ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กรมคลัง"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " ผู้เรียบเรียง : ดร.โดม ไกรปกรณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทคว..."
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:


ผู้เรียบเรียง : ดร.โดม ไกรปกรณ์
ผู้เรียบเรียง : ดร.โดม ไกรปกรณ์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ <span dir="RTL">:&nbsp; </span>รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ <span dir="RTL">:&nbsp; </span>รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
บรรทัดที่ 8: บรรทัดที่ 8:
'''กรมคลัง'''
'''กรมคลัง'''


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พ.ศ. 1893-1912) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ตั้งตำแหน่งข้าราชการ โดยตำแหน่งสำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ ตำแหน่ง “จตุสดมภ์” อันได้แก่ เวียง วัง คลัง นา สำหรับตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง มียศเป็นเจ้าพระยาหรือพระยา โดยมีบรรดาศักดิ์หรือราชทินนาม “โกษาธิบดี” ตามระบบศักดินาที่ใช้ในสมัยอยุธยานั้น เจ้าพระยาพระคลังมีศักดินา 10,000[[#_ftn1|[1]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พ.ศ. 1893-1912) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ตั้งตำแหน่งข้าราชการ โดยตำแหน่งสำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ ตำแหน่ง “[[จตุสดมภ์]]” อันได้แก่ เวียง วัง คลัง นา สำหรับตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง มียศเป็นเจ้าพระยาหรือพระยา โดยมีบรรดาศักดิ์หรือราชทินนาม “[[โกษาธิบดี]]” ตามระบบศักดินาที่ใช้ในสมัยอยุธยานั้น เจ้าพระยาพระคลังมีศักดินา 10,000[[#_ftn1|[1]]]


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สำหรับอำนาจหน้าที่ของเสนาบดีกรมคลังในสมัยอยุธยานั้น ในระยะแรกเสนาบดีกรมคลัง ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการเก็บรายได้และรายจ่ายของกรมทุกกรม รวมทั้งตัดสินคดีความที่เกี่ยวกับพระราชทรัพย์หลวง โดยงานของเสนาบดีกรมคลังน่าจะเป็นงานเบา เนื่องจากภาษีอากรที่รัฐเรียกเก็บเป็นตัวเงินมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นการเรียกเก็บสิ่งของและเรียกเกณฑ์แรงงานจากราษฎร ซึ่งอย่างหลังเป็นหน้าที่ของฝ่ายมหาดไทยและกลาโหม[[#_ftn2|[2]]] เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเริ่มติดต่อค้าขายกับจีนและส่งสำเภาหลวงนำสินค้าพื้นเมืองออกไปขาย เสนาบดีกรมคลังจึงมีหน้าที่ดูแลเรื่องการติดต่อค้าขายกับจีน รวมทั้งเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกรุงศรีอยุธยากับอาณาจักรจีนด้วย โดยหน่วยงานในสังกัดเสนาบดีกรมคลังที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าระหว่างกรุงศรีอยุธยากับจีน ได้แก่ “กรมท่าซ้าย” ต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยามีการติดต่อค้าขายกับชาวยุโรป และพ่อค้ามุสลิมจากอาหรับ จึงมีการตั้ง “กรมท่าขวา” เพื่อทำหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับพ่อค้ามุสลิมและพ่อค้าชาวฮอลันดา (ส่วนการติดต่อสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับพ่อค้าจากประเทศอื่นๆ ในยุโรปนั้น ขึ้นอยู่กับล่ามที่ชาตินั้นๆ ใช้ในการติดต่อกับสยามว่าชาติตะวันตกชาตินั้นๆ จะต้องไปติดต่อกับกรมท่าซ้ายหรือกรมท่าขวา หากใช้ล่ามที่มาจากประเทศทางฝั่งตะวันออกของสยามให้ติดต่อกับกรมท่าซ้าย หากใช้ล่ามที่มาจากประเทศทางฝั่งตะวันตกของสยามให้ติดต่อกับกรมท่าขวา)[[#_ftn3|[3]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สำหรับอำนาจหน้าที่ของเสนาบดีกรมคลังในสมัยอยุธยานั้น ในระยะแรกเสนาบดีกรมคลัง ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการเก็บรายได้และรายจ่ายของกรมทุกกรม รวมทั้งตัดสินคดีความที่เกี่ยวกับพระราชทรัพย์หลวง โดยงานของเสนาบดีกรมคลังน่าจะเป็นงานเบา เนื่องจากภาษีอากรที่รัฐเรียกเก็บเป็นตัวเงินมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นการเรียกเก็บสิ่งของและเรียกเกณฑ์แรงงานจากราษฎร ซึ่งอย่างหลังเป็นหน้าที่ของฝ่ายมหาดไทยและกลาโหม[[#_ftn2|[2]]] เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเริ่มติดต่อค้าขายกับจีนและส่งสำเภาหลวงนำสินค้าพื้นเมืองออกไปขาย เสนาบดีกรมคลังจึงมีหน้าที่ดูแลเรื่องการติดต่อค้าขายกับจีน รวมทั้งเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกรุงศรีอยุธยากับอาณาจักรจีนด้วย โดยหน่วยงานในสังกัดเสนาบดีกรมคลังที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าระหว่างกรุงศรีอยุธยากับจีน ได้แก่ “[[กรมท่าซ้าย]]” ต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยามีการติดต่อค้าขายกับชาวยุโรป และพ่อค้ามุสลิมจากอาหรับ จึงมีการตั้ง “[[กรมท่าขวา]]” เพื่อทำหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับพ่อค้ามุสลิมและพ่อค้าชาวฮอลันดา (ส่วนการติดต่อสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับพ่อค้าจากประเทศอื่นๆ ในยุโรปนั้น ขึ้นอยู่กับล่ามที่ชาตินั้นๆ ใช้ในการติดต่อกับสยามว่าชาติตะวันตกชาตินั้นๆ จะต้องไปติดต่อกับกรมท่าซ้ายหรือกรมท่าขวา หากใช้ล่ามที่มาจากประเทศทางฝั่งตะวันออกของสยามให้ติดต่อกับกรมท่าซ้าย หากใช้ล่ามที่มาจากประเทศทางฝั่งตะวันตกของสยามให้ติดต่อกับกรมท่าขวา)[[#_ftn3|[3]]]


