ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้เขียน รองศาสตราจารย์ ดร.ยุทธพร อิสรชัย"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.ยุทธพร อิสรชัย ผู้ท..."
 
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:


ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.ยุทธพร อิสรชัย
'''ผู้เรียบเรียง''' ''':''' รองศาสตราจารย์ ดร.ยุทธพร อิสรชัย


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' ''':''' ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ


 
 


ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
          '''ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง''' เป็นแผนกหนึ่งในศาลฎีกาซึ่งก่อตั้งขึ้นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นศาลที่เป็นส่วนหนึ่งของศาลยุติธรรม ที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีบางประเภทและผู้ที่จะถูกดำเนินคดีในศาลจำกัดเฉพาะบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเท่านั้น[[#_ftn1|[1]]] ปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ยังคงบัญญัติให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา โดยได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลักการสำคัญบางประการ


          ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นแผนกหนึ่งในศาลฎีกาซึ่งก่อตั้งขึ้นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นศาลที่เป็นส่วนหนึ่งของศาลยุติธรรม ที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีบางประเภทและผู้ที่จะถูกดำเนินคดีในศาลจำกัดเฉพาะบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเท่านั้น[[#_ftn1|[1]]] ปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ยังคงบัญญัติให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา โดยได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลักการสำคัญบางประการ
          แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็น 1 ใน 11 แผนกของศาลฎีกา เปิดทำการครั้งแรก เมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติในมาตรา 194 ว่าให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา


          แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็น 1 ใน 11 แผนกของศาลฎีกา เปิดทำการครั้งแรกเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติในมาตรา 194 ว่าให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา
= <span style="font-size:x-large;">'''ความเป็นมาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง'''</span> =
 
ความเป็นมาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การปฏิรูปการเมืองที่นำมาสู่การร่างรัฐธรรมนูญใน พ.ศ. 2540 ได้มีการหยิบยกประเด็นการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองและการประพฤติมิชอบในวงราชการมีมากขึ้น แต่การดำเนินคดีอาญาตามปกติไม่อาจแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตั้งแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้นในศาลฎีกา เพื่อให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีโดยมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้สอบสวนและส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องหรือ ป.ป.ช. สามารถฟ้องคดีเอง
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การปฏิรูปการเมืองที่นำมาสู่การร่างรัฐธรรมนูญใน พ.ศ. 2540 ได้มีการหยิบยกประเด็นการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองและการประพฤติมิชอบในวงราชการมีมากขึ้น แต่การดำเนินคดีอาญาตามปกติไม่อาจแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตั้งแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้นในศาลฎีกา เพื่อให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีโดยมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้สอบสวนและส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องหรือ ป.ป.ช. สามารถฟ้องคดีเอง


กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และกระบวนการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
= <span style="font-size:x-large;">'''กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และกระบวนการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง'''</span> =


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การพิจารณาพิพากษาคดี มีกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาฃองผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้บังคับโดยเฉพาะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมีซื่อว่า “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารพาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560” หากไม่มีบทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวใช้บังคับ ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมการพิจารณาคดีใช้ระบบไต่สวนซึ่งต่างจากคดีทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การพิจารณาพิพากษาคดี มีกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาฃองผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้บังคับโดยเฉพาะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมีซื่อว่า '''"พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารพาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560'''”&nbsp;หากไม่มีบทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวใช้บังคับ ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมการพิจารณาคดีใช้ระบบไต่สวนซึ่งต่างจากคดีทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สำหรับกระบวนการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะเริ่มต้นจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผ่านอัยการสูงสุด และยื่นฟ้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สำหรับกระบวนการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะเริ่มต้นจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผ่านอัยการสูงสุด และยื่นฟ้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


เขตอำนาจศาลของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
= <span style="font-size:x-large;">'''เขตอำนาจศาลของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง'''</span> =


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจไต่สวนและพิพากษาบุคคลผู้กระทำผิดในข้อกล่าวหาดังต่อไปนี้
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจไต่สวนและพิพากษาบุคคลผู้กระทำผิดในข้อกล่าวหาดังต่อไปนี้


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''1. ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อกฎหมาย หรือรํ่ารวยผิดปกติ''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 3.1) ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อกฎหมาย หรือรํ่ารวยผิดปกติ


''&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 2. กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ซ.) ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อหน้าที่จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อกฎหมาย หรือร่ำรวยผิดปกติ''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 3.2) กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ซ.) ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อหน้าที่จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อกฎหมาย หรือร่ำรวยผิดปกติ


