ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไสว สุทธิพิทักษ์"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
สร้างหน้าด้วย " ผู้แต่ง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร ผู้ทรงคุณว..."
 
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:


ผู้แต่ง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้เรียบเรียง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


----
----


'''ไสว สุทธิพิทักษ์ : จากนักการเมืองมาเป็นนักการศึกษาสำคัญ'''
'''ไสว สุทธิพิทักษ์ : จากนักการเมืองมาเป็นนักการศึกษาสำคัญ'''


            การยึดอำนาจในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ที่เรียกกันว่า “รัฐประหาร” นั้นเป็นการชิงไหวชิงพริบในการชิงอำนาจและรักษาอำนาจของกลุ่มการเมืองในเวลานั้น ที่ยังมีความลึกลับอยู่ในข้อเท็จจริงบางประการ คณะนายทหารที่นำโดยพลโท ผิน ชุณหะวัณ ที่หนุนหลวงพิบูลสงคราม เข้าล้มรัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมสนับสนุน ในตอนดึกของวันที่ 8 พฤศจิกายน รุนแรงขนาด ยิงปืนบุกบ้านพักของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ท่าช้างเพื่อจะจับนายปรีดี หากแต่คลาดกัน จับไม่ได้ทั้งนายปรีดี และนายกรัฐมนตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ แต่ฝ่ายรัฐบาลยังไม่ยอมจำนน แม้ว่าคณะรัฐประหารจะแอบนำร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารไปลงนามประกาศใช้ ทางผู้นำรัฐบาลยังคิดที่จะต่อสู้ ดังความที่ปรากฏในหนังสือ “ดร.ปรีดี พนมยงค์” ซึ่งพิมพ์ครั้งที่ 2 ว่า
            การยึดอำนาจในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ที่เรียกกันว่า “รัฐประหาร” นั้นเป็นการชิงไหวชิงพริบในการชิงอำนาจและรักษาอำนาจของกลุ่มการเมืองในเวลานั้น ที่ยังมีความลึกลับอยู่ในข้อเท็จจริงบางประการ คณะนายทหารที่นำโดยพลโท ผิน ชุณหะวัณ ที่หนุนหลวงพิบูลสงคราม เข้าล้มรัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมสนับสนุน ในตอนดึกของวันที่ 8 พฤศจิกายน รุนแรงขนาด ยิงปืนบุกบ้านพักของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ท่าช้างเพื่อจะจับนายปรีดี หากแต่คลาดกัน จับไม่ได้ทั้งนายปรีดี และนายกรัฐมนตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ แต่ฝ่ายรัฐบาลยังไม่ยอมจำนน แม้ว่าคณะรัฐประหารจะแอบนำร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารไปลงนามประกาศใช้ ทางผู้นำรัฐบาลยังคิดที่จะต่อสู้ ดังความที่ปรากฏในหนังสือ “ดร.ปรีดี พนมยงค์” ซึ่งพิมพ์ครั้งที่ 2 ว่า

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 11:30, 9 มิถุนายน 2560

ผู้เรียบเรียง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


ไสว สุทธิพิทักษ์ : จากนักการเมืองมาเป็นนักการศึกษาสำคัญ

            การยึดอำนาจในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ที่เรียกกันว่า “รัฐประหาร” นั้นเป็นการชิงไหวชิงพริบในการชิงอำนาจและรักษาอำนาจของกลุ่มการเมืองในเวลานั้น ที่ยังมีความลึกลับอยู่ในข้อเท็จจริงบางประการ คณะนายทหารที่นำโดยพลโท ผิน ชุณหะวัณ ที่หนุนหลวงพิบูลสงคราม เข้าล้มรัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมสนับสนุน ในตอนดึกของวันที่ 8 พฤศจิกายน รุนแรงขนาด ยิงปืนบุกบ้านพักของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ท่าช้างเพื่อจะจับนายปรีดี หากแต่คลาดกัน จับไม่ได้ทั้งนายปรีดี และนายกรัฐมนตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ แต่ฝ่ายรัฐบาลยังไม่ยอมจำนน แม้ว่าคณะรัฐประหารจะแอบนำร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารไปลงนามประกาศใช้ ทางผู้นำรัฐบาลยังคิดที่จะต่อสู้ ดังความที่ปรากฏในหนังสือ “ดร.ปรีดี พนมยงค์” ซึ่งพิมพ์ครั้งที่ 2 ว่า

            “เช้ามืดของวันที่ 9 พฤศจิกายน จากท้องพระโรงกองบัญชาการทหารเรือพระราชวังเดิม ธนบุรี ดร.ปรีดี พนมยงค์ และพล ร.ต.ถวัลย์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์ ส่งนายไสว สุทธิพิทักษ์ เป็นตัวแทนไปเจรจากับพลเอก อดุล อดุลเดชจรัส หรืออีกนัยหนึ่งคือหลวงอดุลฯ ผู้บัญชาการทหารบก ณ ที่พักในวังปารุสกวัน ตัวแทนแจ้งแก่หลวงอดุลฯว่า รัฐบาลจะสั่งปราบกบฏนี้ จะมีความเห็นอย่างไร. หลวงอดุลฯดูออกจะตลึงเล็กน้อย แล้วกล่าวแก่ตัวแทนว่า ไปบอกหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และท่านปรีดีฯเถิด ขออย่าให้มีการปราบปรามต่อต้านคณะรัฐประหารเลย ขอให้เห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและขอให้รัฐบุรุษทั้งสองหลบหนีไปก่อน ความจริงเป็นอย่างนี้”