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในช่วงปลายสมัยอยุธยา อำนาจหน้าที่ของเสนาบดีกรมคลังได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นมาในช่วงต้น-กลางสมัยอยุธยา โดยพระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกหัวเมืองภายใต้ปกครองของสมุหพระกลาโหมมาขึ้นกับเสนาบดีกรมคลังแทน เนื่องจากเสนาบดีกลาโหมได้กระทำความผิดที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงพอพระทัย นอกจากนี้ ในช่วงปลายสมัยอยุธยา เสนาบดีกรมคลังยังมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบด้านการศาล การสงคราม ภาษีอากร และการปกครองโดยทั่วๆ ไปในบริเวณหัวเมืองภาคใต้ด้วย[[#_ftn4|[4]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในช่วงปลายสมัยอยุธยา อำนาจหน้าที่ของเสนาบดีกรมคลังได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นมาในช่วงต้น-กลางสมัยอยุธยา โดยพระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยก[[หัวเมือง]]ภายใต้ปกครองของสมุหพระกลาโหมมาขึ้นกับเสนาบดีกรมคลังแทน เนื่องจากเสนาบดีกลาโหมได้กระทำความผิดที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงพอพระทัย นอกจากนี้ ในช่วงปลายสมัยอยุธยา เสนาบดีกรมคลังยังมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบด้านการศาล การสงคราม ภาษีอากร และการปกครองโดยทั่วๆ ไปในบริเวณหัวเมืองภาคใต้ด้วย[[#_ftn4|[4]]]


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ด้วยเหตุที่กรมคลังทำหน้าที่ดูแลงานด้านการค้าและการทูตกับชาวต่างประเทศ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กรมท่า” ตามบทบาทหน้าที่ที่บังคับการท่าเรือที่เรือต่างประเทศเข้ามาค้าขาย[[#_ftn5|[5]]] โดยนับตั้งแต่สมัยกลางอยุธยา จนถึงปลายสมัยอยุธยา เสนาบดีที่คุมกรมคลังทั้งหมดให้ความสำคัญแก่กิจกรรมของกรมท่ามากกว่ากิจกรรมของกรมคลังของกรมพระคลัง ทำให้คนภายนอกมองว่า การค้าต่างประเทศของกรมท่า เป็นหน้าที่หลักของกรมคลังหรือมองว่า “กรมท่า” คือสิ่งเดียวกับ “กรมพระคลัง” มีการเรียกชื่อ เสนาบดีพระคลังว่า เสนาบดีในกรมท่า[[#_ftn6|[6]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ด้วยเหตุที่กรมคลังทำหน้าที่ดูแลงานด้านการค้าและการทูตกับชาวต่างประเทศ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กรมท่า” ตามบทบาทหน้าที่ที่บังคับการท่าเรือที่เรือต่างประเทศเข้ามาค้าขาย[[#_ftn5|[5]]] โดยนับตั้งแต่สมัยกลางอยุธยา จนถึงปลายสมัยอยุธยา เสนาบดีที่คุมกรมคลังทั้งหมดให้ความสำคัญแก่กิจกรรมของกรมท่ามากกว่ากิจกรรมของกรมคลังของกรมพระคลัง ทำให้คนภายนอกมองว่า การค้าต่างประเทศของกรมท่า เป็นหน้าที่หลักของกรมคลังหรือมองว่า “กรมท่า” คือสิ่งเดียวกับ “กรมพระคลัง” มีการเรียกชื่อ เสนาบดีพระคลังว่า เสนาบดีในกรมท่า[[#_ftn6|[6]]]
บรรทัดที่ 20: บรรทัดที่ 20:
'''<u>กรมพระคลังในสมัยธนบุรี</u><u>-สมัยต้นรัตนโกสินทร์</u>'''
'''<u>กรมพระคลังในสมัยธนบุรี</u><u>-สมัยต้นรัตนโกสินทร์</u>'''