''&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 3. บุคคลธรรมดาที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ผู้ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่นักการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ซ.) ถูกกล่าวหาว่าจูงใจให้บุคคลเหล่านี้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 3.3) บุคคลธรรมดาที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ผู้ให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่นักการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ซ.) ถูกกล่าวหาว่าจูงใจให้บุคคลเหล่านี้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่


''&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 4. นักการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน&nbsp;และกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป..) หรือเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ถูกกล่าวหาว่าจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและ หนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินอันเป็นเท็จ''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 3.4) นักการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป..) หรือเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ถูกกล่าวหาว่าจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและ หนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินอันเป็นเท็จ


องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
= <span style="font-size:x-large;">'''องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง'''</span> =


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; องค์คณะผู้พิพากษาในคดีประกอบด้วยผู้พิพากษาหรือผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาจำนวน 9 คน ซี่งได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา การพิจารณาพิพากษาคดีอาศัยเสียงข้างมากขององค์คณะ นอกจากองค์คณะจะต้องทำคำพิพากษากลางแล้ว องค์คณะแต่ละคนยังต้องทำคำวินิจฉัยส่วนตนเปิดเผยต่อสาธารณะหลังจากได้อ่านคำพิพากษากลางแล้วด้วย[[#_ftn2|[2]]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; องค์คณะผู้พิพากษาในคดีประกอบด้วยผู้พิพากษาหรือผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาจำนวน 9 คน ซี่งได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา การพิจารณาพิพากษาคดีอาศัยเสียงข้างมากขององค์คณะ นอกจากองค์คณะจะต้องทำคำพิพากษากลางแล้ว องค์คณะแต่ละคนยังต้องทำคำวินิจฉัยส่วนตนเปิดเผยต่อสาธารณะหลังจากได้อ่านคำพิพากษากลางแล้วด้วย[[#_ftn2|[2]]]


การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
= <span style="font-size:x-large;">'''การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง'''</span> =


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; คำพิพากษาในคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ภายใน&nbsp;30 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาองค์คณะผู้พิพากษาในชั้นอุทธรณ์คือ ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสไม่ต่ำกว่าหัวหน้าคณะในศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาอาวุโสผู้เคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าหัวหน้าคณะในศาลฎีกาผู้ซึ่งไม่เคยเป็นองค์คณะเดิมจำนวน 9 คน ที่ได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; คำพิพากษาในคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ภายใน 30 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาองค์คณะผู้พิพากษาในชั้นอุทธรณ์คือ ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสไม่ต่ำกว่าหัวหน้าคณะในศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโสผู้เคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าหัวหน้าคณะในศาลฎีกาผู้ซึ่งไม่เคยเป็นองค์คณะเดิมจำนวน 9 คน ที่ได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา


&nbsp;
&nbsp;


ภาพที่ 1 กระบวนการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
[[File:Map Supreme Court's Criminal Division for Persons Holding Political Positions.png|center]]
 
ที่มา&nbsp;: ศาลฎีกา, 2021. “เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.” สืบค้นเมื่อ 20 Sep 2021 จาก [http://www.supremecourt.or.th/division/แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง/เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง http://www.supremecourt.or.th/division/แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง/เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง]


&nbsp;
'''ภาพที่ ''''''1''' กระบวนการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


อ้างอิง
'''ที่มา : '''ศาลฎีกา, 2021. “เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.” สืบค้นเมื่อ 20 Sep 2021 จาก http://www.supremecourt.or.th/division/แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง/เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


= <span style="font-size:x-large;">'''อ้างอิง'''</span> =
<div><div id="ftn1">
[[#_ftnref1|[1]]] บรรหาร กำลา, 2553. “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง: อำนาจพิจารณาพิพากษาในการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.” วารสารจุลนิติ. (พ.ย. - ธ.ค. 2553), หน้า 177.
[[#_ftnref1|[1]]] บรรหาร กำลา, 2553. “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง: อำนาจพิจารณาพิพากษาในการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.” วารสารจุลนิติ. (พ.ย. - ธ.ค. 2553), หน้า 177.
 