             ข้อความนี้เขียนโดย ไสว สุทธิพิทักษ์ ที่น่าสนใจก็คือเหตุใดวันนั้นท่านจึงตกที่นั่ง “ตัวแทน” ไปเจรจา ไสว สุทธิพิทักษ์ เป็นคนใต้ ขึ้น มาจาก เมืองนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2460. ที่อำเภอปากพนัง มีบิดาชื่อ เฟื่อง มารดาชื่อนวล บิดารับราชการเป็นข้าราชการชั้นตรี ตัวท่านเองเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนประจำอำเภอปากพนัง แล้วก็ เรียนต่อที่จังหวัด ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วจึงเข้ากรุงเทพฯมาเรียนที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ โดยอาศัยอยู่กับพระที่วัดราชาธิวาส ท่านเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 เมื่อปี 2479 อยากเป็นนายร้อยตำรวจ แต่ตาสั้นจึงเข้าไม่ได้ จะเรียนแพทย์แต่ก็มาสอบไม่ทันจึงคิดจะเรียนกฎหมาย หากแต่เพื่อนชวนไปเรียนครูและเกิดชิงทุนของจังหวัดระนองได้ ไปเรียนครูอยู่ 1 ปีจบได้ประกาศนียบัตรครูประถม แล้วจึงไปทำงานเป็นครูที่โรงเรียนวังบูรพา และสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ ได้เรียนกฎหมายสมใจ ต่อ มาก็สอบเข้าทำงานที่กรมบัญชีกลาง

             ถึงปี 2485 เรียนจบปริญญาตรี การงานที่กระทรวงการคลังก็ก้าวหน้า ในปีถัดมาก็ได้แต่งงานกับนาง สนม ส่วนการศึกษาก็ได้เรียนต่อระดับปริญญาโททางเศรษฐศาสตร์ ในช่วงเวลานั้นประเทศไทยได้เข้าไปพัวพันกับสงคราม จึงมีการรวมตัวของคนไทยเป็น “เสรีไทย” ไสว ก็ได้ติดต่อกับ อาจารย์ วิจิตร ลุลิตานนท์ เลขาธิการหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ฯขอเข้าร่วมเป็นเสรีไทยด้วยคนหนึ่ง หลังสงคราม ไสวก็เรียนจบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ รับราชการที่กระทรวงการคลังสืบมา พร้อมกับมาเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ฯด้วย

             การเมืองไทยหลังสงครามมีการเปลี่ยนรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรีอยู่สองสามคน มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังสงคราม ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2489 นับเป็นการเลือกตั้งที่คึกคัก ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองคนสำคัญอย่างอดีตนายกรัฐมนตรี ควง อภัยวงศ์ และอดีตประธานพฤฒสภา วิลาส โอสถานนท์ ได้ลาออกจากสมาชิกสภาฯประเภทแต่งตั้ง มาลงเลือกตั้งที่กรุงเทพฯ ผู้ที่สนใจฝักไฝ่การเมืองได้ร่วมกลุ่มกันเป็นพรรคการเมือง จึงมีคนหน้าใหม่เข้าสู่สนามการเมือง แต่ไสว สุทธิพิทักษ์ก็ยังรับราชการ และยังสนใจที่จะศึกษาต่อในต่างประเทศเสียด้วย จนกระทั่งอาจารย์ที่ไสว เคารพรักคือนายปรีดี พนมยงค์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2489 และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม ในวันที่ 5 สิงหาคม ปี 2489 จึงมีเสียงชักชวนทางการเมืองให้ไสวลงเลือกตั้งที่บ้านเกิด

             ไสวจึงเข้าสู่วงการเมืองเป็นสมาชิกพรรคแนวรัฐธรรมนูญที่มี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นหัวหน้าพรรค ไสวห่างบ้านเกิดมาเรียนหนังสือและทำงานที่กรุงเทพฯนาน ลงไปสมัครเป็นผู้แทนฯ จึงต้องหาเสียงหนักมาก คู่แข่งทางการเมืองในเขตเลือกตั้งที่ 1 ก็คือนาย ฉ่ำ จำรัสเนตร ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร เล่าว่าในใบปลิวหาเสียงของไสวนั้นระบุว่าท่านเป็น “ศิษย์หลวงประดิษฐมนูธรรม” และไสวก็ชนะได้เป็นผู้แทนฯ ที่น่าสนใจมากก็คือการเลือกตั้งครั้งนี้ นายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคแนวรัฐธรรมนูญได้แยกกันลงเลือกตั้งคนละเขตที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยทั้งสองท่านได้รับเลือกตั้งด้วย ไสวเป็นผู้แทนฯเข้าสภาฯไม่นานก็ได้เข้าทำเนียบ เพราะหัวหน้าพรรคของท่านคือหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากนายปรีดี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2489 และไสวก็ได้ตำแหน่งสำคัญเป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นไม่เรียกว่าเลขาธิการนายกฯ

             การเป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรีนี่เองไสวจึงเป็น "ตัวแทน"หัวหน้ารัฐบาลไปเจรจากับคนที่รับปากว่าจะไม่มีรัฐประหาร และการที่ไสวเข้าไปเล่นการเมืองเพียงปีกว่าๆโดยเคยร่วมงานเสรีไทยและประกาศตนว่าเป็นศิษย์นายปรีดี เมื่อเกิดกรณีกบฏวังหลวง ไสวจึงต้องลี้หนีภัยพิฆาตไปอยู่สิงคโปร์ถึง 9 ปี และเมื่อกลับมาไทยแล้วก็ไม่ได้เข้าสู่วงการเมืองอีกเลย หากแต่มาทำธุรกิจและสร้างการศึกษาเปิดมหาวิทยาลัยเอกชน มีชื่อเสียงจนถึงวันที่ท่านเสียชีวิต 22 กันยายน พ.ศ.2537