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะล่มสลายไปเมื่อพ่ายแพ้ต่อกองทัพพม่าในสงครามคราว “เสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310” แต่พระเจ้าตากสินหรือพระเจ้ากรุงธนบุรี ผู้รื้อฟื้นอาณาจักรสยามขึ้นมาใหม่ ได้ใช้ระบบการบริหารราชการตามแบบสมัยอยุธยา ดังนั้น กรมคลังจึงถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ และมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับ กรมคลังในสมัยปลายอยุธยา ต่อมาเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ปกครองมาเป็นราชวงศ์จักรี และมีการย้ายราชธานีของอาณาจักรจากกรุงธนบุรีมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีพระบรมราชโองการปรับปรุงการปกครองดูแลบ้านเมืองใหม่ทั้งหมด เสนาบดีกรมคลังหรือกรมท่า ถูกลดอำนาจในการคุมหัวเมืองจากเคยคุมหัวเมืองชายทะเลภาคใต้และหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก เหลือเพียงมีอำนาจคุมหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก ส่วนหัวเมืองภาคใต้นั้นให้เสนาบดีกลาโหม (สมุหพระกลาโหม) เป็นผู้ดูแล[[#_ftn7|[7]]] ในรัชสมัยของพระองค์มีการแต่งตั้งขุนนางผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง 3 ท่าน ได้แก่ เจ้าพระยาพระคลัง (สน), เจ้าพระยาพระคลัง (หน), เจ้าพระยาคลัง (กุน)[[#_ftn8|[8]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะล่มสลายไปเมื่อพ่ายแพ้ต่อกองทัพพม่าในสงครามคราว “เสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310” แต่พระเจ้าตากสินหรือพระเจ้ากรุงธนบุรี ผู้รื้อฟื้นอาณาจักรสยามขึ้นมาใหม่ ได้ใช้ระบบการบริหารราชการตามแบบสมัยอยุธยา ดังนั้น กรมคลังจึงถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ และมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับ กรมคลังในสมัยปลายอยุธยา ต่อมาเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ปกครองมาเป็นราชวงศ์จักรี และมีการย้ายราชธานีของอาณาจักรจากกรุงธนบุรีมาเป็น[[กรุงรัตนโกสินทร์]] [[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]] ทรงมีพระบรมราชโองการปรับปรุงการปกครองดูแลบ้านเมืองใหม่ทั้งหมด เสนาบดีกรมคลังหรือกรมท่า ถูกลดอำนาจในการคุมหัวเมืองจากเคยคุม[[หัวเมืองชายทะเลภาคใต้]]และ[[หัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก]] เหลือเพียงมีอำนาจคุมหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก ส่วนหัวเมืองภาคใต้นั้นให้[[เสนาบดีกลาโหม]] ([[สมุหพระกลาโหม]]) เป็นผู้ดูแล[[#_ftn7|[7]]] ในรัชสมัยของพระองค์มีการแต่งตั้งขุนนางผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง 3 ท่าน ได้แก่ เจ้าพระยาพระคลัง (สน), เจ้าพระยาพระคลัง (หน), เจ้าพระยาคลัง (กุน)[[#_ftn8|[8]]]


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการแต่งตั้งขุนนางตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง (หรือกรมท่า) รวม 2 ท่าน ได้แก่ เจ้าพระยาพระคลัง (กร) และเจ้าพระยาพระคลัง (สังข์) มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งตั้ง เจ้าพระยาพระคลัง 1 ท่าน ได้แก่ เจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) โดยเจ้าพระยาพระคลังท่านนี้ ทำหน้าที่สมุหพระกลาโหมควบคู่กันไปด้วย จึงเรียกกันว่า เจ้าพระยาพระคลัง ว่าที่สมุหพระกลาโหม[[#_ftn9|[9]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]] มีการแต่งตั้งขุนนางตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง (หรือกรมท่า) รวม 2 ท่าน ได้แก่ เจ้าพระยาพระคลัง (กร) และเจ้าพระยาพระคลัง (สังข์) มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งตั้ง เจ้าพระยาพระคลัง 1 ท่าน ได้แก่ เจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) โดยเจ้าพระยาพระคลังท่านนี้ ทำหน้าที่สมุหพระกลาโหมควบคู่กันไปด้วย จึงเรียกกันว่า เจ้าพระยาพระคลัง ว่าที่สมุหพระกลาโหม[[#_ftn9|[9]]]


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการแต่งตั้งเสนาบดีกรมพระคลัง ได้แก่ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)[[#_ftn10|[10]]] โดยในช่วงปลายรัชสมัยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ของเสนาบดีกรมพระคลัง คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้แยกงานด้านการต่างประเทศกับด้านพระคลัง ซึ่งรวมอยู่ในเสนาบดีคนเดียวกันออกจากกันเป็นคนละแผนก[[#_ftn11|[11]]] คือ ให้กรมพระคลังดูแลรับผิดชอบงานการเก็บภาษีอากร และให้กรมท่าดูแลราชการทางการทูตอย่างเดียว[[#_ftn12|[12]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] มีการแต่งตั้งเสนาบดีกรมพระคลัง ได้แก่ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)[[#_ftn10|[10]]] โดยในช่วงปลายรัชสมัยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ของเสนาบดีกรมพระคลัง คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้แยกงานด้านการต่างประเทศกับด้านพระคลัง ซึ่งรวมอยู่ในเสนาบดีคนเดียวกันออกจากกันเป็นคนละแผนก[[#_ftn11|[11]]] คือ ให้กรมพระคลังดูแลรับผิดชอบงานการเก็บภาษีอากร และให้กรมท่าดูแลราชการทางการทูตอย่างเดียว[[#_ftn12|[12]]]


'''<u>กรมพระคลังในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</u>'''
'''<u>กรมพระคลังในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</u>'''


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ก่อนหน้าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว จะทรงปฏิรูปการปกครอง เมื่อ พ.ศ. 2435 อันส่งผลให้มีการยกเลิกระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในช่วงแรกของรัชสมัยยังคงใช้ระบบการบริหารราชการที่ใช้กันมาแต่เดิม โดยมีเชื้อพระวงศ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ว่าการกรมท่าหรือกรมพระคลัง คือ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ต่อมาเมื่อกรมขุนวรจักรธรานุภาพ สิ้นพระชนม์ในช่วงกลางๆ ปี 2415 ได้ทรงแต่งตั้งขุนนางตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง คือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกศาธิบดี (ท้วม บุนนาค) จนกระทั่ง ท่านเจ้าพระยากราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ในปี 2428 ก็ไม่มีการตั้งเสนาบดีตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลังอีก[[#_ftn13|[13]]] เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครองประเทศ ใน พ.ศ. 2435 ได้มีการตั้งกระทรวงต่างๆ ขึ้น ในการนี้กรมพระคลังได้ถูกยกเลิกและตั้งกระทรวงใหม่ขึ้นมาดูแลงานด้านการเก็บภาษีอากร และงานด้านการต่างประเทศแทน ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวว่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการกำหนดเป็นกระทรวงเสนาบดีต่างกัน กระทรวงหนึ่งเรียกว่า กระทรวงต่างประเทศ อีกกระทรวงหนึ่งเรียกว่า กระทรวงพระคลัง[[#_ftn14|[14]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ก่อนหน้าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว จะทรง[[ปฏิรูปการปกครอง]] เมื่อ พ.ศ. 2435 อันส่งผลให้มีการยกเลิกระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในช่วงแรกของรัชสมัยยังคงใช้ระบบการบริหารราชการที่ใช้กันมาแต่เดิม โดยมีเชื้อพระวงศ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ว่าการกรมท่าหรือกรมพระคลัง คือ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ต่อมาเมื่อกรมขุนวรจักรธรานุภาพ สิ้นพระชนม์ในช่วงกลางๆ ปี 2415 ได้ทรงแต่งตั้งขุนนางตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง คือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกศาธิบดี (ท้วม บุนนาค) จนกระทั่ง ท่านเจ้าพระยากราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ในปี 2428 ก็ไม่มีการตั้งเสนาบดีตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลังอีก[[#_ftn13|[13]]] เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครองประเทศ ใน พ.ศ. 2435 ได้มีการตั้งกระทรวงต่างๆ ขึ้น ในการนี้กรมพระคลังได้ถูกยกเลิกและตั้งกระทรวงใหม่ขึ้นมาดูแลงานด้านการเก็บภาษีอากร และงานด้านการต่างประเทศแทน ดังที่สมเด็จฯ [[กรมพระยาดำรงราชานุภาพ]] ทรงกล่าวว่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการกำหนดเป็นกระทรวงเสนาบดีต่างกัน กระทรวงหนึ่งเรียกว่า กระทรวงต่างประเทศ อีกกระทรวงหนึ่งเรียกว่า กระทรวงพระคลัง[[#_ftn14|[14]]]


&nbsp;
&nbsp;
บรรทัดที่ 36: บรรทัดที่ 36:
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จ<u>พระ</u><u>.&nbsp; พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน</u>. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2557
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จ<u>พระ</u><u>.&nbsp; พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน</u>. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2557


จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. <u>ขุนนางกรมท่าขวา การศึกษาบทบาทและหน้าที่ในสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. </u><u>2153-2435</u>. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546.
จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. <u>ขุนนางกรมท่าขวา การศึกษาบทบาทและหน้าที่ในสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. </u><u>2153-2435</u>. กรุงเทพฯ&nbsp;: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546.


ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา <u>ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้</u>. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2555.
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา <u>ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้</u>. กรุงเทพฯ&nbsp;: สยามปริทัศน์, 2555.


เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระ. <u>บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์</u>. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.
เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระ. <u>บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์</u>. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.
บรรทัดที่ 44: บรรทัดที่ 44:
เวลส์, ควอริช. <u>การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ.</u> กาญจนี ละอองศรี และยุพา ชุมจันทร์ (แปล).กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2527.
เวลส์, ควอริช. <u>การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ.</u> กาญจนี ละอองศรี และยุพา ชุมจันทร์ (แปล).กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2527.


ส. พลายน้อย. <u>ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน</u>. พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : มติชน, 2550.
ส. พลายน้อย. <u>ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน</u>. พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ&nbsp;: มติชน, 2550.


อดิศร หมวกพิมาย. “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย : วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398”. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2531.
อดิศร หมวกพิมาย. “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย&nbsp;: วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398”. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2531.


&nbsp;
&nbsp;
บรรทัดที่ 56: บรรทัดที่ 56:
[[#_ftnref2|[2]]] เรียบเรียงจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, <u>พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแถลงพระบรมราชาธิราชแก้ไขการปกครองแผ่นดิน</u>, หน้า 17-18; สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, <u>บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์</u>, หน้า 14; ควอริช เวลส์, <u>การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ</u>, หน้า 73.
[[#_ftnref2|[2]]] เรียบเรียงจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, <u>พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแถลงพระบรมราชาธิราชแก้ไขการปกครองแผ่นดิน</u>, หน้า 17-18; สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, <u>บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์</u>, หน้า 14; ควอริช เวลส์, <u>การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ</u>, หน้า 73.
</div> <div id="ftn3">
</div> <div id="ftn3">
[[#_ftnref3|[3]]] เรียบเรียงจาก ควอริช เวลส์, <u>การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ</u>, หน้า 73-74; อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย : วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2531, หน้า 22-29; จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์, <u>ขุนนางกรมท่าขวา การศึกษาบทบาทและหน้าที่ในสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. </u><u>2153-2435</u>, กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546, หน้า 71-82.
[[#_ftnref3|[3]]] เรียบเรียงจาก ควอริช เวลส์, <u>การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ</u>, หน้า 73-74; อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย&nbsp;: วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2531, หน้า 22-29; จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์, <u>ขุนนางกรมท่าขวา การศึกษาบทบาทและหน้าที่ในสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. </u><u>2153-2435</u>, กรุงเทพฯ&nbsp;: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546, หน้า 71-82.
</div> <div id="ftn4">
</div> <div id="ftn4">
[[#_ftnref4|[4]]] ควอริช เวลส์, <u>การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ</u>, หน้า 74-75.
[[#_ftnref4|[4]]] ควอริช เวลส์, <u>การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ</u>, หน้า 74-75.
</div> <div id="ftn5">
</div> <div id="ftn5">
[[#_ftnref5|[5]]] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, <u>ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้</u>, กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2555, หน้า 74.
[[#_ftnref5|[5]]] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, <u>ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้</u>, กรุงเทพฯ&nbsp;: สยามปริทัศน์, 2555, หน้า 74.
</div> <div id="ftn6">
</div> <div id="ftn6">
[[#_ftnref6|[6]]] อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย : วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” หน้า 30.
[[#_ftnref6|[6]]] อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย&nbsp;: วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” หน้า 30.
</div> <div id="ftn7">
</div> <div id="ftn7">
[[#_ftnref7|[7]]] เรียบเรียงจาก อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย : วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” หน้า 57-58; ควอริช เวลส์, <u>การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ</u>, หน้า 75.
[[#_ftnref7|[7]]] เรียบเรียงจาก อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย&nbsp;: วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” หน้า 57-58; ควอริช เวลส์, <u>การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ</u>, หน้า 75.
</div> <div id="ftn8">
</div> <div id="ftn8">
[[#_ftnref8|[8]]] ส. พลายน้อย, <u>ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน</u>, พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : มติชน, 2550, หน้า 52-53, 120-121.
[[#_ftnref8|[8]]] ส. พลายน้อย, <u>ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน</u>, พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ&nbsp;: มติชน, 2550, หน้า 52-53, 120-121.
</div> <div id="ftn9">
</div> <div id="ftn9">
[[#_ftnref9|[9]]] เรื่องเดียวกัน, หน้า 121-122.
[[#_ftnref9|[9]]] เรื่องเดียวกัน, หน้า 121-122.
บรรทัดที่ 74: บรรทัดที่ 74:
[[#_ftnref11|[11]]] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, <u>ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้</u>, หน้า 74.
[[#_ftnref11|[11]]] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, <u>ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้</u>, หน้า 74.
</div> <div id="ftn12">
</div> <div id="ftn12">
[[#_ftnref12|[12]]] อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย : วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” หน้า 235.
[[#_ftnref12|[12]]] อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย&nbsp;: วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” หน้า 235.
</div> <div id="ftn13">
</div> <div id="ftn13">
[[#_ftnref13|[13]]] ส. พลายน้อย, <u>ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน</u>, หน้า 123-126.
[[#_ftnref13|[13]]] ส. พลายน้อย, <u>ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน</u>, หน้า 123-126.

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 14:29, 19 ธันวาคม 2560

ผู้เรียบเรียง : ดร.โดม ไกรปกรณ์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


กรมคลัง

          ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พ.ศ. 1893-1912) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ตั้งตำแหน่งข้าราชการ โดยตำแหน่งสำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ ตำแหน่ง “จตุสดมภ์” อันได้แก่ เวียง วัง คลัง นา สำหรับตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง มียศเป็นเจ้าพระยาหรือพระยา โดยมีบรรดาศักดิ์หรือราชทินนาม “โกษาธิบดี” ตามระบบศักดินาที่ใช้ในสมัยอยุธยานั้น เจ้าพระยาพระคลังมีศักดินา 10,000[1]

          สำหรับอำนาจหน้าที่ของเสนาบดีกรมคลังในสมัยอยุธยานั้น ในระยะแรกเสนาบดีกรมคลัง ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการเก็บรายได้และรายจ่ายของกรมทุกกรม รวมทั้งตัดสินคดีความที่เกี่ยวกับพระราชทรัพย์หลวง โดยงานของเสนาบดีกรมคลังน่าจะเป็นงานเบา เนื่องจากภาษีอากรที่รัฐเรียกเก็บเป็นตัวเงินมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นการเรียกเก็บสิ่งของและเรียกเกณฑ์แรงงานจากราษฎร ซึ่งอย่างหลังเป็นหน้าที่ของฝ่ายมหาดไทยและกลาโหม[2] เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเริ่มติดต่อค้าขายกับจีนและส่งสำเภาหลวงนำสินค้าพื้นเมืองออกไปขาย เสนาบดีกรมคลังจึงมีหน้าที่ดูแลเรื่องการติดต่อค้าขายกับจีน รวมทั้งเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกรุงศรีอยุธยากับอาณาจักรจีนด้วย โดยหน่วยงานในสังกัดเสนาบดีกรมคลังที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าระหว่างกรุงศรีอยุธยากับจีน ได้แก่ “กรมท่าซ้าย” ต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยามีการติดต่อค้าขายกับชาวยุโรป และพ่อค้ามุสลิมจากอาหรับ จึงมีการตั้ง “กรมท่าขวา” เพื่อทำหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับพ่อค้ามุสลิมและพ่อค้าชาวฮอลันดา (ส่วนการติดต่อสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับพ่อค้าจากประเทศอื่นๆ ในยุโรปนั้น ขึ้นอยู่กับล่ามที่ชาตินั้นๆ ใช้ในการติดต่อกับสยามว่าชาติตะวันตกชาตินั้นๆ จะต้องไปติดต่อกับกรมท่าซ้ายหรือกรมท่าขวา หากใช้ล่ามที่มาจากประเทศทางฝั่งตะวันออกของสยามให้ติดต่อกับกรมท่าซ้าย หากใช้ล่ามที่มาจากประเทศทางฝั่งตะวันตกของสยามให้ติดต่อกับกรมท่าขวา)[3]

          ในช่วงปลายสมัยอยุธยา อำนาจหน้าที่ของเสนาบดีกรมคลังได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นมาในช่วงต้น-กลางสมัยอยุธยา โดยพระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกหัวเมืองภายใต้ปกครองของสมุหพระกลาโหมมาขึ้นกับเสนาบดีกรมคลังแทน เนื่องจากเสนาบดีกลาโหมได้กระทำความผิดที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงพอพระทัย นอกจากนี้ ในช่วงปลายสมัยอยุธยา เสนาบดีกรมคลังยังมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบด้านการศาล การสงคราม ภาษีอากร และการปกครองโดยทั่วๆ ไปในบริเวณหัวเมืองภาคใต้ด้วย[4]

          ด้วยเหตุที่กรมคลังทำหน้าที่ดูแลงานด้านการค้าและการทูตกับชาวต่างประเทศ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กรมท่า” ตามบทบาทหน้าที่ที่บังคับการท่าเรือที่เรือต่างประเทศเข้ามาค้าขาย[5] โดยนับตั้งแต่สมัยกลางอยุธยา จนถึงปลายสมัยอยุธยา เสนาบดีที่คุมกรมคลังทั้งหมดให้ความสำคัญแก่กิจกรรมของกรมท่ามากกว่ากิจกรรมของกรมคลังของกรมพระคลัง ทำให้คนภายนอกมองว่า การค้าต่างประเทศของกรมท่า เป็นหน้าที่หลักของกรมคลังหรือมองว่า “กรมท่า” คือสิ่งเดียวกับ “กรมพระคลัง” มีการเรียกชื่อ เสนาบดีพระคลังว่า เสนาบดีในกรมท่า[6]

 

กรมพระคลังในสมัยธนบุรี-สมัยต้นรัตนโกสินทร์

          แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะล่มสลายไปเมื่อพ่ายแพ้ต่อกองทัพพม่าในสงครามคราว “เสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310” แต่พระเจ้าตากสินหรือพระเจ้ากรุงธนบุรี ผู้รื้อฟื้นอาณาจักรสยามขึ้นมาใหม่ ได้ใช้ระบบการบริหารราชการตามแบบสมัยอยุธยา ดังนั้น กรมคลังจึงถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ และมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับ กรมคลังในสมัยปลายอยุธยา ต่อมาเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ปกครองมาเป็นราชวงศ์จักรี และมีการย้ายราชธานีของอาณาจักรจากกรุงธนบุรีมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีพระบรมราชโองการปรับปรุงการปกครองดูแลบ้านเมืองใหม่ทั้งหมด เสนาบดีกรมคลังหรือกรมท่า ถูกลดอำนาจในการคุมหัวเมืองจากเคยคุมหัวเมืองชายทะเลภาคใต้และหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก เหลือเพียงมีอำนาจคุมหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก ส่วนหัวเมืองภาคใต้นั้นให้เสนาบดีกลาโหม (สมุหพระกลาโหม) เป็นผู้ดูแล[7] ในรัชสมัยของพระองค์มีการแต่งตั้งขุนนางผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง 3 ท่าน ได้แก่ เจ้าพระยาพระคลัง (สน), เจ้าพระยาพระคลัง (หน), เจ้าพระยาคลัง (กุน)[8]

          ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการแต่งตั้งขุนนางตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง (หรือกรมท่า) รวม 2 ท่าน ได้แก่ เจ้าพระยาพระคลัง (กร) และเจ้าพระยาพระคลัง (สังข์) มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งตั้ง เจ้าพระยาพระคลัง 1 ท่าน ได้แก่ เจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) โดยเจ้าพระยาพระคลังท่านนี้ ทำหน้าที่สมุหพระกลาโหมควบคู่กันไปด้วย จึงเรียกกันว่า เจ้าพระยาพระคลัง ว่าที่สมุหพระกลาโหม[9]

          ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการแต่งตั้งเสนาบดีกรมพระคลัง ได้แก่ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)[10] โดยในช่วงปลายรัชสมัยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ของเสนาบดีกรมพระคลัง คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้แยกงานด้านการต่างประเทศกับด้านพระคลัง ซึ่งรวมอยู่ในเสนาบดีคนเดียวกันออกจากกันเป็นคนละแผนก[11] คือ ให้กรมพระคลังดูแลรับผิดชอบงานการเก็บภาษีอากร และให้กรมท่าดูแลราชการทางการทูตอย่างเดียว[12]

กรมพระคลังในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

          ก่อนหน้าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว จะทรงปฏิรูปการปกครอง เมื่อ พ.ศ. 2435 อันส่งผลให้มีการยกเลิกระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในช่วงแรกของรัชสมัยยังคงใช้ระบบการบริหารราชการที่ใช้กันมาแต่เดิม โดยมีเชื้อพระวงศ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ว่าการกรมท่าหรือกรมพระคลัง คือ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ต่อมาเมื่อกรมขุนวรจักรธรานุภาพ สิ้นพระชนม์ในช่วงกลางๆ ปี 2415 ได้ทรงแต่งตั้งขุนนางตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง คือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกศาธิบดี (ท้วม บุนนาค) จนกระทั่ง ท่านเจ้าพระยากราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ในปี 2428 ก็ไม่มีการตั้งเสนาบดีตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลังอีก[13] เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครองประเทศ ใน พ.ศ. 2435 ได้มีการตั้งกระทรวงต่างๆ ขึ้น ในการนี้กรมพระคลังได้ถูกยกเลิกและตั้งกระทรวงใหม่ขึ้นมาดูแลงานด้านการเก็บภาษีอากร และงานด้านการต่างประเทศแทน ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวว่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการกำหนดเป็นกระทรวงเสนาบดีต่างกัน กระทรวงหนึ่งเรียกว่า กระทรวงต่างประเทศ อีกกระทรวงหนึ่งเรียกว่า กระทรวงพระคลัง[14]

 

บรรณานุกรม

จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ.  พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2557

จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. ขุนนางกรมท่าขวา การศึกษาบทบาทและหน้าที่ในสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2153-2435. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546.

ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2555.

เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระ. บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.

เวลส์, ควอริช. การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ. กาญจนี ละอองศรี และยุพา ชุมจันทร์ (แปล).กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2527.

ส. พลายน้อย. ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน. พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : มติชน, 2550.

อดิศร หมวกพิมาย. “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย : วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398”. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2531.

 

อ้างอิง

[1] เรียบเรียงจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549, หน้า 13; ควอริช เวลส์, การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ, กาญจนี ละอองศรี และยุพา ชุมจันทร์ (แปล).กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2527, หน้า 73.

[2] เรียบเรียงจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแถลงพระบรมราชาธิราชแก้ไขการปกครองแผ่นดิน, หน้า 17-18; สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, หน้า 14; ควอริช เวลส์, การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ, หน้า 73.

[3] เรียบเรียงจาก ควอริช เวลส์, การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ, หน้า 73-74; อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย : วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2531, หน้า 22-29; จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์, ขุนนางกรมท่าขวา การศึกษาบทบาทและหน้าที่ในสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2153-2435, กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546, หน้า 71-82.

[4] ควอริช เวลส์, การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ, หน้า 74-75.

[5] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้, กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2555, หน้า 74.

[6] อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย : วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” หน้า 30.

[7] เรียบเรียงจาก อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย : วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” หน้า 57-58; ควอริช เวลส์, การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ, หน้า 75.

[8] ส. พลายน้อย, ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน, พิมพ์ครั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : มติชน, 2550, หน้า 52-53, 120-121.

[9] เรื่องเดียวกัน, หน้า 121-122.

[10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 122-123.

[11] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้, หน้า 74.

[12] อดิศร หมวกพิมาย, “กรมท่ากับระบบเศรษฐกิจไทย : วิเคราะห์โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยธนบุรีถึงการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2310-2398,” หน้า 235.

[13] ส. พลายน้อย, ขุนนางสยาม ประวัติศาสตร์ “ข้าราชการ” ทหารและพลเรือน, หน้า 123-126.

[14] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ประชุมพระนิพนธ์สรรพความรู้, หน้า 74.