</div> <div id="ftn2">
[[#_ftnref2|[2]]] ศาลฎีกา, 2021. “เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.” สืบค้นเมื่อ 20 Sep 2021<br/> จาก [http://www.supremecourt.or.th/division/แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง/เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง http://www.supremecourt.or.th/division/แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง/เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง]
[[#_ftnref2|[2]]] ศาลฎีกา, 2021. “เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.” สืบค้นเมื่อ 20 Sep 2021&nbsp;จาก http://www.supremecourt.or.th/division/แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง/เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
 
</div> </div>
&nbsp;
[[Category:สถาบันตุลาการ]][[Category:กฎหมายเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่]][[Category:นักการเมือง]]
 
[[Category:นักการเมือง]][[Category:สถาบันตุลาการ]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:18, 14 มีนาคม 2566

ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.ยุทธพร อิสรชัย

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ

 

          ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นแผนกหนึ่งในศาลฎีกาซึ่งก่อตั้งขึ้นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นศาลที่เป็นส่วนหนึ่งของศาลยุติธรรม ที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีบางประเภทและผู้ที่จะถูกดำเนินคดีในศาลจำกัดเฉพาะบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเท่านั้น[1] ปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ยังคงบัญญัติให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา โดยได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลักการสำคัญบางประการ

          แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็น 1 ใน 11 แผนกของศาลฎีกา เปิดทำการครั้งแรก เมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติในมาตรา 194 ว่าให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา

ความเป็นมาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

          การปฏิรูปการเมืองที่นำมาสู่การร่างรัฐธรรมนูญใน พ.ศ. 2540 ได้มีการหยิบยกประเด็นการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองและการประพฤติมิชอบในวงราชการมีมากขึ้น แต่การดำเนินคดีอาญาตามปกติไม่อาจแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตั้งแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้นในศาลฎีกา เพื่อให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีโดยมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้สอบสวนและส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องหรือ ป.ป.ช. สามารถฟ้องคดีเอง

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และกระบวนการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

          การพิจารณาพิพากษาคดี มีกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาฃองผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้บังคับโดยเฉพาะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมีซื่อว่า "พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารพาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560” หากไม่มีบทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวใช้บังคับ ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมการพิจารณาคดีใช้ระบบไต่สวนซึ่งต่างจากคดีทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา

          สำหรับกระบวนการยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะเริ่มต้นจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผ่านอัยการสูงสุด และยื่นฟ้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เขตอำนาจศาลของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

          ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจไต่สวนและพิพากษาบุคคลผู้กระทำผิดในข้อกล่าวหาดังต่อไปนี้

          3.1) ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อกฎหมาย หรือรํ่ารวยผิดปกติ

          3.2) กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ซ.) ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อหน้าที่จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อกฎหมาย หรือร่ำรวยผิดปกติ

          3.3) บุคคลธรรมดาที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ผู้ให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่นักการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ซ.) ถูกกล่าวหาว่าจูงใจให้บุคคลเหล่านี้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่

          3.4) นักการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ซ.) หรือเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ถูกกล่าวหาว่าจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและ หนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินอันเป็นเท็จ

องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

          องค์คณะผู้พิพากษาในคดีประกอบด้วยผู้พิพากษาหรือผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาจำนวน 9 คน ซี่งได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา การพิจารณาพิพากษาคดีอาศัยเสียงข้างมากขององค์คณะ นอกจากองค์คณะจะต้องทำคำพิพากษากลางแล้ว องค์คณะแต่ละคนยังต้องทำคำวินิจฉัยส่วนตนเปิดเผยต่อสาธารณะหลังจากได้อ่านคำพิพากษากลางแล้วด้วย[2]

การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

          คำพิพากษาในคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ภายใน 30 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาองค์คณะผู้พิพากษาในชั้นอุทธรณ์คือ ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสไม่ต่ำกว่าหัวหน้าคณะในศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโสผู้เคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าหัวหน้าคณะในศาลฎีกาผู้ซึ่งไม่เคยเป็นองค์คณะเดิมจำนวน 9 คน ที่ได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา

 

'ภาพที่ '1 กระบวนการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ที่มา : ศาลฎีกา, 2021. “เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.” สืบค้นเมื่อ 20 Sep 2021 จาก http://www.supremecourt.or.th/division/แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง/เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

อ้างอิง

[1] บรรหาร กำลา, 2553. “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง: อำนาจพิจารณาพิพากษาในการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.” วารสารจุลนิติ. (พ.ย. - ธ.ค. 2553), หน้า 177.

[2] ศาลฎีกา, 2021. “เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.” สืบค้นเมื่อ 20 Sep 2021 จาก http://www.supremecourt.or.th/division/แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง/เกี่ยวกับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง