดกันตัวแสดงทางการเมืองใหม่ไม่ให้เข้าสู่ระบบและเพื่อประกันส่วนแบ่งในตลาดการเมืองนั่นเอง | ||
= <span style="font-size:x-large;">'''มโนทัศน์ว่าด้วย "พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ"'''</span> = | = <span style="font-size:x-large;">'''มโนทัศน์ว่าด้วย "พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ"'''</span> = | ||
บรรทัดที่ 16: | บรรทัดที่ 12: | ||
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 งานวิชาการเกี่ยวกับพรรคการเมืองต่างวิตกกังวลกับแนวโน้มความเสื่อมถอยของบทบาทพรรคการเมืองในประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้า (advanced democratic countries) ทว่า Richard Katz และ Peter Mair กลับโต้แย้งว่า ข้อวิเคราะห์ดังกล่าวนอกจากจะไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองแล้วยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับพัฒนาการของพรรคการเมืองในโลกประชาธิปไตยตะวันตก กล่าวคือความกังวลเหล่านั้นยึดถือตัวแบบพรรคการเมืองแนวมวลชน (mass-based parties) เป็นบรรทัดฐานในการประเมินการออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งที่น้อยลงและจำนวนสมาชิกพรรคที่ลดลงว่าเป็นแนวโน้มของความเสื่อมถอยของพรรคการเมือง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วพรรคการเมืองในระบบการเมืองกำลังปรับตัวอันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมที่ถดถอยลงดังกล่าว[[#_ftn1|[1]]] | ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 งานวิชาการเกี่ยวกับพรรคการเมืองต่างวิตกกังวลกับแนวโน้มความเสื่อมถอยของบทบาทพรรคการเมืองในประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้า (advanced democratic countries) ทว่า Richard Katz และ Peter Mair กลับโต้แย้งว่า ข้อวิเคราะห์ดังกล่าวนอกจากจะไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองแล้วยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับพัฒนาการของพรรคการเมืองในโลกประชาธิปไตยตะวันตก กล่าวคือความกังวลเหล่านั้นยึดถือตัวแบบพรรคการเมืองแนวมวลชน (mass-based parties) เป็นบรรทัดฐานในการประเมินการออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งที่น้อยลงและจำนวนสมาชิกพรรคที่ลดลงว่าเป็นแนวโน้มของความเสื่อมถอยของพรรคการเมือง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วพรรคการเมืองในระบบการเมืองกำลังปรับตัวอันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมที่ถดถอยลงดังกล่าว[[#_ftn1|[1]]] | ||
Katz และ Mair | Katz และ Mair เสนอว่าพัฒนาการนี้ได้นำไปสู่การเกิดตัวแบบใหม่ของพรรคการเมืองหรือที่เรียกว่า '''“พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ” (cartel parties)'''[[#_ftn2|[2]]] ซึ่งปรับตัวจากที่เคยพึ่งพาการมีส่วนร่วมและเงินสนับสนุนจากสมาชิกพรรคมาสู่การพึ่งพาเงินสนับสนุนของรัฐ บรรดาพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจจึงสมคบคิดกัน (collusion) แบ่งปันทรัพยากรดังกล่าวเพื่อใช้ในการบริหารจัดการองค์กรพรรคการเมืองและเพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อการประกันความอยู่รอดของพรรคการเมืองของตนและพันธมิตรในระบบการเมือง จึงพร้อมที่จะใช้ความได้เปรียบจากที่ตนเองเป็นพรรคที่มีความเป็นสถาบันสูง กีดกันและขัดขวางพรรคการเมืองเกิดใหม่ไม่ให้เข้ามาท้าทายและเพิ่มส่วนแบ่งจากทรัพยากรของรัฐที่มีอยู่อย่างจำกัด ในแง่นี้ การแข่งขันทางการเมืองในสนามเลือกตั้งจึงถูกแทนที่ด้วยการร่วมมือกันระหว่างพรรคการเมืองซึ่งมีตำแหน่งแห่งที่ในระบบการเมืองอยู่แล้ว | ||
พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ เริ่มปรากฏให้เห็นในประชาธิปไตยตะวันตกนับตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยเกิดขึ้นในบริบทที่สิทธิการเลือกตั้งถูกขยายออกไปสู่มวลชลอย่างกว้างขวาง (mass suffrage) เช่นเดียวกับการเกิดพรรคแนวมวลชนและพรรคแนวกินรวบ (catch-all party) แต่เป้าหมายทางการเมืองของพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจกลับเป็นการดำเนินการทางการเมืองเพื่อตนเอง (self-reference) เนื่องจากมองว่าการเมืองเป็นอาชีพซึ่งต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการสมัยใหม่เพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลทางการเมือง (managerial skills and efficiency) ในด้านการแข่งขันเลือกตั้งนั้นพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจมักใช้ทุนสูง (capital-intensive campaign) ทั้งยังอาศัยความได้เปรียบในการเข้าถึงช่องทางการสื่อสารที่รัฐควบคุมอยู่ ด้วยการพึ่งพาเงินสนับสนุนจากรัฐเป็นหลักเพื่อทดแทนการขาดหายไปของเงินบริจาคจากสมาชิกพรรคที่ลดลงอย่างมาก[[#_ftn3|[3]]] | พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ เริ่มปรากฏให้เห็นในประชาธิปไตยตะวันตกนับตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยเกิดขึ้นในบริบทที่สิทธิการเลือกตั้งถูกขยายออกไปสู่มวลชลอย่างกว้างขวาง (mass suffrage) เช่นเดียวกับการเกิดพรรคแนวมวลชนและพรรคแนวกินรวบ (catch-all party) แต่เป้าหมายทางการเมืองของพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจกลับเป็นการดำเนินการทางการเมืองเพื่อตนเอง (self-reference) เนื่องจากมองว่าการเมืองเป็นอาชีพซึ่งต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการสมัยใหม่เพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลทางการเมือง (managerial skills and efficiency) ในด้านการแข่งขันเลือกตั้งนั้นพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจมักใช้ทุนสูง (capital-intensive campaign) ทั้งยังอาศัยความได้เปรียบในการเข้าถึงช่องทางการสื่อสารที่รัฐควบคุมอยู่ ด้วยการพึ่งพาเงินสนับสนุนจากรัฐเป็นหลักเพื่อทดแทนการขาดหายไปของเงินบริจาคจากสมาชิกพรรคที่ลดลงอย่างมาก[[#_ftn3|[3]]] | ||
ในแง่นี้สนามเลือกตั้งจึงถูกจำกัดไว้เฉพาะพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจที่อยู่ในระบบการเมืองเท่านั้น เพราะสำหรับพรรคการเมืองเกิดใหม่แล้วดูจะเป็นเรื่องยากลำบากที่จะแข่งขันกับพรรคการเมืองเดิมในระบบที่มีความได้เปรียบแทบทุกด้านจนแทบจะเป็นเสมือนตัวแทนของรัฐ (agent of state) มากกว่าผู้แทนของประชาชน ที่สำคัญก็คือ พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจทำให้เส้นแบ่งระหว่างผู้ที่เป็นสมาชิกและผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเกิดความคลุมเครือ เนื่องจากพรรคมุ่งระดมการสนับสนุนจากปัจเจกชนคนใดก็ตามโดยไม่สนใจความเป็นสมาชิกพรรคหรือความเป็นกลุ่มก้อนเหมือนเช่นพรรคแนวมวลชน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สนับสนุนพรรคกับชนชั้นนำภายในพรรคจึงค่อนข้างเป็นอิสระจากกันและกัน (mutual autonomy)[[#_ftn4|[4]]] | ในแง่นี้สนามเลือกตั้งจึงถูกจำกัดไว้เฉพาะพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจที่อยู่ในระบบการเมืองเท่านั้น เพราะสำหรับพรรคการเมืองเกิดใหม่แล้วดูจะเป็นเรื่องยากลำบากที่จะแข่งขันกับพรรคการเมืองเดิมในระบบที่มีความได้เปรียบแทบทุกด้านจนแทบจะเป็นเสมือนตัวแทนของรัฐ (agent of state) มากกว่าผู้แทนของประชาชน ที่สำคัญก็คือ พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจทำให้เส้นแบ่งระหว่างผู้ที่เป็นสมาชิกและผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเกิดความคลุมเครือ เนื่องจากพรรคมุ่งระดมการสนับสนุนจากปัจเจกชนคนใดก็ตามโดยไม่สนใจความเป็นสมาชิกพรรคหรือความเป็นกลุ่มก้อนเหมือนเช่นพรรคแนวมวลชน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สนับสนุนพรรคกับชนชั้นนำภายในพรรคจึงค่อนข้างเป็นอิสระจากกันและกัน (mutual autonomy)[[#_ftn4|[4]]] | ||
= <span style="font-size:x-large;">'''กรณีศึกษาพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ'''</span> = | = <span style="font-size:x-large;">'''กรณีศึกษาพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ'''</span> = | ||
พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจไม่ได้เป็นขั้นสูงสุดของพัฒนาการของพรรคการเมือง แต่เป็นรูปแบบของพรรคที่ปรับตัวและผสมกลายพันธุ์มาจากพรรคแนวมวลชนและพรรคแนวกินรวบ การที่จะชี้ชัดว่าพรรคการเมืองใดหรือระบบพรรคในประเทศใดเป็นไปตามตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะตามปกติแล้วพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจต่างก็มีตะกอนบางอย่างของพรรคแนวมวลชนและพรรคแนวกินรวบด้วยกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจสามารถพบเห็นได้แพร่หลายในประชาธิปไตยตะวันตกมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ เหตุผลสำคัญ ก็คือ ระบบพรรคการเมืองในยุโรปตะวันตกมีความเป็นสถาบันสูง (high institutionalization) ซึ่งพรรคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งและกำหนดนโยบายสาธารณะ นอกจากนั้นแล้ว กระแสการเคลื่อนไหวนอกสภาเพื่อก่อตั้งพรรคการเมืองแนวมวลชนยังเป็นที่แพร่หลายในยุโรปมากกว่าภูมิภาคอื่น ซึ่งทำให้พรรคการเมืองเหล่านั้นมีผู้สนับสนุนด้านทรัพยากรและกำลังคนอย่างเด่นชัดเมื่อเปรียบเทียบกับในสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นการสนับสนุนผู้สมัครรายบุคคลมากกว่าพรรคการเมือง อย่างไรก็ตาม พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจก็อาจเกิดขึ้นได้ในระบบอำนาจนิยมอย่างประเทศรัสเซีย เป็นต้น | พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจไม่ได้เป็นขั้นสูงสุดของพัฒนาการของพรรคการเมือง แต่เป็นรูปแบบของพรรคที่ปรับตัวและผสมกลายพันธุ์มาจากพรรคแนวมวลชนและพรรคแนวกินรวบ การที่จะชี้ชัดว่าพรรคการเมืองใดหรือระบบพรรคในประเทศใดเป็นไปตามตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะตามปกติแล้วพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจต่างก็มีตะกอนบางอย่างของพรรคแนวมวลชนและพรรคแนวกินรวบด้วยกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจสามารถพบเห็นได้แพร่หลายในประชาธิปไตยตะวันตกมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ เหตุผลสำคัญ ก็คือ ระบบพรรคการเมืองในยุโรปตะวันตกมีความเป็นสถาบันสูง (high institutionalization) ซึ่งพรรคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งและกำหนดนโยบายสาธารณะ นอกจากนั้นแล้ว กระแสการเคลื่อนไหวนอกสภาเพื่อก่อตั้งพรรคการเมืองแนวมวลชนยังเป็นที่แพร่หลายในยุโรปมากกว่าภูมิภาคอื่น ซึ่งทำให้พรรคการเมืองเหล่านั้นมีผู้สนับสนุนด้านทรัพยากรและกำลังคนอย่างเด่นชัดเมื่อเปรียบเทียบกับในสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นการสนับสนุนผู้สมัครรายบุคคลมากกว่าพรรคการเมือง อย่างไรก็ตาม พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจก็อาจเกิดขึ้นได้ในระบบอำนาจนิยมอย่างประเทศรัสเซีย เป็นต้น | ||
= <span style="font-size:x-large;">'''กรณีเยอรมนีและเดนมาร์ก'''</span> = | = <span style="font-size:x-large;">'''กรณีเยอรมนีและเดนมาร์ก'''</span> = | ||
พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ มีแนวโน้มที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบร่วมมือกันระหว่างพรรคมากกว่าประเทศที่ระบบพรรคการเมืองคุ้นเคยกับการช่วงชิงแข่งขันเพื่อขึ้นเป็นรัฐบาล[[#_ftn5|[5]]] ในเยอรมนีพรรคซึ่งมีที่นั่งในรัฐสภามักแสวงหาโอกาสที่จะเพิ่มเงินสนับสนุนจากรัฐร่วมกัน ขณะที่ในเดนมาร์ก สัดส่วนรายได้ของพรรคจากภาคประชาสังคมก็ลดลงอย่างต่อเนื่องขณะที่เงินสนับสนุนภาครัฐเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[[#_ftn6|[6]]] ซึ่งพรรคการเมืองทั้งสองประเทศต่างมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกันเป็นพันธมิตรผ่านตัวแสดงทางการเมืองที่ร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามและพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในประเด็นทางการเมืองที่ไม่จำเป็น กล่าวคือ นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งไม่ได้มองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูทางการเมือง แต่มองว่าเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่ไม่เพียงจะสามารถทำงานร่วมกันในพรรคร่วมรัฐบาลและคณะกรรมาธิการของรัฐสภาเท่านั้น หากยังมีความร่วมมือในมิติของความสำเร็จส่วนบุคคล (เช่น รายได้ การได้รับเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง และความทะเยอทะยานในตำแหน่งที่สูงขึ้น) และมิติเชิงองค์กรของพรรค (เช่น การได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ และการได้รับการจัดสรรตำแหน่งผ่านพรรค) ซึ่งผลักดันให้พวกเขาพร้อมที่จะร่วมมือกันระหว่างพรรค (inter-party cooperation)[[#_ftn7|[7]]] โดยที่ระดับความเป็นมืออาชีพที่สูงของนักการเมืองของทั้งสองประเทศต่างเป็นปัจจัยที่ช่วยให้สองประเทศนี้เคลื่อนเข้าสู่ตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจและหยุดชะงักพัฒนาการของระบบพรรคการเมือง | พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ มีแนวโน้มที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบร่วมมือกันระหว่างพรรคมากกว่าประเทศที่ระบบพรรคการเมืองคุ้นเคยกับการช่วงชิงแข่งขันเพื่อขึ้นเป็นรัฐบาล[[#_ftn5|[5]]] ในเยอรมนีพรรคซึ่งมีที่นั่งในรัฐสภามักแสวงหาโอกาสที่จะเพิ่มเงินสนับสนุนจากรัฐร่วมกัน ขณะที่ในเดนมาร์ก สัดส่วนรายได้ของพรรคจากภาคประชาสังคมก็ลดลงอย่างต่อเนื่องขณะที่เงินสนับสนุนภาครัฐเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[[#_ftn6|[6]]] ซึ่งพรรคการเมืองทั้งสองประเทศต่างมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกันเป็นพันธมิตรผ่านตัวแสดงทางการเมืองที่ร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามและพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในประเด็นทางการเมืองที่ไม่จำเป็น กล่าวคือ นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งไม่ได้มองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูทางการเมือง แต่มองว่าเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่ไม่เพียงจะสามารถทำงานร่วมกันในพรรคร่วมรัฐบาลและคณะกรรมาธิการของรัฐสภาเท่านั้น หากยังมีความร่วมมือในมิติของความสำเร็จส่วนบุคคล (เช่น รายได้ การได้รับเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง และความทะเยอทะยานในตำแหน่งที่สูงขึ้น) และมิติเชิงองค์กรของพรรค (เช่น การได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ และการได้รับการจัดสรรตำแหน่งผ่านพรรค) ซึ่งผลักดันให้พวกเขาพร้อมที่จะร่วมมือกันระหว่างพรรค (inter-party cooperation)[[#_ftn7|[7]]] โดยที่ระดับความเป็นมืออาชีพที่สูงของนักการเมืองของทั้งสองประเทศต่างเป็นปัจจัยที่ช่วยให้สองประเทศนี้เคลื่อนเข้าสู่ตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจและหยุดชะงักพัฒนาการของระบบพรรคการเมือง | ||
= <span style="font-size:x-large;">'''กรณีสเปนและโปรตุเกส'''</span> = | = <span style="font-size:x-large;">'''กรณีสเปนและโปรตุเกส'''</span> = | ||
ในประเทศ ประชาธิปไตยเกิดใหม่ (emerging democracies) อย่างสเปนและโปรตุเกส ช่วงปลายทศวรรษ 1990 นั้นแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าพรรคการเมืองที่มีบทบาทนำอย่าง Socialist Party (the PSOE) และ Popular Party (PP) ในสเปน และ Social Democrats (PSD) และ Socialists (PS)<br/> ในโปรตุเกส พึ่งพาเงินสนับสนุนจากรัฐเป็นหลักเพื่อใช้ในกิจการภายในพรรคการเมือง (routine activities) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหนึ่งของการเคลื่อนเข้าสู่ตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ[[#_ftn8|[8]]] โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่พรรคการเมืองเหล่านี้ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะแสวงหารายได้จากแหล่งอื่นในช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยพึ่งที่จะกลายเป็นฉันทามติใหม่ทางการเมืองของประเทศ ด้วยการจัดสรรเงินสนับสนุนภาครัฐที่อิงคะแนนเสียงที่ได้รับและจำนวนที่นั่งในสภา (share of votes and seats) จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่พรรคการเมืองใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งจะได้รับเงินสนับสนุนมากกว่าพรรคอื่น ๆ ที่รองลงมา นี่เท่ากับเป็นการลดโอกาสที่พรรคเล็ก ๆ และพรรคก่อตั้งใหม่จะสามารถเข้าสู่ระบบการเมืองได้[[#_ftn9|[9]]] อย่างไรก็ตาม แม้ดูเหมือนว่าพรรคการเมืองในสองประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่จะมีแนวโน้มที่จะเป็นคนไกลของรัฐ ทว่าเงินสนับสนุนจากภาครัฐของทั้งสองประเทศกลับเสริมแรงให้สำนักงานส่วนกลางของพรรคการเมืองสามารถกระชับอำนาจได้มากขึ้น จนมีอิทธิพลเหนือสมาชิกและผู้แทนราษฎรของพรรคทั้งหมด[[#_ftn10|[10]]] ซึ่งแตกต่างจากแนวโน้มที่เกิดขึ้นในประชาธิปไตยตะวันตกอื่น ๆ ที่ทรัพยากรทางการเงินและอภิสิทธิ์ทางการเมืองกระจุกตัวอยู่ที่ผู้มีตำแหน่งสาธารณะ เช่น ตำแหน่งในรัฐบาลและตำแหน่งในรัฐสภา เป็นต้น | ในประเทศ ประชาธิปไตยเกิดใหม่ (emerging democracies) อย่างสเปนและโปรตุเกส ช่วงปลายทศวรรษ 1990 นั้นแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าพรรคการเมืองที่มีบทบาทนำอย่าง Socialist Party (the PSOE) และ Popular Party (PP) ในสเปน และ Social Democrats (PSD) และ Socialists (PS)<br/> ในโปรตุเกส พึ่งพาเงินสนับสนุนจากรัฐเป็นหลักเพื่อใช้ในกิจการภายในพรรคการเมือง (routine activities) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหนึ่งของการเคลื่อนเข้าสู่ตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ[[#_ftn8|[8]]] โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่พรรคการเมืองเหล่านี้ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะแสวงหารายได้จากแหล่งอื่นในช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยพึ่งที่จะกลายเป็นฉันทามติใหม่ทางการเมืองของประเทศ ด้วยการจัดสรรเงินสนับสนุนภาครัฐที่อิงคะแนนเสียงที่ได้รับและจำนวนที่นั่งในสภา (share of votes and seats) จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่พรรคการเมืองใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งจะได้รับเงินสนับสนุนมากกว่าพรรคอื่น ๆ ที่รองลงมา นี่เท่ากับเป็นการลดโอกาสที่พรรคเล็ก ๆ และพรรคก่อตั้งใหม่จะสามารถเข้าสู่ระบบการเมืองได้[[#_ftn9|[9]]] อย่างไรก็ตาม แม้ดูเหมือนว่าพรรคการเมืองในสองประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่จะมีแนวโน้มที่จะเป็นคนไกลของรัฐ ทว่าเงินสนับสนุนจากภาครัฐของทั้งสองประเทศกลับเสริมแรงให้สำนักงานส่วนกลางของพรรคการเมืองสามารถกระชับอำนาจได้มากขึ้น จนมีอิทธิพลเหนือสมาชิกและผู้แทนราษฎรของพรรคทั้งหมด[[#_ftn10|[10]]] ซึ่งแตกต่างจากแนวโน้มที่เกิดขึ้นในประชาธิปไตยตะวันตกอื่น ๆ ที่ทรัพยากรทางการเงินและอภิสิทธิ์ทางการเมืองกระจุกตัวอยู่ที่ผู้มีตำแหน่งสาธารณะ เช่น ตำแหน่งในรัฐบาลและตำแหน่งในรัฐสภา เป็นต้น | ||
= <span style="font-size:x-large;">'''กรณีสหพันธรัฐรัสเซีย'''</span> = | = <span style="font-size:x-large;">'''กรณีสหพันธรัฐรัสเซีย'''</span> = | ||
ในกรณีของรัสเซียแสดงให้เห็นการปรากฎขึ้นของ พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ ในมิติที่ต่างไปจากประชาธิปไตยตะวันตก แม้นักวิชาการจำนวนมากจะลงความเห็นว่าระบบการปกครองของรัสเซียเอนเอียงไปในทางอำนาจนิยมเพราะมีเพียง พรรค United Russia (UR) ของวลาดิเมีย ปูติน เท่านั้น ที่ชนะเลือกตั้งจนได้เป็นรัฐบาล[[#_ftn11|[11]]] แต่ในความเป็นจริงแล้วระหว่าง ปี ค.ศ. 2007 ถึง 2016 มีพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาดูมาอีกสามพรรค ได้แก่ Fair Russia (FR), Liberal Democratic Party of Russia (LDPR) และ Communist Party of the Russian Federation (CPRF) โดยสองพรรคแรกเข้าร่วมกับ United Russia ขณะที่ พรรคคอมมิวนิสต์ แสดงออกอย่างเด่นชัดว่ามีอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกับสามพรรคฝ่ายรัฐบาล[[#_ftn12|[12]]] (910) อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมทางการเมืองของ พรรคคอมมิวนิสต์ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็น พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ กับ พรรคที่สนับสนุนเคมลิน (pro-Kremlin parties) เช่น การผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้พรรคการเมืองที่จะสมัครรับเลือกตั้งต้องเรียกประชุมพรรคโดยมีจำนวนสมาชิกพรรคในสังกัดขั้นต่ำ ซึ่งมีผลบังคับใช้เฉพาะพรรคการเมืองใหม่ที่ยังไม่เคยมีที่นั่งในสภาเท่านั้น จึงเป็นการสร้างอุปสรรคในการแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไป[[#_ftn13|[13]]] อย่างไรก็ตาม ทั้งสี่พรรคในสภาดูมามีสมาชิกพรรคเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในกิจการของพรรคมากนัก เนื่องจากทุกพรรคต่างพึ่งพาเงินสนับสนุนจากรัฐและใช้ยุทธศาสตร์รณรงค์หาเสียงที่มีค่าใช้จ่ายสูงและเทคนิคการสื่อสารสมัยใหม่ที่ได้รับความช่วยเหลือจากมืออาชีพด้านการสื่อสารมากกว่าจะใช้กำลังคนกระจายลงไปหาเสียงในพื้นที่ | ในกรณีของรัสเซียแสดงให้เห็นการปรากฎขึ้นของ พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ ในมิติที่ต่างไปจากประชาธิปไตยตะวันตก แม้นักวิชาการจำนวนมากจะลงความเห็นว่าระบบการปกครองของรัสเซียเอนเอียงไปในทางอำนาจนิยมเพราะมีเพียง พรรค United Russia (UR) ของวลาดิเมีย ปูติน เท่านั้น ที่ชนะเลือกตั้งจนได้เป็นรัฐบาล[[#_ftn11|[11]]] แต่ในความเป็นจริงแล้วระหว่าง ปี ค.ศ. 2007 ถึง 2016 มีพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาดูมาอีกสามพรรค ได้แก่ Fair Russia (FR), Liberal Democratic Party of Russia (LDPR) และ Communist Party of the Russian Federation (CPRF) โดยสองพรรคแรกเข้าร่วมกับ United Russia ขณะที่ พรรคคอมมิวนิสต์ แสดงออกอย่างเด่นชัดว่ามีอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกับสามพรรคฝ่ายรัฐบาล[[#_ftn12|[12]]] (910) อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมทางการเมืองของ พรรคคอมมิวนิสต์ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็น พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ กับ พรรคที่สนับสนุนเคมลิน (pro-Kremlin parties) เช่น การผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้พรรคการเมืองที่จะสมัครรับเลือกตั้งต้องเรียกประชุมพรรคโดยมีจำนวนสมาชิกพรรคในสังกัดขั้นต่ำ ซึ่งมีผลบังคับใช้เฉพาะพรรคการเมืองใหม่ที่ยังไม่เคยมีที่นั่งในสภาเท่านั้น จึงเป็นการสร้างอุปสรรคในการแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไป[[#_ftn13|[13]]] อย่างไรก็ตาม ทั้งสี่พรรคในสภาดูมามีสมาชิกพรรคเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในกิจการของพรรคมากนัก เนื่องจากทุกพรรคต่างพึ่งพาเงินสนับสนุนจากรัฐและใช้ยุทธศาสตร์รณรงค์หาเสียงที่มีค่าใช้จ่ายสูงและเทคนิคการสื่อสารสมัยใหม่ที่ได้รับความช่วยเหลือจากมืออาชีพด้านการสื่อสารมากกว่าจะใช้กำลังคนกระจายลงไปหาเสียงในพื้นที่ | ||
= <span style="font-size:x-large;">'''นัยสำคัญต่อประชาธิปไตย'''</span> = | = <span style="font-size:x-large;">'''นัยสำคัญต่อประชาธิปไตย'''</span> = | ||
การเกิดขึ้นของพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจในประชาธิปไตยยุโรป ซึ่งสะท้อนผ่านความร่วมมือกันระหว่างพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจ หรือ อยู่ในรัฐบาลแสดงให้เห็นชัดเจนมากขึ้นว่าพรรคการเมืองกำลังถอยห่างจากประชาสังคมและค่อย ๆ ถูกกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ พัฒนาการนี้ส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอันมีความเชื่อมั่นต่อสถาบันทางการเมืองอย่างพรรคการเมืองลดลงอย่างต่อเนื่อง กระแสเคลื่อนไหวทางความคิดและการเคลื่อนไหวแนวประชานิยม (populist movement) ของประชาชนในหลายประเทศในยุโรปช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของความไม่พอใจและการต่อต้านระบอบ (anti-establishment) ซึ่งมองว่าชนชั้นนำที่ฉ้อฉล (corrupt elites) สมคบคิดกันแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง นอกจากนั้นแล้ว การมาถึงของพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความดับศูนย์ของพรรคแนวมวลชน อันเป็นพรรคที่ต้องการปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของกลุ่มทางสังคมผ่านการแข่งขันเชิงนโยบาย[[#_ftn14|[14]]] เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนให้ประชาชนในยุโรปตะวันตกจะหันไปหาช่องทางอื่น ๆ (เช่น พรรคการเมืองนอกสภา กลุ่มเรียกร้องประเด็นเฉพาะ และการเรียกร้องผ่านสังคมออนไลน์) เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา แม้พรรคการเมืองยังคงดำรงอยู่และมีบทบาทมากขึ้นในรัฐบาล แต่สายสัมพันธ์ระหว่างผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกับผู้แทนราษฎรกลับเจือจางลง ขาดความต่อเนื่องและไม่เป็นที่ไว้วางใจในระดับเดียวกับที่เคยเป็นมาอีกต่อไป | การเกิดขึ้นของพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจในประชาธิปไตยยุโรป ซึ่งสะท้อนผ่านความร่วมมือกันระหว่างพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจ หรือ อยู่ในรัฐบาลแสดงให้เห็นชัดเจนมากขึ้นว่าพรรคการเมืองกำลังถอยห่างจากประชาสังคมและค่อย ๆ ถูกกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ พัฒนาการนี้ส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอันมีความเชื่อมั่นต่อสถาบันทางการเมืองอย่างพรรคการเมืองลดลงอย่างต่อเนื่อง กระแสเคลื่อนไหวทางความคิดและการเคลื่อนไหวแนวประชานิยม (populist movement) ของประชาชนในหลายประเทศในยุโรปช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของความไม่พอใจและการต่อต้านระบอบ (anti-establishment) ซึ่งมองว่าชนชั้นนำที่ฉ้อฉล (corrupt elites) สมคบคิดกันแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง นอกจากนั้นแล้ว การมาถึงของพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความดับศูนย์ของพรรคแนวมวลชน อันเป็นพรรคที่ต้องการปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของกลุ่มทางสังคมผ่านการแข่งขันเชิงนโยบาย[[#_ftn14|[14]]] เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนให้ประชาชนในยุโรปตะวันตกจะหันไปหาช่องทางอื่น ๆ (เช่น พรรคการเมืองนอกสภา กลุ่มเรียกร้องประเด็นเฉพาะ และการเรียกร้องผ่านสังคมออนไลน์) เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา แม้พรรคการเมืองยังคงดำรงอยู่และมีบทบาทมากขึ้นในรัฐบาล แต่สายสัมพันธ์ระหว่างผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกับผู้แทนราษฎรกลับเจือจางลง ขาดความต่อเนื่องและไม่เป็นที่ไว้วางใจในระดับเดียวกับที่เคยเป็นมาอีกต่อไป | ||
= <span style="font-size:x-large;">'''บรรณานุกรม'''</span> = | = <span style="font-size:x-large;">'''บรรณานุกรม'''</span> = | ||
บรรทัดที่ 66: | บรรทัดที่ 50: | ||
Van Biezen, Ingrid (2000). "Party Financing in New Democracies: Spain and Portugal." Party Politics. 6(3): 329-342. | Van Biezen, Ingrid (2000). "Party Financing in New Democracies: Spain and Portugal." Party Politics. 6(3): 329-342. | ||
<div> | <div> | ||
= <span style="font-size:x-large;">'''อ้างอิง'''</span> = | = <span style="font-size:x-large;">'''อ้างอิง'''</span> = | ||
<div id="ftn1"> | <div id="ftn1"> | ||
บรรทัดที่ 97: | บรรทัดที่ 79: | ||
</div> <div id="ftn14"> | </div> <div id="ftn14"> | ||
[[#_ftnref14|[14]]] Richard Katz and Peter Mair, "The Cartel Party Thesis: A Restatement," American Political Science Association, 7(4) (2009): 760. | [[#_ftnref14|[14]]] Richard Katz and Peter Mair, "The Cartel Party Thesis: A Restatement," American Political Science Association, 7(4) (2009): 760. | ||
</div> </div> | |||
| |||
[[Category:พรรคการเมือง]][[Category:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ]] | |||
[[Category:พรรคการเมือง]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:28, 14 มีนาคม 2566
ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
บทนำ
พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ (Cartel Party) เป็นมโนทัศน์ที่ Richard Katz และ Peter Mair พัฒนาขึ้นเพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ของพรรคการเมืองในประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้าซึ่งแสดงบทบาทประหนึ่งกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ (cartel) โดยพรรคการเมืองที่อยู่ในระบบการเมืองอาศัยทรัพยากรของรัฐ และสมคบคิดกันกีดกันไม่ให้พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใหม่ ๆ เข้าสู่ระบบการเมืองเพื่อรับประกันความอยู่รอดของพรรคการเมืองในระบบ มโนทัศน์เรื่องพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจจึงเกี่ยวข้องกับพัฒนาการประชาธิปไตย (โดยเฉพาะในตะวันตก) การจัดองค์กรของพรรคการเมือง และการแข่งกันของพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้งด้วย ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจขึ้นนั้นมาจากการถดถอยของพรรคแนวมวลชนและการลดลงอย่างต่อเนื่องของสมาชิกพรรคการเมือง ที่เคยเป็นแหล่งที่มาหลักของเงินสนับสนุนพรรคการเมือง พรรคการเมืองในระบบจึงหันไปใช้ยุทธศาสตร์การรณรงค์หาเสียงที่ใช้ต้นทุนสูงและใช้เทคโนโลยีสื่อสารมวลชนสมัยใหม่เพื่อดึงดูดการสนับสนุนจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามด้วยต้นทุนทางการเมืองที่สูงขึ้น พรรคการเมืองจึงหันไปหาการสนับสนุนจากรัฐ (state subventions) เพื่อทดแทนการสนับสนุนจากภาคประชาสังคม ผลก็คือ พรรคการเมืองที่มีความเป็นสถาบันสูงในระบบการเมืองค่อย ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐที่ร่วมมือกันแบ่งปันทรัพยากรและกีดกันตัวแสดงทางการเมืองใหม่ไม่ให้เข้าสู่ระบบและเพื่อประกันส่วนแบ่งในตลาดการเมืองนั่นเอง
มโนทัศน์ว่าด้วย "พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ"
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 งานวิชาการเกี่ยวกับพรรคการเมืองต่างวิตกกังวลกับแนวโน้มความเสื่อมถอยของบทบาทพรรคการเมืองในประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้า (advanced democratic countries) ทว่า Richard Katz และ Peter Mair กลับโต้แย้งว่า ข้อวิเคราะห์ดังกล่าวนอกจากจะไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองแล้วยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับพัฒนาการของพรรคการเมืองในโลกประชาธิปไตยตะวันตก กล่าวคือความกังวลเหล่านั้นยึดถือตัวแบบพรรคการเมืองแนวมวลชน (mass-based parties) เป็นบรรทัดฐานในการประเมินการออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งที่น้อยลงและจำนวนสมาชิกพรรคที่ลดลงว่าเป็นแนวโน้มของความเสื่อมถอยของพรรคการเมือง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วพรรคการเมืองในระบบการเมืองกำลังปรับตัวอันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมที่ถดถอยลงดังกล่าว[1]
Katz และ Mair เสนอว่าพัฒนาการนี้ได้นำไปสู่การเกิดตัวแบบใหม่ของพรรคการเมืองหรือที่เรียกว่า “พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ” (cartel parties)[2] ซึ่งปรับตัวจากที่เคยพึ่งพาการมีส่วนร่วมและเงินสนับสนุนจากสมาชิกพรรคมาสู่การพึ่งพาเงินสนับสนุนของรัฐ บรรดาพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจจึงสมคบคิดกัน (collusion) แบ่งปันทรัพยากรดังกล่าวเพื่อใช้ในการบริหารจัดการองค์กรพรรคการเมืองและเพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อการประกันความอยู่รอดของพรรคการเมืองของตนและพันธมิตรในระบบการเมือง จึงพร้อมที่จะใช้ความได้เปรียบจากที่ตนเองเป็นพรรคที่มีความเป็นสถาบันสูง กีดกันและขัดขวางพรรคการเมืองเกิดใหม่ไม่ให้เข้ามาท้าทายและเพิ่มส่วนแบ่งจากทรัพยากรของรัฐที่มีอยู่อย่างจำกัด ในแง่นี้ การแข่งขันทางการเมืองในสนามเลือกตั้งจึงถูกแทนที่ด้วยการร่วมมือกันระหว่างพรรคการเมืองซึ่งมีตำแหน่งแห่งที่ในระบบการเมืองอยู่แล้ว
พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ เริ่มปรากฏให้เห็นในประชาธิปไตยตะวันตกนับตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยเกิดขึ้นในบริบทที่สิทธิการเลือกตั้งถูกขยายออกไปสู่มวลชลอย่างกว้างขวาง (mass suffrage) เช่นเดียวกับการเกิดพรรคแนวมวลชนและพรรคแนวกินรวบ (catch-all party) แต่เป้าหมายทางการเมืองของพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจกลับเป็นการดำเนินการทางการเมืองเพื่อตนเอง (self-reference) เนื่องจากมองว่าการเมืองเป็นอาชีพซึ่งต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการสมัยใหม่เพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลทางการเมือง (managerial skills and efficiency) ในด้านการแข่งขันเลือกตั้งนั้นพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจมักใช้ทุนสูง (capital-intensive campaign) ทั้งยังอาศัยความได้เปรียบในการเข้าถึงช่องทางการสื่อสารที่รัฐควบคุมอยู่ ด้วยการพึ่งพาเงินสนับสนุนจากรัฐเป็นหลักเพื่อทดแทนการขาดหายไปของเงินบริจาคจากสมาชิกพรรคที่ลดลงอย่างมาก[3]
ในแง่นี้สนามเลือกตั้งจึงถูกจำกัดไว้เฉพาะพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจที่อยู่ในระบบการเมืองเท่านั้น เพราะสำหรับพรรคการเมืองเกิดใหม่แล้วดูจะเป็นเรื่องยากลำบากที่จะแข่งขันกับพรรคการเมืองเดิมในระบบที่มีความได้เปรียบแทบทุกด้านจนแทบจะเป็นเสมือนตัวแทนของรัฐ (agent of state) มากกว่าผู้แทนของประชาชน ที่สำคัญก็คือ พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจทำให้เส้นแบ่งระหว่างผู้ที่เป็นสมาชิกและผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเกิดความคลุมเครือ เนื่องจากพรรคมุ่งระดมการสนับสนุนจากปัจเจกชนคนใดก็ตามโดยไม่สนใจความเป็นสมาชิกพรรคหรือความเป็นกลุ่มก้อนเหมือนเช่นพรรคแนวมวลชน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สนับสนุนพรรคกับชนชั้นนำภายในพรรคจึงค่อนข้างเป็นอิสระจากกันและกัน (mutual autonomy)[4]
กรณีศึกษาพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ
พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจไม่ได้เป็นขั้นสูงสุดของพัฒนาการของพรรคการเมือง แต่เป็นรูปแบบของพรรคที่ปรับตัวและผสมกลายพันธุ์มาจากพรรคแนวมวลชนและพรรคแนวกินรวบ การที่จะชี้ชัดว่าพรรคการเมืองใดหรือระบบพรรคในประเทศใดเป็นไปตามตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะตามปกติแล้วพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจต่างก็มีตะกอนบางอย่างของพรรคแนวมวลชนและพรรคแนวกินรวบด้วยกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจสามารถพบเห็นได้แพร่หลายในประชาธิปไตยตะวันตกมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ เหตุผลสำคัญ ก็คือ ระบบพรรคการเมืองในยุโรปตะวันตกมีความเป็นสถาบันสูง (high institutionalization) ซึ่งพรรคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งและกำหนดนโยบายสาธารณะ นอกจากนั้นแล้ว กระแสการเคลื่อนไหวนอกสภาเพื่อก่อตั้งพรรคการเมืองแนวมวลชนยังเป็นที่แพร่หลายในยุโรปมากกว่าภูมิภาคอื่น ซึ่งทำให้พรรคการเมืองเหล่านั้นมีผู้สนับสนุนด้านทรัพยากรและกำลังคนอย่างเด่นชัดเมื่อเปรียบเทียบกับในสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นการสนับสนุนผู้สมัครรายบุคคลมากกว่าพรรคการเมือง อย่างไรก็ตาม พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจก็อาจเกิดขึ้นได้ในระบบอำนาจนิยมอย่างประเทศรัสเซีย เป็นต้น
กรณีเยอรมนีและเดนมาร์ก
พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ มีแนวโน้มที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบร่วมมือกันระหว่างพรรคมากกว่าประเทศที่ระบบพรรคการเมืองคุ้นเคยกับการช่วงชิงแข่งขันเพื่อขึ้นเป็นรัฐบาล[5] ในเยอรมนีพรรคซึ่งมีที่นั่งในรัฐสภามักแสวงหาโอกาสที่จะเพิ่มเงินสนับสนุนจากรัฐร่วมกัน ขณะที่ในเดนมาร์ก สัดส่วนรายได้ของพรรคจากภาคประชาสังคมก็ลดลงอย่างต่อเนื่องขณะที่เงินสนับสนุนภาครัฐเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[6] ซึ่งพรรคการเมืองทั้งสองประเทศต่างมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกันเป็นพันธมิตรผ่านตัวแสดงทางการเมืองที่ร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามและพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในประเด็นทางการเมืองที่ไม่จำเป็น กล่าวคือ นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งไม่ได้มองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูทางการเมือง แต่มองว่าเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่ไม่เพียงจะสามารถทำงานร่วมกันในพรรคร่วมรัฐบาลและคณะกรรมาธิการของรัฐสภาเท่านั้น หากยังมีความร่วมมือในมิติของความสำเร็จส่วนบุคคล (เช่น รายได้ การได้รับเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง และความทะเยอทะยานในตำแหน่งที่สูงขึ้น) และมิติเชิงองค์กรของพรรค (เช่น การได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ และการได้รับการจัดสรรตำแหน่งผ่านพรรค) ซึ่งผลักดันให้พวกเขาพร้อมที่จะร่วมมือกันระหว่างพรรค (inter-party cooperation)[7] โดยที่ระดับความเป็นมืออาชีพที่สูงของนักการเมืองของทั้งสองประเทศต่างเป็นปัจจัยที่ช่วยให้สองประเทศนี้เคลื่อนเข้าสู่ตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจและหยุดชะงักพัฒนาการของระบบพรรคการเมือง
กรณีสเปนและโปรตุเกส
ในประเทศ ประชาธิปไตยเกิดใหม่ (emerging democracies) อย่างสเปนและโปรตุเกส ช่วงปลายทศวรรษ 1990 นั้นแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าพรรคการเมืองที่มีบทบาทนำอย่าง Socialist Party (the PSOE) และ Popular Party (PP) ในสเปน และ Social Democrats (PSD) และ Socialists (PS)
ในโปรตุเกส พึ่งพาเงินสนับสนุนจากรัฐเป็นหลักเพื่อใช้ในกิจการภายในพรรคการเมือง (routine activities) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหนึ่งของการเคลื่อนเข้าสู่ตัวแบบพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ[8] โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่พรรคการเมืองเหล่านี้ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะแสวงหารายได้จากแหล่งอื่นในช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยพึ่งที่จะกลายเป็นฉันทามติใหม่ทางการเมืองของประเทศ ด้วยการจัดสรรเงินสนับสนุนภาครัฐที่อิงคะแนนเสียงที่ได้รับและจำนวนที่นั่งในสภา (share of votes and seats) จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่พรรคการเมืองใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งจะได้รับเงินสนับสนุนมากกว่าพรรคอื่น ๆ ที่รองลงมา นี่เท่ากับเป็นการลดโอกาสที่พรรคเล็ก ๆ และพรรคก่อตั้งใหม่จะสามารถเข้าสู่ระบบการเมืองได้[9] อย่างไรก็ตาม แม้ดูเหมือนว่าพรรคการเมืองในสองประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่จะมีแนวโน้มที่จะเป็นคนไกลของรัฐ ทว่าเงินสนับสนุนจากภาครัฐของทั้งสองประเทศกลับเสริมแรงให้สำนักงานส่วนกลางของพรรคการเมืองสามารถกระชับอำนาจได้มากขึ้น จนมีอิทธิพลเหนือสมาชิกและผู้แทนราษฎรของพรรคทั้งหมด[10] ซึ่งแตกต่างจากแนวโน้มที่เกิดขึ้นในประชาธิปไตยตะวันตกอื่น ๆ ที่ทรัพยากรทางการเงินและอภิสิทธิ์ทางการเมืองกระจุกตัวอยู่ที่ผู้มีตำแหน่งสาธารณะ เช่น ตำแหน่งในรัฐบาลและตำแหน่งในรัฐสภา เป็นต้น
กรณีสหพันธรัฐรัสเซีย
ในกรณีของรัสเซียแสดงให้เห็นการปรากฎขึ้นของ พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ ในมิติที่ต่างไปจากประชาธิปไตยตะวันตก แม้นักวิชาการจำนวนมากจะลงความเห็นว่าระบบการปกครองของรัสเซียเอนเอียงไปในทางอำนาจนิยมเพราะมีเพียง พรรค United Russia (UR) ของวลาดิเมีย ปูติน เท่านั้น ที่ชนะเลือกตั้งจนได้เป็นรัฐบาล[11] แต่ในความเป็นจริงแล้วระหว่าง ปี ค.ศ. 2007 ถึง 2016 มีพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาดูมาอีกสามพรรค ได้แก่ Fair Russia (FR), Liberal Democratic Party of Russia (LDPR) และ Communist Party of the Russian Federation (CPRF) โดยสองพรรคแรกเข้าร่วมกับ United Russia ขณะที่ พรรคคอมมิวนิสต์ แสดงออกอย่างเด่นชัดว่ามีอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกับสามพรรคฝ่ายรัฐบาล[12] (910) อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมทางการเมืองของ พรรคคอมมิวนิสต์ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็น พรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจ กับ พรรคที่สนับสนุนเคมลิน (pro-Kremlin parties) เช่น การผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้พรรคการเมืองที่จะสมัครรับเลือกตั้งต้องเรียกประชุมพรรคโดยมีจำนวนสมาชิกพรรคในสังกัดขั้นต่ำ ซึ่งมีผลบังคับใช้เฉพาะพรรคการเมืองใหม่ที่ยังไม่เคยมีที่นั่งในสภาเท่านั้น จึงเป็นการสร้างอุปสรรคในการแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไป[13] อย่างไรก็ตาม ทั้งสี่พรรคในสภาดูมามีสมาชิกพรรคเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในกิจการของพรรคมากนัก เนื่องจากทุกพรรคต่างพึ่งพาเงินสนับสนุนจากรัฐและใช้ยุทธศาสตร์รณรงค์หาเสียงที่มีค่าใช้จ่ายสูงและเทคนิคการสื่อสารสมัยใหม่ที่ได้รับความช่วยเหลือจากมืออาชีพด้านการสื่อสารมากกว่าจะใช้กำลังคนกระจายลงไปหาเสียงในพื้นที่
นัยสำคัญต่อประชาธิปไตย
การเกิดขึ้นของพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจในประชาธิปไตยยุโรป ซึ่งสะท้อนผ่านความร่วมมือกันระหว่างพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจ หรือ อยู่ในรัฐบาลแสดงให้เห็นชัดเจนมากขึ้นว่าพรรคการเมืองกำลังถอยห่างจากประชาสังคมและค่อย ๆ ถูกกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ พัฒนาการนี้ส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอันมีความเชื่อมั่นต่อสถาบันทางการเมืองอย่างพรรคการเมืองลดลงอย่างต่อเนื่อง กระแสเคลื่อนไหวทางความคิดและการเคลื่อนไหวแนวประชานิยม (populist movement) ของประชาชนในหลายประเทศในยุโรปช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของความไม่พอใจและการต่อต้านระบอบ (anti-establishment) ซึ่งมองว่าชนชั้นนำที่ฉ้อฉล (corrupt elites) สมคบคิดกันแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง นอกจากนั้นแล้ว การมาถึงของพรรคแนวกลุ่มสหพันธ์ธุรกิจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความดับศูนย์ของพรรคแนวมวลชน อันเป็นพรรคที่ต้องการปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของกลุ่มทางสังคมผ่านการแข่งขันเชิงนโยบาย[14] เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนให้ประชาชนในยุโรปตะวันตกจะหันไปหาช่องทางอื่น ๆ (เช่น พรรคการเมืองนอกสภา กลุ่มเรียกร้องประเด็นเฉพาะ และการเรียกร้องผ่านสังคมออนไลน์) เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา แม้พรรคการเมืองยังคงดำรงอยู่และมีบทบาทมากขึ้นในรัฐบาล แต่สายสัมพันธ์ระหว่างผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกับผู้แทนราษฎรกลับเจือจางลง ขาดความต่อเนื่องและไม่เป็นที่ไว้วางใจในระดับเดียวกับที่เคยเป็นมาอีกต่อไป
บรรณานุกรม
Katz, Richard and Peter Mair. (1995). "Changing Models of Party Organization and Party Democracy: The Emergence of the Cartel Party." Party Politics. 1(1): 5-28.
Katz, Richard and Peter Mair. (2009). "The Cartel Party Thesis: A Restatement." American Political Science Association. 7(4): 753-766.
Hutcheson, Derek S. (2012). "Party cartels beyond Western Europe: Evidence from Russia." Party Politics. 19(6): 907-924.
Detterbeck, Klaus (2005). "Cartel Parties in Western Europe?." Party Politics. 11(2): 173-191.
Van Biezen, Ingrid (2000). "Party Financing in New Democracies: Spain and Portugal." Party Politics. 6(3): 329-342.
อ้างอิง
[1] Richard Katz and Peter Mair, "Changing Models of Party Organization and Party Democracy: The Emergence of the Cartel Party," Party Politics, 1(1) (1995): 6.
[2] Richard Katz and Peter Mair, "Changing Models of Party Organization and Party Democracy: The Emergence of the Cartel Party," 6.
[3] Richard Katz and Peter Mair, "Changing Models of Party Organization and Party Democracy: The Emergence of the Cartel Party," 18.
[4] Richard Katz and Peter Mair, "Changing Models of Party Organization and Party Democracy: The Emergence of the Cartel Party," 18.
[5] Richard Katz and Peter Mair, "Changing Models of Party Organization and Party Democracy: The Emergence of the Cartel Party," 17.
[6] Klaus Detterbeck, "Cartel Parties in Western Europe?," Party Politics, 11(2) (2005): 187.
[7] Klaus Detterbeck, "Cartel Parties in Western Europe?," 187.
[8] Ingrid van Biezen, "Party Financing in New Democracies: Spain and Portugal," Party Politics, 6(3) (2000): 332.
[9] Ingrid van Biezen, "Party Financing in New Democracies: Spain and Portugal," 337.
[10] Ingrid van Biezen, "Party Financing in New Democracies: Spain and Portugal," 339.
[11] Derek S. Hutcheson, "Party cartels beyond Western Europe: Evidence from Russia," Party Politics, 19(6) (2012): 908.
[12] Derek S. Hutcheson, "Party cartels beyond Western Europe: Evidence from Russia," 910.
[13] Derek S. Hutcheson, "Party cartels beyond Western Europe: Evidence from Russia," 912.
[14] Richard Katz and Peter Mair, "The Cartel Party Thesis: A Restatement," American Political Science Association, 7(4) (2009): 760.