ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
<p><b>ระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ (ร่างรัฐธรรมนูญของเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา)&nbsp;</b></p>


<p><i><b>ผู้เรียบเรียง&nbsp;:</b> รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล</i></p>
'''ระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ (ร่างรัฐธรรมนูญของเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา)&nbsp;'''


<p><i><b>ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ&nbsp;:</b> รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์</i></p>
'''''ผู้เรียบเรียง&nbsp;:''' รองศาสตราจารย์ .ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล''


<p><b>ความเป็นมา</b><br />
'''''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ&nbsp;:''' รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์''
&nbsp;&nbsp; &nbsp;เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกาและคานาดาได้ไม่นาน (เสด็จฯ ไประหว่างวันที่ ๖ เมษายนและวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๔ <span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เรื่อง การเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาและแคนาดา และ เรื่อง สู่การปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น" id="cite_ref-1" title="ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เรื่อง การเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาและแคนาดา และ เรื่อง สู่การปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น">[1]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></span></span>&nbsp;พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไตรทศประพันธ์ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย อภิรัฐมนตรีและเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเรื่องร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกฉบับหนึ่ง หลังจากฉบับที่พระยากัลยาณไมตรีเคยร่างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙&nbsp;<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่สองนี้ภายใต้ชื่อว่า &ldquo;An Outline of Changes in the Form of Government&rdquo;หรือ &ldquo;เค้าโครงความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการปกครอง&rdquo; มีนายเรมอนด์ บี.สตีเวนส์ (Raymond B. Stevens) ที่ปรึกษาการต่างประเทศในขณะนั้นและพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ร่าง นายสตีเวนส์นั้นเป็นนักกฎหมายและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนของสหรัฐอเมริกา ส่วนพระยาศรีวิสารวาจาสำเร็จเนติบัณฑิตจากประเทศอังกฤษ<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นภาษาอังกฤษนี้ทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ (ซึ่งก็คือต้น พ.ศ. ๒๔๗๕ ตามปฏิทินปัจจุบัน) ในช่วงเวลาซึ่งระลอกสุดท้ายของความขัดแย้งในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจกำลังเริ่มขึ้น และนายสตีเวนส์เป็นบุคคลหนึ่งที่ทรงปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนั้น&nbsp;<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;เมื่อนำสภาพการณ์ดังกล่าวซึ่งกำลังบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลของพระองค์อยู่ ดังปรากฎเป็นบทวิจารณ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ และการที่เมื่อเสด็จฯ ถึงสหรัฐอเมริกา พระองค์ได้พระราชทานสัมภาษณ์นักหนังสือพิมพ์อเมริกันว่ากำลังจะมีกฎหมายให้สิทธิเลือกตั้งในระดับเทศบาลแก่ราษฎรมาพิจารณาด้วยแล้ว เห็นได้ว่าต้องพระราชประสงค์ที่จะเร่งกระบวนการของการที่จะทรงจัดให้มีการปกครองโดยตัวแทน (representative government) เกิดขึ้น ก่อนที่อาจมีการก่อการเปลี่ยนแปลงจากเบื้องล่างซึ่งก็ได้รับสั่งเล่าทำนองนี้พระราชทานพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานคณะกรรมการราษฎรและผู้แทนคณะราษฎรที่เข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ (๖ วันหลังการยึดอำนาจของคณะราษฎร) ดังข้อความใน&ldquo;บันทึกลับ&rdquo;การเข้าเฝ้าฯ ครั้งนั้นของเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ราชเลขาธิการ ที่ว่า &ldquo;ทรงเห็นว่าควรจะต้องให้Constitution มาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ แล้ว และเมื่อได้ทรงรับราชสมบัติ ก็มั่นพระราชหฤทัยว่า เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้ Constitution แก่สยามประเทศ&rdquo; และ &ldquo;เมื่อเสด็จกลับมา (จากสหรัฐอเมริกา &ndash;ผู้เขียน) ยิ่งรู้สึกแน่ใจว่าจะกักไว้อีกไม่สมควรเป็นแท้...&nbsp;<span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="สนธิ เตชานันท์ (รวบรวม) ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ ประชาธิปไตย ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๓๑๔-๓๑๕." id="cite_ref-2" title="สนธิ เตชานันท์ (รวบรวม) ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ ประชาธิปไตย ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๓๑๔-๓๑๕.">[2]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span></p>


<p><b>สาระของร่าง</b><br />
'''ความเป็นมา'''<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกาและคานาดาได้ไม่นาน (เสด็จฯ ไประหว่างวันที่ ๖ เมษายนและวันที่ ๒๘ กันยายน พ.. ๒๔๗๔ <span><span><ref /></span></span>&nbsp;พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไตรทศประพันธ์ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย อภิรัฐมนตรีและเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเรื่องร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกฉบับหนึ่ง หลังจากฉบับที่พระยากัลยาณไมตรีเคยร่างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙&nbsp;<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่สองนี้ภายใต้ชื่อว่า “An Outline of Changes in the Form of Government”หรือ “เค้าโครงความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการปกครอง” มีนายเรมอนด์ บี.สตีเวนส์ (Raymond B. Stevens) ที่ปรึกษาการต่างประเทศในขณะนั้นและพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ร่าง นายสตีเวนส์นั้นเป็นนักกฎหมายและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนของสหรัฐอเมริกา ส่วนพระยาศรีวิสารวาจาสำเร็จเนติบัณฑิตจากประเทศอังกฤษ<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นภาษาอังกฤษนี้ทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ (ซึ่งก็คือต้น พ.ศ. ๒๔๗๕ ตามปฏิทินปัจจุบัน) ในช่วงเวลาซึ่งระลอกสุดท้ายของความขัดแย้งในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจกำลังเริ่มขึ้น และนายสตีเวนส์เป็นบุคคลหนึ่งที่ทรงปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนั้น&nbsp;<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;เมื่อนำสภาพการณ์ดังกล่าวซึ่งกำลังบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลของพระองค์อยู่ ดังปรากฎเป็นบทวิจารณ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ และการที่เมื่อเสด็จฯ ถึงสหรัฐอเมริกา พระองค์ได้พระราชทานสัมภาษณ์นักหนังสือพิมพ์อเมริกันว่ากำลังจะมีกฎหมายให้สิทธิเลือกตั้งในระดับเทศบาลแก่ราษฎรมาพิจารณาด้วยแล้ว เห็นได้ว่าต้องพระราชประสงค์ที่จะเร่งกระบวนการของการที่จะทรงจัดให้มีการปกครองโดยตัวแทน (representative government) เกิดขึ้น ก่อนที่อาจมีการก่อการเปลี่ยนแปลงจากเบื้องล่างซึ่งก็ได้รับสั่งเล่าทำนองนี้พระราชทานพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานคณะกรรมการราษฎรและผู้แทนคณะราษฎรที่เข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ (๖ วันหลังการยึดอำนาจของคณะราษฎร) ดังข้อความใน“บันทึกลับ”การเข้าเฝ้าฯ ครั้งนั้นของเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ราชเลขาธิการ ที่ว่า “ทรงเห็นว่าควรจะต้องให้Constitution มาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ แล้ว และเมื่อได้ทรงรับราชสมบัติ ก็มั่นพระราชหฤทัยว่า เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้ Constitution แก่สยามประเทศ” และ “เมื่อเสด็จกลับมา (จากสหรัฐอเมริกา –ผู้เขียน) ยิ่งรู้สึกแน่ใจว่าจะกักไว้อีกไม่สมควรเป็นแท้...&nbsp;<span><span><ref /></span></span>
&nbsp;&nbsp; &nbsp;เอกสารของนายสตีเวนส์และพระยาศรีวิสารวาจา<span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๙๘-๒๐๕." id="cite_ref-3" title="เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๙๘-๒๐๕.">[3]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span> &nbsp;เกริ่นนำว่าเป็น เค้าโครงของรัฐธรรมนูญใหม่ &ldquo;ซึ่งทูลเกล้าฯ ถวาย &ldquo;ตามพระราชประสงค์&rdquo; &nbsp;เพื่อเป็น &ldquo;จุดเริ่มต้นของรูปแบบการปกครองในระบบรัฐสภา&rdquo; แม้ว่า &ldquo;ในทางทฤษฎีพระมหากษัตริย์จะยังคงทรงเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและผู้ทรงนิติบัญญัติ&rdquo; แต่พระองค์จักได้ทรงเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีผู้ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อพระองค์ และพระองค์ทรงถอดออกจากตำแหน่งได้ นายกรัฐมนตรีจักเลือกรัฐมนตรีของเขาเองเป็นคณะรัฐมนตรีใช้อำนาจบริหาร แต่ก็โดยมีสภานิติบัญญัติใช้อำนาจบางประการกำกับอยู่ ในทำนองระบบรัฐสภา<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;สภาใหม่นี้ ในระยะเริ่มแรก ควรมีสมาชิกประเภทแต่งตั้งและประเภทเลือกตั้งจำนวนเท่ากัน ที่น่าสนใจคือ ในประเภทแต่งตั้ง จะมีข้าราชการประจำเกินกึ่งหนึ่งไม่ได้ เท่ากับว่าร่างนี้ แม้ว่าจะเห็นว่าสมาชิกประเภทเลือกตั้งจะยังต้องมี &ldquo;พี่เลี้ยง&rdquo; แต่ก็ต้องการจะป้องกันมิให้ข้าราชการครอบงำ ลักษณะเช่นนี้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕ (๒๗ มิถุนายน) ซึ่งคณะราษฎรเป็นผู้ร่างและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเติมคำว่า &ldquo;ชั่วคราว&rdquo; ลงไป ที่ไม่มีบทบัญญัติ หรือจำนวนข้าราชการประจำที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ ไม่ว่าประเภทแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง<span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="ชาญวิทย์เกษตรศิริและธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. ๒๕๔๗. ปฏิวัติ ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, หน้า ๕๐๒ –๕๐๗." id="cite_ref-4" title="ชาญวิทย์เกษตรศิริและธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. ๒๕๔๗. ปฏิวัติ ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, หน้า ๕๐๒ –๕๐๗.">[4]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span>&nbsp;<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;ในร่างสตีเวนส์-ศรีวิสาร การเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติจักเป็นโดยอ้อม ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง (voters) ในอำเภอผู้ซึ่งต้องมีสัญชาติสยามและพำนักอยู่ในประเทศ และเสียภาษีจักเลือกตั้งผู้เลือกตั้ง (electors) ผู้แทนมณฑล ซึ่งต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ เข้าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ ซึ่งมีอำนาจออกกฎหมายตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน และออกเสียงลงคะแนนไว้วางใจในรัฐบาล หากสองในสามของสภาฯ ลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีต้องกราบถวายบังคมทูลฯ ลาออก<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งนั้น ทั้งนายกรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติมีวาระเท่ากันโดยดำรงตำแหน่งในขณะเดียวกันเป็นเวลา ๔-๕ ปี พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทรงยับยั้ง (veto) กฎหมาย แต่ต้องทรงอธิบายเหตุผล นอกจากนั้นยังทรงมีอำนาจในการออกกฎหมายในภาวะฉุกเฉินซึ่งส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อความมั่นคง โดยไม่ต้องผ่านสภานิติบัญญัติ ทั้งยังทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยุบสภานิติบัญญัติ</p>


<p><b>บทวิเคราะห์ร่างฯ</b><br />
'''สาระของร่าง'''<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;เอกสารของนายสตีเวนส์และพระยาศรีวิสารวาจา<span><span><ref /></span></span> &nbsp;เกริ่นนำว่าเป็น เค้าโครงของรัฐธรรมนูญใหม่ “ซึ่งทูลเกล้าฯ ถวาย “ตามพระราชประสงค์” &nbsp;เพื่อเป็น “จุดเริ่มต้นของรูปแบบการปกครองในระบบรัฐสภา” แม้ว่า “ในทางทฤษฎีพระมหากษัตริย์จะยังคงทรงเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและผู้ทรงนิติบัญญัติ” แต่พระองค์จักได้ทรงเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีผู้ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อพระองค์ และพระองค์ทรงถอดออกจากตำแหน่งได้ นายกรัฐมนตรีจักเลือกรัฐมนตรีของเขาเองเป็นคณะรัฐมนตรีใช้อำนาจบริหาร แต่ก็โดยมีสภานิติบัญญัติใช้อำนาจบางประการกำกับอยู่ ในทำนองระบบรัฐสภา<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;สภาใหม่นี้ ในระยะเริ่มแรก ควรมีสมาชิกประเภทแต่งตั้งและประเภทเลือกตั้งจำนวนเท่ากัน ที่น่าสนใจคือ ในประเภทแต่งตั้ง จะมีข้าราชการประจำเกินกึ่งหนึ่งไม่ได้ เท่ากับว่าร่างนี้ แม้ว่าจะเห็นว่าสมาชิกประเภทเลือกตั้งจะยังต้องมี “พี่เลี้ยง” แต่ก็ต้องการจะป้องกันมิให้ข้าราชการครอบงำ ลักษณะเช่นนี้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕ (๒๗ มิถุนายน) ซึ่งคณะราษฎรเป็นผู้ร่างและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเติมคำว่า “ชั่วคราว” ลงไป ที่ไม่มีบทบัญญัติ หรือจำนวนข้าราชการประจำที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ ไม่ว่าประเภทแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง<span><span><ref /></span></span>&nbsp;<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;ในร่างสตีเวนส์-ศรีวิสาร การเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติจักเป็นโดยอ้อม ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง (voters) ในอำเภอผู้ซึ่งต้องมีสัญชาติสยามและพำนักอยู่ในประเทศ และเสียภาษีจักเลือกตั้งผู้เลือกตั้ง (electors) ผู้แทนมณฑล ซึ่งต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ เข้าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ ซึ่งมีอำนาจออกกฎหมายตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน และออกเสียงลงคะแนนไว้วางใจในรัฐบาล หากสองในสามของสภาฯ ลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีต้องกราบถวายบังคมทูลฯ ลาออก<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งนั้น ทั้งนายกรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติมีวาระเท่ากันโดยดำรงตำแหน่งในขณะเดียวกันเป็นเวลา ๔-๕ ปี พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทรงยับยั้ง (veto) กฎหมาย แต่ต้องทรงอธิบายเหตุผล นอกจากนั้นยังทรงมีอำนาจในการออกกฎหมายในภาวะฉุกเฉินซึ่งส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อความมั่นคง โดยไม่ต้องผ่านสภานิติบัญญัติ ทั้งยังทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยุบสภานิติบัญญัติ
&nbsp;&nbsp; &nbsp;แม้ว่าร่างใหม่นี้จะมีความแตกต่างอย่างสำคัญจากร่างของพระยากัลยาณไมตรีตรงที่เปิดช่องทางให้มีการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนผ่านการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติโดยทางอ้อมก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้เป็นในรูปแบบของการปกครองในระบบรัฐสภาประชาธิปไตย เพราะพระมหากษัตริย์จะทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรี รวมทั้งในการยุบสภา หากแต่ว่า พลังขับเคลื่อนทางการเมืองที่ร่างนี้จะปลดปล่อยออกมาน่าจะเป็นไปในทางต้านทานการทรงใช้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ หรือตามอำเภอพระราชหฤทัย<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;ข้อต่างอีกประการหนึ่งคือ การเน้นย้ำว่าอภิรัฐมนตรีสภาจักต้องเป็นองค์กรถวายคำปรึกษาในนโยบายทั่วไปเท่านั้น และอภิรัฐมนตรีจักต้องไม่เป็นรัฐมนตรีในขณะเดียวกัน หรือเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี ความข้อนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความมุ่งหมายคือการถ่ายโอนงานบริหารราชการแผ่นดินทั้งปวงออกไปจากพระมหากษัตริย์และอภิรัฐมนตรีสภาให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี อีกทั้งเป็นการทอนอำนาจอภิรัฐมนตรีสภาไปโดยปริยาย ส่วนประเด็นที่ว่า เป็นการมุ่ง &ldquo;ถวายพระราชอำนาจคืน&rdquo; แด่พระมหากษัตริย์หรือไม่นั้นเป็นที่ถกเถียงกัน นักวิเคราะห์บางคนผู้ซึ่งติดใจกับการที่ท้ายที่สุดอำนาจยังกระจุกอยู่ที่พระมหากษัตริย์ได้มีข้อสรุปว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่งที่จะค้ำจุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรืออำนาจเด็ดขาดของพระมหากษัตริย์ &nbsp;<span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="KobkuaSuwannathat-Pian. 2003. Kings, Country and Constitution: Thailand’s Political Development,1932-2000. London and New York: Routledge Curzon, p. 92." id="cite_ref-5" title="KobkuaSuwannathat-Pian. 2003. Kings, Country and Constitution: Thailand’s Political Development,1932-2000. London and New York: Routledge Curzon, p. 92.">[5]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span><br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;ในที่นี้จะวิเคราะห์ไปทางตรงกันข้ามว่า ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปูทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบที่ผู้เขียนขอเรียกว่าระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ด้วยเหตุที่ว่า ในขณะนี้การให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลกันในระดับหนึ่งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติแสดงให้เห็นลักษณะบางอย่างของระบบแบ่งแยกอำนาจ (separation of powers system) แต่การที่ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมประชุมและมีสิทธิ์ออกเสียงในการประชุมสภานิติบัญญัติ ทำให้เห็นได้ชัดว่าจุดมุ่งหมายอยู่ที่การนำระบบการหลอมอำนาจ (fusion of powers system) อย่างของอังกฤษ &nbsp;มาเป็นแม่แบบ<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;ในประเทศนั้น กษัตริย์ทรงอยู่ (และยังทรงคงอยู่อย่างน้อยในเชิงสัญญลักษณ์) ณ จุดตัดระหว่างอำนาจ ๓ ฝ่ายคือ นิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ หน้าที่ของกษัตริย์ในพระราชสถานะประมุขของรัฐและชาติ คือการเกื้อหนุนให้ระบอบการปกครองมีความเป็นเอกภาพและได้ดุล แต่ก็มิใช่ว่าจะทรงปลอดจากแรงผลักดันทางการเมืองในขณะที่ต้องทรงทำหน้าที่ดังกล่าว ในประเทศอังกฤษ ระบบนี้ได้ค่อยๆ แปรสภาพเป็นระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาในปัจจุบัน&nbsp;<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;หากวิเคราะห์จากมุมมองนี้ เห็นได้ว่าโครงการในสยามของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมุ่งสู่ระบบพระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ และต่อไปในทิศทางของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ดังนั้น ในระยะเปลี่ยนผ่าน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒ นี้ จึงได้ขยับพระมหากษัตริย์ให้ห่างจากการปฏิบัติการบริหารราชการแผ่นดิน และมีการจำกัดอำนาจของพระองค์อยู่บางประการ<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;สำหรับการที่พระมหากษัตริย์ยังคงไว้ซึ่ง &ldquo;อำนาจที่มีเผื่อไว้&rdquo;(reserve power) ในอันที่จะกระทำการถอดออกจากตำแหน่งบุคคลผู้ที่เห็นจากการปฏิบัติแล้วว่าเขาไร้ความเหมาะสมที่จะคงทำการบริหารต่อไป อำนาจที่มีเผื่อไว้นี้มีไว้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องก่อการปฏิบัติ (revolution) &nbsp;เพื่อที่จะขับไล่เขา อำนาจเช่นนี้มีในทุกประเทศ &ldquo;และในประเทศเฉกเช่นสยามโดยตรรกแล้ว ย่อมมีไว้ให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้&rdquo; ดังที่พระยากัลยาณไมตรีอธิบายไว้แล้วแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙&nbsp;<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;อีกทั้ง แม้ในปัจจุบันในอังกฤษซึ่งมีสภาสามัญชนจากการเลือกตั้งเป็นใหญ่ในรัฐสภา ท้ายที่สุดแล้ว กษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญก็ยังทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทรงใช้ดุลยพินิจของพระองค์เอง (personal prerogative) ในการทรงเลือกนายกรัฐมนตรีและในการไม่ทรงเห็นชอบกับคำขอยุบสภาของนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีผู้นั้นย่อมรู้สึกว่าต้องลาออก &nbsp;ทั้งนี้แม้ว่าเมื่อ ๒-๓ ปีมานี้ มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการยุบสภาให้ต้องทรงใช้พระวิจารณญาณน้อยลง)<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;นอกจากนั้น กษัตริย์อังกฤษยังทรงพระราชอำนาจในการยับยั้งการออกกฎหมายในกรณีที่กฎหมายนั้นอาจกระทบต่อประโยชน์ของชาติ (the national interest) แม้ว่าจะไม่มีการทรงใช้พระราชอำนาจนี้มาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม แต่ในค.ศ. ๑๙๑๔ (พ.ศ. ๒๔๕๗) ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จกลับจากการทรงศึกษา ณ ประเทศนั้น พระเจ้าจอร์จที่ ๕ เกือบจะทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งกฎหมายว่าด้วยการปกครองตนเองของไอร์แลนด์ (Irish Home Rule Bill) แต่ท้ายที่สุด ไม่จำเป็นต้องทรงใช้ เพราะนายกรัฐมนตรีโอนอ่อนผ่อนตามคำทรงทักท้วง (the right to warn) อันเป็นหนึ่งใน &ldquo;องค์สามพระราชสิทธิ์&rdquo;(the trinity of rights) ของกษัตริย์ &nbsp; <span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="เจษฎา พรไชยา. ๒๕๓๖. พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยและประเทศอังกฤษ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บทที่ 5." id="cite_ref-6" title="เจษฎา พรไชยา. ๒๕๓๖. พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยและประเทศอังกฤษ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บทที่ 5.">[6]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span>&nbsp; หากสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ซึ่งต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบถึงเหตูการณ์ดังกล่าว ย่อมไม่ทรงเห็นว่าการคงไว้ซึ่งพระราชอำนาจยับยั้งกฎหมายในร่างรัฐธรรมนูญของสตีเวนส์/ศรีวิสารเป็นของแปลก หรือขัดต่อพระราชประสงค์ที่จะเคลื่อนสู่ระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;วิเคราะห์ตามหลักวิชาการได้ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่งที่จะสร้างระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เพื่อค้ำจุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์</p>


<p><b>ความเห็นของผู้ร่าง</b><br />
'''บทวิเคราะห์ร่างฯ'''<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;แม้ว่าร่างใหม่นี้จะมีความแตกต่างอย่างสำคัญจากร่างของพระยากัลยาณไมตรีตรงที่เปิดช่องทางให้มีการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนผ่านการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติโดยทางอ้อมก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้เป็นในรูปแบบของการปกครองในระบบรัฐสภาประชาธิปไตย เพราะพระมหากษัตริย์จะทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรี รวมทั้งในการยุบสภา หากแต่ว่า พลังขับเคลื่อนทางการเมืองที่ร่างนี้จะปลดปล่อยออกมาน่าจะเป็นไปในทางต้านทานการทรงใช้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ หรือตามอำเภอพระราชหฤทัย<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;ข้อต่างอีกประการหนึ่งคือ การเน้นย้ำว่าอภิรัฐมนตรีสภาจักต้องเป็นองค์กรถวายคำปรึกษาในนโยบายทั่วไปเท่านั้น และอภิรัฐมนตรีจักต้องไม่เป็นรัฐมนตรีในขณะเดียวกัน หรือเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี ความข้อนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความมุ่งหมายคือการถ่ายโอนงานบริหารราชการแผ่นดินทั้งปวงออกไปจากพระมหากษัตริย์และอภิรัฐมนตรีสภาให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี อีกทั้งเป็นการทอนอำนาจอภิรัฐมนตรีสภาไปโดยปริยาย ส่วนประเด็นที่ว่า เป็นการมุ่ง “ถวายพระราชอำนาจคืน” แด่พระมหากษัตริย์หรือไม่นั้นเป็นที่ถกเถียงกัน นักวิเคราะห์บางคนผู้ซึ่งติดใจกับการที่ท้ายที่สุดอำนาจยังกระจุกอยู่ที่พระมหากษัตริย์ได้มีข้อสรุปว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่งที่จะค้ำจุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรืออำนาจเด็ดขาดของพระมหากษัตริย์ &nbsp;<span><span><ref /></span></span><br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;ในที่นี้จะวิเคราะห์ไปทางตรงกันข้ามว่า ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปูทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบที่ผู้เขียนขอเรียกว่าระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ด้วยเหตุที่ว่า ในขณะนี้การให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลกันในระดับหนึ่งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติแสดงให้เห็นลักษณะบางอย่างของระบบแบ่งแยกอำนาจ (separation of powers system) แต่การที่ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมประชุมและมีสิทธิ์ออกเสียงในการประชุมสภานิติบัญญัติ ทำให้เห็นได้ชัดว่าจุดมุ่งหมายอยู่ที่การนำระบบการหลอมอำนาจ (fusion of powers system) อย่างของอังกฤษ &nbsp;มาเป็นแม่แบบ<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;ในประเทศนั้น กษัตริย์ทรงอยู่ (และยังทรงคงอยู่อย่างน้อยในเชิงสัญญลักษณ์) ณ จุดตัดระหว่างอำนาจ ๓ ฝ่ายคือ นิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ หน้าที่ของกษัตริย์ในพระราชสถานะประมุขของรัฐและชาติ คือการเกื้อหนุนให้ระบอบการปกครองมีความเป็นเอกภาพและได้ดุล แต่ก็มิใช่ว่าจะทรงปลอดจากแรงผลักดันทางการเมืองในขณะที่ต้องทรงทำหน้าที่ดังกล่าว ในประเทศอังกฤษ ระบบนี้ได้ค่อยๆ แปรสภาพเป็นระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาในปัจจุบัน&nbsp;<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;หากวิเคราะห์จากมุมมองนี้ เห็นได้ว่าโครงการในสยามของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมุ่งสู่ระบบพระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ และต่อไปในทิศทางของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ดังนั้น ในระยะเปลี่ยนผ่าน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒ นี้ จึงได้ขยับพระมหากษัตริย์ให้ห่างจากการปฏิบัติการบริหารราชการแผ่นดิน และมีการจำกัดอำนาจของพระองค์อยู่บางประการ<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;สำหรับการที่พระมหากษัตริย์ยังคงไว้ซึ่ง “อำนาจที่มีเผื่อไว้”(reserve power) ในอันที่จะกระทำการถอดออกจากตำแหน่งบุคคลผู้ที่เห็นจากการปฏิบัติแล้วว่าเขาไร้ความเหมาะสมที่จะคงทำการบริหารต่อไป อำนาจที่มีเผื่อไว้นี้มีไว้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องก่อการปฏิบัติ (revolution) &nbsp;เพื่อที่จะขับไล่เขา อำนาจเช่นนี้มีในทุกประเทศ “และในประเทศเฉกเช่นสยามโดยตรรกแล้ว ย่อมมีไว้ให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้” ดังที่พระยากัลยาณไมตรีอธิบายไว้แล้วแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙&nbsp;<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;อีกทั้ง แม้ในปัจจุบันในอังกฤษซึ่งมีสภาสามัญชนจากการเลือกตั้งเป็นใหญ่ในรัฐสภา ท้ายที่สุดแล้ว กษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญก็ยังทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทรงใช้ดุลยพินิจของพระองค์เอง (personal prerogative) ในการทรงเลือกนายกรัฐมนตรีและในการไม่ทรงเห็นชอบกับคำขอยุบสภาของนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีผู้นั้นย่อมรู้สึกว่าต้องลาออก &nbsp;ทั้งนี้แม้ว่าเมื่อ ๒-๓ ปีมานี้ มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการยุบสภาให้ต้องทรงใช้พระวิจารณญาณน้อยลง)<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;นอกจากนั้น กษัตริย์อังกฤษยังทรงพระราชอำนาจในการยับยั้งการออกกฎหมายในกรณีที่กฎหมายนั้นอาจกระทบต่อประโยชน์ของชาติ (the national interest) แม้ว่าจะไม่มีการทรงใช้พระราชอำนาจนี้มาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม แต่ในค.ศ. ๑๙๑๔ (พ.ศ. ๒๔๕๗) ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จกลับจากการทรงศึกษา ณ ประเทศนั้น พระเจ้าจอร์จที่ ๕ เกือบจะทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งกฎหมายว่าด้วยการปกครองตนเองของไอร์แลนด์ (Irish Home Rule Bill) แต่ท้ายที่สุด ไม่จำเป็นต้องทรงใช้ เพราะนายกรัฐมนตรีโอนอ่อนผ่อนตามคำทรงทักท้วง (the right to warn) อันเป็นหนึ่งใน “องค์สามพระราชสิทธิ์”(the trinity of rights) ของกษัตริย์ &nbsp; <span><span><ref /></span></span>&nbsp; หากสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ซึ่งต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบถึงเหตูการณ์ดังกล่าว ย่อมไม่ทรงเห็นว่าการคงไว้ซึ่งพระราชอำนาจยับยั้งกฎหมายในร่างรัฐธรรมนูญของสตีเวนส์/ศรีวิสารเป็นของแปลก หรือขัดต่อพระราชประสงค์ที่จะเคลื่อนสู่ระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;วิเคราะห์ตามหลักวิชาการได้ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่งที่จะสร้างระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เพื่อค้ำจุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
&nbsp;&nbsp; &nbsp;สิ่งที่นับว่าแปลกก็คือทั้งนายสตีเวนส์และพระยาศรีวิสารฯ ผู้ร่าง เห็นว่ายังไม่ควรที่จะใช้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นอย่างเต็มรูปในเวลานั้น วัลย์วิภา จรูญโรจน์แสดงความฉงนว่า ถ้าเช่นนั้น เหตุใดจึงได้ร่างขึ้น เธอวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะเป็นพระราชประสงค์ และให้ความเห็นของเธอว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าบรรดาที่ปรึกษาของพระองค์&nbsp;<span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๔๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๘๐-๘๑." id="cite_ref-7" title="วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๔๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๘๐-๘๑.">[7]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span><br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;นายสตีเวนส์เห็นว่าการตั้งนายกรัฐมนตรีสามารถทำได้โดยไม่มีผลกระทบ แต่การที่จะสถาปนาสภานิติบัญญัติที่มีสมาชิกจากการเลือกตั้งเป็นบางส่วนและใช้อำนาจทั้งนิติบัญญัติและบริหารนั้น ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอื้อต่อการที่สมาชิกประเภทเลือกตั้งจะมีอำนาจเพิ่มพูนขึ้นเป็นเงาตามตัว เขาจึงเตือนว่า &ldquo;เป็นการยากยิ่งที่จะเอาอำนาจที่ให้แก่ประชาชนแล้วคืนมา&rdquo; เขาจึงเห็นว่ายังไม่ควรที่จะสถาปนาสภานิติบัญญัติในขณะนั้น<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;ทั้งนายสตีเวนส์และพระยาศรีวิสารวาจาเห็นว่าประชาชนยังไม่มีความพร้อมที่จะรับ &ldquo;การกระจายอำนาจ&rdquo; สู่เขา นายสตีเวนส์วิเคราะห์ว่าความระส่ำระส่ายที่มีอยู่ในขณะนั้น &ldquo;มีที่มาจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพราะรูปแบบการปกครอง&rdquo; ดังนั้น จึงไม่น่าจะแก้ไขโดยการเปลี่ยนแปลงเชิงรัฐธรรมนูญ พระยาศรีวิสารฯ เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นจะทำให้อำนาจของรัฐบาลอ่อนลง จึงควรประวิงเวลาไปอย่างน้อยจนกระทั่งวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งสองเห็นควรมุ่งไปที่การจัดให้ประชาชนได้รับการฝึกหัดและมีประสบการณ์ในการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นก่อนอื่นใด ส่วนการสถาปนาสภานิติบัญญัตินั้นควรคอยไว้ก่อน แต่การตั้งนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นสิ่งที่ดำเนินการได้เลย</p>


<p><b>ความเห็นของอภิรัฐมนตรี</b><br />
'''ความเห็นของผู้ร่าง'''<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;สิ่งที่นับว่าแปลกก็คือทั้งนายสตีเวนส์และพระยาศรีวิสารฯ ผู้ร่าง เห็นว่ายังไม่ควรที่จะใช้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นอย่างเต็มรูปในเวลานั้น วัลย์วิภา จรูญโรจน์แสดงความฉงนว่า ถ้าเช่นนั้น เหตุใดจึงได้ร่างขึ้น เธอวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะเป็นพระราชประสงค์ และให้ความเห็นของเธอว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าบรรดาที่ปรึกษาของพระองค์&nbsp;<span><span><ref /></span></span><br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;นายสตีเวนส์เห็นว่าการตั้งนายกรัฐมนตรีสามารถทำได้โดยไม่มีผลกระทบ แต่การที่จะสถาปนาสภานิติบัญญัติที่มีสมาชิกจากการเลือกตั้งเป็นบางส่วนและใช้อำนาจทั้งนิติบัญญัติและบริหารนั้น ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอื้อต่อการที่สมาชิกประเภทเลือกตั้งจะมีอำนาจเพิ่มพูนขึ้นเป็นเงาตามตัว เขาจึงเตือนว่า “เป็นการยากยิ่งที่จะเอาอำนาจที่ให้แก่ประชาชนแล้วคืนมา” เขาจึงเห็นว่ายังไม่ควรที่จะสถาปนาสภานิติบัญญัติในขณะนั้น<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;ทั้งนายสตีเวนส์และพระยาศรีวิสารวาจาเห็นว่าประชาชนยังไม่มีความพร้อมที่จะรับ “การกระจายอำนาจ” สู่เขา นายสตีเวนส์วิเคราะห์ว่าความระส่ำระส่ายที่มีอยู่ในขณะนั้น “มีที่มาจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพราะรูปแบบการปกครอง” ดังนั้น จึงไม่น่าจะแก้ไขโดยการเปลี่ยนแปลงเชิงรัฐธรรมนูญ พระยาศรีวิสารฯ เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นจะทำให้อำนาจของรัฐบาลอ่อนลง จึงควรประวิงเวลาไปอย่างน้อยจนกระทั่งวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งสองเห็นควรมุ่งไปที่การจัดให้ประชาชนได้รับการฝึกหัดและมีประสบการณ์ในการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นก่อนอื่นใด ส่วนการสถาปนาสภานิติบัญญัตินั้นควรคอยไว้ก่อน แต่การตั้งนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นสิ่งที่ดำเนินการได้เลย
&nbsp;&nbsp; &nbsp;แม้ว่าหลักฐานจดหมายเหตุจะมีอยู่อย่างจำกัดในปัจจุบัน แต่พอจะสรุปได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ (พ.ศ. ๒๔๗๕ ตามปฏิทินปัจจุบัน) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงส่งร่างรัฐธรรมนูญพร้อมบันทึกความเห็นของผู้ร่างทั้งสองไปยังอภิรัฐมนตรีเป็นรายพระองค์ <span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="ศิริรัตนบุษบง, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. ๒๕๒๔. พระประวัติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต. กรุงเทพฯ: บริษัทจันวาณิชย์ จำกัด, หน้า ๕๙." id="cite_ref-8" title="ศิริรัตนบุษบง, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. ๒๕๒๔. พระประวัติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต. กรุงเทพฯ: บริษัทจันวาณิชย์ จำกัด, หน้า ๕๙.">[8]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span>&nbsp;และอาจจะได้มีการประชุมอภิรัฐมนตรีสภาหลังจากนั้นในเดือนนั้น โดยต้องพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญในช่วงของการเฉลิมฉลองพระบรมราชจักรีวงศ์ และกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๕๐ ปีในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕<br />
&nbsp;&nbsp; &nbsp;เอกสารอภิรัฐมนตรีที่มีอยู่ในปัจจุบันเพียงอย่างเดียวคือของสมแด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจะทรงคัดค้านการประกาศใช้ นักการทูตอังกฤษรายงานว่ากรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย ทรงยืนยันกับเขาว่าอภิรัฐมนตรีส่วนใหญ่คัดค้าน แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงคาดว่าจะมีการยึดอำนาจและเผด็จการทหารตามมา&nbsp;<span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="Batson, Benjamin A. 1984. The End of the Absolute Monarchy in Siam. Oxford: Oxford University Press, pp.150-151." id="cite_ref-9" title="Batson, Benjamin A. 1984. The End of the Absolute Monarchy in Siam. Oxford: Oxford University Press, pp.150-151.">[9]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span></p>


<p><b>พระราชดำริที่ตามมา</b><br />
'''ความเห็นของอภิรัฐมนตรี'''<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;แม้ว่าหลักฐานจดหมายเหตุจะมีอยู่อย่างจำกัดในปัจจุบัน แต่พอจะสรุปได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ (พ.ศ. ๒๔๗๕ ตามปฏิทินปัจจุบัน) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงส่งร่างรัฐธรรมนูญพร้อมบันทึกความเห็นของผู้ร่างทั้งสองไปยังอภิรัฐมนตรีเป็นรายพระองค์ <span><span><ref /></span></span>&nbsp;และอาจจะได้มีการประชุมอภิรัฐมนตรีสภาหลังจากนั้นในเดือนนั้น โดยต้องพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญในช่วงของการเฉลิมฉลองพระบรมราชจักรีวงศ์ และกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๕๐ ปีในเดือนเมษายน พ.. ๒๔๗๕<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;เอกสารอภิรัฐมนตรีที่มีอยู่ในปัจจุบันเพียงอย่างเดียวคือของสมแด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจะทรงคัดค้านการประกาศใช้ นักการทูตอังกฤษรายงานว่ากรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย ทรงยืนยันกับเขาว่าอภิรัฐมนตรีส่วนใหญ่คัดค้าน แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงคาดว่าจะมีการยึดอำนาจและเผด็จการทหารตามมา&nbsp;<span><span><ref /></span></span>
เกี่ยวกับการเข้าเฝ้าฯ ของพระยามโนฯ และผู้แทนคณะราษฎรเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ <span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="สนธิ เตชานันท์ (รวบรวม) ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ ประชาธิปไตย ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า ๓๑๔-๓๒๓" id="cite_ref-10" title="สนธิ เตชานันท์ (รวบรวม) ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ ประชาธิปไตย ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า ๓๑๔-๓๒๓">[10]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span>&nbsp;เจ้าพระยามหิธรได้จดบันทึกการเข้าเฝ้าฯ ไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า ทรงรู้สึกว่า &ldquo;ได้แก้ไขช้าไปบ้างและอ่อนไปบ้าง...เพราะ...จะดันทุรังไปก็ไม่ใคร่ได้ ด้วยมีผู้ใหญ่ผู้ที่ชำนาญการห้อมล้อมอยู่&rdquo; รับสั่งต่อไปว่าการที่ผู้ร่างทั้งสอง &ldquo;ขัดข้องเสียดั่งนี้ การก็เลยเหลวอีก ต่อมาได้เตรียมว่าจะไม่ประกาศก่อนงานสมโภชพระนคร ๑๕๐ ปีแล้ว เพราะจะเป็นขี้ขลาด รอว่าพองานแล้วจะประกาศ ได้เสนอที่ประชุมอภิรัฐมนตรี...ที่ประชุมก็ขัดข้องว่ากำลังเป็นเวลาโภคกิจตกต่ำ&rdquo; รับสั่งต่อไปว่าทรงพระราชดำริสืบเนื่องว่าทางหนึ่งคือแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยมีสภาตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีและเสนอให้ถอดออกจากตำแหน่งได้ รวมทั้งให้มี &ldquo;ผู้แทนจากหัวเมือง&rdquo; อีกทางหนึ่งคือให้เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร (ราชเลขาธิการ) เป็นประธานในที่ประชุมเสนาบดีแทนพระองค์ และขยายจำนวนกรรมการองคมนตรีทำหน้าที่อย่างรัฐสภา ทรงนำ ๒ แผนนี้ติดพระองค์ไปหัวหินด้วย เพื่อจะทำบันทึกเสนอเสนาบดีสภา แต่ก็ได้เกิดการยึดอำนาจเสียก่อน พระองค์ &ldquo;เสียพระราชหฤทัยที่ได้ช้าไป ทำความเสื่อมเสียให้เป็นอันมาก&rdquo; ทั้งหมดแสดงว่ามิได้ทรงละความพยายามที่จะทรงขับเคลื่อนพระราชประสงค์จำนงหมายที่จะให้เกิดมีระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญขึ้นให้ได้ สอดคล้องกับการที่ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ทรงแสดงความเห็นว่าการที่จะเอาอย่างการจัดการศึกษาให้คนไทยนิยมการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมือนกับอิตาลีสมัยมุสโสลินีสอนให้คนของเขานิยมการปกครองแบบฟาสซิสต์ (เผด็จการเบ็ดเสร็จชนิดหนึ่ง) นั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงทรงเสนอแนะให้การศึกษาไปในทางที่เอื้อแก่การเตรียมการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy)<span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="เรื่องเดียวกัน , หน้า ๒๘๒-๒๘๗." id="cite_ref-11" title="เรื่องเดียวกัน , หน้า ๒๘๒-๒๘๗.">[11]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span> &nbsp;</p>


<p><b>สรุป</b><br />
'''พระราชดำริที่ตามมา'''<br/> เกี่ยวกับการเข้าเฝ้าฯ ของพระยามโนฯ และผู้แทนคณะราษฎรเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ <span><span><ref /></span></span>&nbsp;เจ้าพระยามหิธรได้จดบันทึกการเข้าเฝ้าฯ ไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า ทรงรู้สึกว่า “ได้แก้ไขช้าไปบ้างและอ่อนไปบ้าง...เพราะ...จะดันทุรังไปก็ไม่ใคร่ได้ ด้วยมีผู้ใหญ่ผู้ที่ชำนาญการห้อมล้อมอยู่” รับสั่งต่อไปว่าการที่ผู้ร่างทั้งสอง “ขัดข้องเสียดั่งนี้ การก็เลยเหลวอีก ต่อมาได้เตรียมว่าจะไม่ประกาศก่อนงานสมโภชพระนคร ๑๕๐ ปีแล้ว เพราะจะเป็นขี้ขลาด รอว่าพองานแล้วจะประกาศ ได้เสนอที่ประชุมอภิรัฐมนตรี...ที่ประชุมก็ขัดข้องว่ากำลังเป็นเวลาโภคกิจตกต่ำ” รับสั่งต่อไปว่าทรงพระราชดำริสืบเนื่องว่าทางหนึ่งคือแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยมีสภาตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีและเสนอให้ถอดออกจากตำแหน่งได้ รวมทั้งให้มี “ผู้แทนจากหัวเมือง” อีกทางหนึ่งคือให้เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร (ราชเลขาธิการ) เป็นประธานในที่ประชุมเสนาบดีแทนพระองค์ และขยายจำนวนกรรมการองคมนตรีทำหน้าที่อย่างรัฐสภา ทรงนำ ๒ แผนนี้ติดพระองค์ไปหัวหินด้วย เพื่อจะทำบันทึกเสนอเสนาบดีสภา แต่ก็ได้เกิดการยึดอำนาจเสียก่อน พระองค์ “เสียพระราชหฤทัยที่ได้ช้าไป ทำความเสื่อมเสียให้เป็นอันมาก” ทั้งหมดแสดงว่ามิได้ทรงละความพยายามที่จะทรงขับเคลื่อนพระราชประสงค์จำนงหมายที่จะให้เกิดมีระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญขึ้นให้ได้ สอดคล้องกับการที่ในเดือนพฤษภาคม พ.. ๒๔๗๕ ได้ทรงแสดงความเห็นว่าการที่จะเอาอย่างการจัดการศึกษาให้คนไทยนิยมการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมือนกับอิตาลีสมัยมุสโสลินีสอนให้คนของเขานิยมการปกครองแบบฟาสซิสต์ (เผด็จการเบ็ดเสร็จชนิดหนึ่ง) นั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงทรงเสนอแนะให้การศึกษาไปในทางที่เอื้อแก่การเตรียมการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy)<span><span><ref /></span></span> &nbsp;
&nbsp;&nbsp; &nbsp;ทั้งหมด จึงเห็นได้ชัดว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งในขณะนั้นทรงสมบูรณาญาสิทธิ มิได้แต่เพียงทรงแสวงหาระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญซึ่งเข้าพระราชหฤทัยว่าในโลกสมัยใหม่เป็นระบอบประชาธิปไตยประเภทหนึ่ง การที่ทรงเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยประเภทนี้น่าจะมีความเหมาะสมกับสังคมไทย ก็เพราะจะเป็นการผสมผสานธรรมเนียมที่มีมาแต่เดิมเข้ากับธรรมเนียมใหม่อย่างมีโอกาสลงตัว ทั้งนี้ ด้วยเป็นพระราชปณิธานตั้งแต่ต้นรัชกาลที่จะทรงดูแลให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงดำเนินไปโดยราบรื่น และเพื่อให้ระบอบใหม่ที่จะสร้างขึ้นนั้นมีความยั่งยืน&nbsp;<span><span contenteditable="false" tabindex="-1"><span class="fck_mw_ref" data-widget="mwrefmarker"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><span class="fck_mw_ref"><sup><ref class="fck_mw_ref" fck_mw_reftagtext="Bogdanor, Vernon. 1995. The Monarchy and the Constitution. Oxford: Clarendon Press, pp. 298-302." id="cite_ref-12" title="Bogdanor, Vernon. 1995. The Monarchy and the Constitution. Oxford: Clarendon Press, pp. 298-302.">[12]</ref></sup></span></sup></span></sup></span></sup></span></span></span></p>


<p><strong>บรรณานุกรม</strong></p>
'''สร'''<br/> &nbsp;&nbsp; &nbsp;ทั้งหมด จึงเห็นได้ชัดว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งในขณะนั้นทรงสมบูรณาญาสิทธิ มิได้แต่เพียงทรงแสวงหาระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญซึ่งเข้าพระราชหฤทัยว่าในโลกสมัยใหม่เป็นระบอบประชาธิปไตยประเภทหนึ่ง การที่ทรงเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยประเภทนี้น่าจะมีความเหมาะสมกับสังคมไทย ก็เพราะจะเป็นการผสมผสานธรรมเนียมที่มีมาแต่เดิมเข้ากับธรรมเนียมใหม่อย่างมีโอกาสลงตัว ทั้งนี้ ด้วยเป็นพระราชปณิธานตั้งแต่ต้นรัชกาลที่จะทรงดูแลให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงดำเนินไปโดยราบรื่น และเพื่อให้ระบอบใหม่ที่จะสร้างขึ้นนั้นมีความยั่งยืน&nbsp;


<p style="margin-left:42.55pt;">เจษฎา พรไชยา. ๒๕๓๖. <em>พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยและประเทศอังกฤษ.</em>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.</p>
'''บรรณานุกรม'''


<p style="margin-left:42.55pt;">ชาญวิทย์ เกษตรศิริและธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. ๒๕๔๗. <em>ปฏิวัติ ๒๔๗๕.</em> กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำรา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.</p>
เจษฎา พรไชยา. ๒๕๓๖. ''พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยและประเทศอังกฤษ.''&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


<p style="margin-left:42.55pt;">&lt;a href=&quot;&lt;a alt=&quot;&lt;a alt=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot; href=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot; title=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot;&gt;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&lt;/a&gt;&quot; href=&quot;&lt;a alt=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot; href=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot; title=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot;&gt;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&lt;/a&gt;&quot; title=&quot;&lt;a alt=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot; href=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot; title=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot;&gt;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&lt;/a&gt;&quot;&gt;&lt;a alt=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot; href=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot; title=&quot;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&quot;&gt;<a alt="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" href="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7" title="http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7">http://library.nhrc.or.th/ULIB/searching.php?MAUTHOR=%20%BE%C4%B7%B8%D4%CA%D2%B3%20%AA%D8%C1%BE%C5,%20%20%C1.%C3.%C7</a>&lt;/a&gt;&lt;/a&gt;&quot;&gt;พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว&lt;/a&gt;. ๒๕๔๔. <em>ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในอังกฤษ</em>&nbsp;.กรุงเทพฯ&nbsp;: ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.</p>
ชาญวิทย์ เกษตรศิริและธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. ๒๕๔๗. ''ปฏิวัติ ๒๔๗๕.'' กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำรา&nbsp; สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.


<p style="margin-left:42.55pt;">วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.. ๒๕๔๘. <em>แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์.</em> กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า.</p>
พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว. ๒๕๔๔. ''ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในอังกฤษ''&nbsp;.กรุงเทพฯ&nbsp;: ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


<p style="margin-left:42.55pt;">ศิริรัตนบุษบง, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. <em>๒๕๒๔. พระประวัติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต.</em> กรุงเทพฯ: บริษัทจันวาณิชย์ จำกัด.</p>
วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.. ๒๕๔๘. ''แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์.'' กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า.


<p style="margin-left:42.55pt;">สนธิ เตชานันท์ (รวบรวม) ๒๕๔๕. <em>แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ &ldquo;ประชาธิปไตย&rdquo; ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว.</em> พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.</p>
ศิริรัตนบุษบง, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. ''๒๕๒๔. พระประวัติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต.'' กรุงเทพฯ: บริษัทจันวาณิชย์ จำกัด.


<p style="margin-left:42.55pt;">Batson, Benjamin A. 1984. <em>The End of the Absolute Monarchy in Siam</em>. Oxford: Oxford University Press.</p>
สนธิ เตชานันท์ (รวบรวม) ๒๕๔๕. ''แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว.'' พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.


<p style="margin-left:42.55pt;">Bogdanor, Vernon. 1995. <em>The Monarchy and the Constitution</em>. Oxford: Clarendon Press.</p>
Batson, Benjamin A. 1984. ''The End of the Absolute Monarchy in Siam''. Oxford: Oxford University Press.


<p style="margin-left:42.55pt;">KobkuaSuwannathat-Pian. 2003<em>. Kings, Country and Constitution: Thailand&rsquo;s Political Development,1932-2000.</em> London and New York: Routledge Curzon.</p>
Bogdanor, Vernon. 1995. ''The Monarchy and the Constitution''. Oxford: Clarendon Press.


<p style="margin-left:42.55pt;">NattapollChaiching. 2010. The Monarchy and the royalist movement in modern Thai Politics in <em>Saying the Unsayable: Monarchy and Democracy in Thailand</em>. Soren Ivarsson and LotteIsager.Editors. Copenhagen: Nordie Institute of Asian Studies Press: 147-178.</p>
KobkuaSuwannathat-Pian. 2003''. Kings, Country and Constitution: Thailand’s Political Development,1932-2000.'' London and New York: Routledge Curzon.


<p style="margin-left:42.55pt;">PrudhisanJumbala. 2012. Prajadhipok: The King at the transition to Constitutional Monarchy inSiam in &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; <em>Monarchy and Constitutional Rule in Democratizing Thailand</em>. SuchitBumbongkarn and PrudhisanJumbala.Editors. Bangkok: Institute of Thai Studies, Chulalongkorn University: 106-202.</p>
NattapollChaiching. 2010. The Monarchy and the royalist movement in modern Thai Politics in ''Saying the Unsayable: Monarchy and Democracy in Thailand''. Soren Ivarsson and LotteIsager.Editors. Copenhagen: Nordie Institute of Asian Studies Press: 147-178.


<p style="margin-left:42.55pt;">&nbsp;</p>
PrudhisanJumbala. 2012. Prajadhipok: The King at the transition to Constitutional Monarchy inSiam in &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ''Monarchy and Constitutional Rule in Democratizing Thailand''. SuchitBumbongkarn and PrudhisanJumbala.Editors. Bangkok: Institute of Thai Studies, Chulalongkorn University: 106-202.


<p style="margin-left:42.55pt;"><strong>เอกสารอ่านเพิ่มเติม</strong></p>
&nbsp;


<p style="margin-left:42.55pt;">ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ ๒</p>
'''เอกสารอ่านเพิ่มเติม'''


<p><span class="fck_mw_category">พระปกเกล้าศึกษา</span></p>
ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ ๒
 
[[Category:พระปกเกล้าศึกษา]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:13, 19 พฤษภาคม 2560

ระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ (ร่างรัฐธรรมนูญของเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา) 

ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์

ความเป็นมา
    เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกาและคานาดาได้ไม่นาน (เสด็จฯ ไประหว่างวันที่ ๖ เมษายนและวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๔ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไตรทศประพันธ์ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย อภิรัฐมนตรีและเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเรื่องร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกฉบับหนึ่ง หลังจากฉบับที่พระยากัลยาณไมตรีเคยร่างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ 
    ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่สองนี้ภายใต้ชื่อว่า “An Outline of Changes in the Form of Government”หรือ “เค้าโครงความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการปกครอง” มีนายเรมอนด์ บี.สตีเวนส์ (Raymond B. Stevens) ที่ปรึกษาการต่างประเทศในขณะนั้นและพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ร่าง นายสตีเวนส์นั้นเป็นนักกฎหมายและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนของสหรัฐอเมริกา ส่วนพระยาศรีวิสารวาจาสำเร็จเนติบัณฑิตจากประเทศอังกฤษ
    ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นภาษาอังกฤษนี้ทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ (ซึ่งก็คือต้น พ.ศ. ๒๔๗๕ ตามปฏิทินปัจจุบัน) ในช่วงเวลาซึ่งระลอกสุดท้ายของความขัดแย้งในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจกำลังเริ่มขึ้น และนายสตีเวนส์เป็นบุคคลหนึ่งที่ทรงปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนั้น 
    เมื่อนำสภาพการณ์ดังกล่าวซึ่งกำลังบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลของพระองค์อยู่ ดังปรากฎเป็นบทวิจารณ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ และการที่เมื่อเสด็จฯ ถึงสหรัฐอเมริกา พระองค์ได้พระราชทานสัมภาษณ์นักหนังสือพิมพ์อเมริกันว่ากำลังจะมีกฎหมายให้สิทธิเลือกตั้งในระดับเทศบาลแก่ราษฎรมาพิจารณาด้วยแล้ว เห็นได้ว่าต้องพระราชประสงค์ที่จะเร่งกระบวนการของการที่จะทรงจัดให้มีการปกครองโดยตัวแทน (representative government) เกิดขึ้น ก่อนที่อาจมีการก่อการเปลี่ยนแปลงจากเบื้องล่างซึ่งก็ได้รับสั่งเล่าทำนองนี้พระราชทานพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานคณะกรรมการราษฎรและผู้แทนคณะราษฎรที่เข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ (๖ วันหลังการยึดอำนาจของคณะราษฎร) ดังข้อความใน“บันทึกลับ”การเข้าเฝ้าฯ ครั้งนั้นของเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ราชเลขาธิการ ที่ว่า “ทรงเห็นว่าควรจะต้องให้Constitution มาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ แล้ว และเมื่อได้ทรงรับราชสมบัติ ก็มั่นพระราชหฤทัยว่า เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้ Constitution แก่สยามประเทศ” และ “เมื่อเสด็จกลับมา (จากสหรัฐอเมริกา –ผู้เขียน) ยิ่งรู้สึกแน่ใจว่าจะกักไว้อีกไม่สมควรเป็นแท้... อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้

สาระของร่าง
    เอกสารของนายสตีเวนส์และพระยาศรีวิสารวาจาอ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้  เกริ่นนำว่าเป็น เค้าโครงของรัฐธรรมนูญใหม่ “ซึ่งทูลเกล้าฯ ถวาย “ตามพระราชประสงค์”  เพื่อเป็น “จุดเริ่มต้นของรูปแบบการปกครองในระบบรัฐสภา” แม้ว่า “ในทางทฤษฎีพระมหากษัตริย์จะยังคงทรงเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและผู้ทรงนิติบัญญัติ” แต่พระองค์จักได้ทรงเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีผู้ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อพระองค์ และพระองค์ทรงถอดออกจากตำแหน่งได้ นายกรัฐมนตรีจักเลือกรัฐมนตรีของเขาเองเป็นคณะรัฐมนตรีใช้อำนาจบริหาร แต่ก็โดยมีสภานิติบัญญัติใช้อำนาจบางประการกำกับอยู่ ในทำนองระบบรัฐสภา
    สภาใหม่นี้ ในระยะเริ่มแรก ควรมีสมาชิกประเภทแต่งตั้งและประเภทเลือกตั้งจำนวนเท่ากัน ที่น่าสนใจคือ ในประเภทแต่งตั้ง จะมีข้าราชการประจำเกินกึ่งหนึ่งไม่ได้ เท่ากับว่าร่างนี้ แม้ว่าจะเห็นว่าสมาชิกประเภทเลือกตั้งจะยังต้องมี “พี่เลี้ยง” แต่ก็ต้องการจะป้องกันมิให้ข้าราชการครอบงำ ลักษณะเช่นนี้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕ (๒๗ มิถุนายน) ซึ่งคณะราษฎรเป็นผู้ร่างและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเติมคำว่า “ชั่วคราว” ลงไป ที่ไม่มีบทบัญญัติ หรือจำนวนข้าราชการประจำที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ ไม่ว่าประเภทแต่งตั้งหรือเลือกตั้งอ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้ 
    ในร่างสตีเวนส์-ศรีวิสาร การเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติจักเป็นโดยอ้อม ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง (voters) ในอำเภอผู้ซึ่งต้องมีสัญชาติสยามและพำนักอยู่ในประเทศ และเสียภาษีจักเลือกตั้งผู้เลือกตั้ง (electors) ผู้แทนมณฑล ซึ่งต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ เข้าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ ซึ่งมีอำนาจออกกฎหมายตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน และออกเสียงลงคะแนนไว้วางใจในรัฐบาล หากสองในสามของสภาฯ ลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีต้องกราบถวายบังคมทูลฯ ลาออก
    สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งนั้น ทั้งนายกรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติมีวาระเท่ากันโดยดำรงตำแหน่งในขณะเดียวกันเป็นเวลา ๔-๕ ปี พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทรงยับยั้ง (veto) กฎหมาย แต่ต้องทรงอธิบายเหตุผล นอกจากนั้นยังทรงมีอำนาจในการออกกฎหมายในภาวะฉุกเฉินซึ่งส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อความมั่นคง โดยไม่ต้องผ่านสภานิติบัญญัติ ทั้งยังทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยุบสภานิติบัญญัติ

บทวิเคราะห์ร่างฯ
    แม้ว่าร่างใหม่นี้จะมีความแตกต่างอย่างสำคัญจากร่างของพระยากัลยาณไมตรีตรงที่เปิดช่องทางให้มีการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนผ่านการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติโดยทางอ้อมก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้เป็นในรูปแบบของการปกครองในระบบรัฐสภาประชาธิปไตย เพราะพระมหากษัตริย์จะทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรี รวมทั้งในการยุบสภา หากแต่ว่า พลังขับเคลื่อนทางการเมืองที่ร่างนี้จะปลดปล่อยออกมาน่าจะเป็นไปในทางต้านทานการทรงใช้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ หรือตามอำเภอพระราชหฤทัย
    ข้อต่างอีกประการหนึ่งคือ การเน้นย้ำว่าอภิรัฐมนตรีสภาจักต้องเป็นองค์กรถวายคำปรึกษาในนโยบายทั่วไปเท่านั้น และอภิรัฐมนตรีจักต้องไม่เป็นรัฐมนตรีในขณะเดียวกัน หรือเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี ความข้อนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความมุ่งหมายคือการถ่ายโอนงานบริหารราชการแผ่นดินทั้งปวงออกไปจากพระมหากษัตริย์และอภิรัฐมนตรีสภาให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี อีกทั้งเป็นการทอนอำนาจอภิรัฐมนตรีสภาไปโดยปริยาย ส่วนประเด็นที่ว่า เป็นการมุ่ง “ถวายพระราชอำนาจคืน” แด่พระมหากษัตริย์หรือไม่นั้นเป็นที่ถกเถียงกัน นักวิเคราะห์บางคนผู้ซึ่งติดใจกับการที่ท้ายที่สุดอำนาจยังกระจุกอยู่ที่พระมหากษัตริย์ได้มีข้อสรุปว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่งที่จะค้ำจุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรืออำนาจเด็ดขาดของพระมหากษัตริย์  อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้
    ในที่นี้จะวิเคราะห์ไปทางตรงกันข้ามว่า ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปูทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบที่ผู้เขียนขอเรียกว่าระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ด้วยเหตุที่ว่า ในขณะนี้การให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลกันในระดับหนึ่งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติแสดงให้เห็นลักษณะบางอย่างของระบบแบ่งแยกอำนาจ (separation of powers system) แต่การที่ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมประชุมและมีสิทธิ์ออกเสียงในการประชุมสภานิติบัญญัติ ทำให้เห็นได้ชัดว่าจุดมุ่งหมายอยู่ที่การนำระบบการหลอมอำนาจ (fusion of powers system) อย่างของอังกฤษ  มาเป็นแม่แบบ
    ในประเทศนั้น กษัตริย์ทรงอยู่ (และยังทรงคงอยู่อย่างน้อยในเชิงสัญญลักษณ์) ณ จุดตัดระหว่างอำนาจ ๓ ฝ่ายคือ นิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ หน้าที่ของกษัตริย์ในพระราชสถานะประมุขของรัฐและชาติ คือการเกื้อหนุนให้ระบอบการปกครองมีความเป็นเอกภาพและได้ดุล แต่ก็มิใช่ว่าจะทรงปลอดจากแรงผลักดันทางการเมืองในขณะที่ต้องทรงทำหน้าที่ดังกล่าว ในประเทศอังกฤษ ระบบนี้ได้ค่อยๆ แปรสภาพเป็นระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาในปัจจุบัน 
    หากวิเคราะห์จากมุมมองนี้ เห็นได้ว่าโครงการในสยามของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมุ่งสู่ระบบพระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ และต่อไปในทิศทางของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ดังนั้น ในระยะเปลี่ยนผ่าน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒ นี้ จึงได้ขยับพระมหากษัตริย์ให้ห่างจากการปฏิบัติการบริหารราชการแผ่นดิน และมีการจำกัดอำนาจของพระองค์อยู่บางประการ
    สำหรับการที่พระมหากษัตริย์ยังคงไว้ซึ่ง “อำนาจที่มีเผื่อไว้”(reserve power) ในอันที่จะกระทำการถอดออกจากตำแหน่งบุคคลผู้ที่เห็นจากการปฏิบัติแล้วว่าเขาไร้ความเหมาะสมที่จะคงทำการบริหารต่อไป อำนาจที่มีเผื่อไว้นี้มีไว้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องก่อการปฏิบัติ (revolution)  เพื่อที่จะขับไล่เขา อำนาจเช่นนี้มีในทุกประเทศ “และในประเทศเฉกเช่นสยามโดยตรรกแล้ว ย่อมมีไว้ให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้” ดังที่พระยากัลยาณไมตรีอธิบายไว้แล้วแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ 
    อีกทั้ง แม้ในปัจจุบันในอังกฤษซึ่งมีสภาสามัญชนจากการเลือกตั้งเป็นใหญ่ในรัฐสภา ท้ายที่สุดแล้ว กษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญก็ยังทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทรงใช้ดุลยพินิจของพระองค์เอง (personal prerogative) ในการทรงเลือกนายกรัฐมนตรีและในการไม่ทรงเห็นชอบกับคำขอยุบสภาของนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีผู้นั้นย่อมรู้สึกว่าต้องลาออก  ทั้งนี้แม้ว่าเมื่อ ๒-๓ ปีมานี้ มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการยุบสภาให้ต้องทรงใช้พระวิจารณญาณน้อยลง)
    นอกจากนั้น กษัตริย์อังกฤษยังทรงพระราชอำนาจในการยับยั้งการออกกฎหมายในกรณีที่กฎหมายนั้นอาจกระทบต่อประโยชน์ของชาติ (the national interest) แม้ว่าจะไม่มีการทรงใช้พระราชอำนาจนี้มาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม แต่ในค.ศ. ๑๙๑๔ (พ.ศ. ๒๔๕๗) ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนศุโขทัยธรรมราชาเสด็จกลับจากการทรงศึกษา ณ ประเทศนั้น พระเจ้าจอร์จที่ ๕ เกือบจะทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งกฎหมายว่าด้วยการปกครองตนเองของไอร์แลนด์ (Irish Home Rule Bill) แต่ท้ายที่สุด ไม่จำเป็นต้องทรงใช้ เพราะนายกรัฐมนตรีโอนอ่อนผ่อนตามคำทรงทักท้วง (the right to warn) อันเป็นหนึ่งใน “องค์สามพระราชสิทธิ์”(the trinity of rights) ของกษัตริย์   อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้  หากสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ซึ่งต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบถึงเหตูการณ์ดังกล่าว ย่อมไม่ทรงเห็นว่าการคงไว้ซึ่งพระราชอำนาจยับยั้งกฎหมายในร่างรัฐธรรมนูญของสตีเวนส์/ศรีวิสารเป็นของแปลก หรือขัดต่อพระราชประสงค์ที่จะเคลื่อนสู่ระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ
    วิเคราะห์ตามหลักวิชาการได้ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่งที่จะสร้างระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เพื่อค้ำจุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ความเห็นของผู้ร่าง
    สิ่งที่นับว่าแปลกก็คือทั้งนายสตีเวนส์และพระยาศรีวิสารฯ ผู้ร่าง เห็นว่ายังไม่ควรที่จะใช้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นอย่างเต็มรูปในเวลานั้น วัลย์วิภา จรูญโรจน์แสดงความฉงนว่า ถ้าเช่นนั้น เหตุใดจึงได้ร่างขึ้น เธอวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะเป็นพระราชประสงค์ และให้ความเห็นของเธอว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าบรรดาที่ปรึกษาของพระองค์ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้
    นายสตีเวนส์เห็นว่าการตั้งนายกรัฐมนตรีสามารถทำได้โดยไม่มีผลกระทบ แต่การที่จะสถาปนาสภานิติบัญญัติที่มีสมาชิกจากการเลือกตั้งเป็นบางส่วนและใช้อำนาจทั้งนิติบัญญัติและบริหารนั้น ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอื้อต่อการที่สมาชิกประเภทเลือกตั้งจะมีอำนาจเพิ่มพูนขึ้นเป็นเงาตามตัว เขาจึงเตือนว่า “เป็นการยากยิ่งที่จะเอาอำนาจที่ให้แก่ประชาชนแล้วคืนมา” เขาจึงเห็นว่ายังไม่ควรที่จะสถาปนาสภานิติบัญญัติในขณะนั้น
    ทั้งนายสตีเวนส์และพระยาศรีวิสารวาจาเห็นว่าประชาชนยังไม่มีความพร้อมที่จะรับ “การกระจายอำนาจ” สู่เขา นายสตีเวนส์วิเคราะห์ว่าความระส่ำระส่ายที่มีอยู่ในขณะนั้น “มีที่มาจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพราะรูปแบบการปกครอง” ดังนั้น จึงไม่น่าจะแก้ไขโดยการเปลี่ยนแปลงเชิงรัฐธรรมนูญ พระยาศรีวิสารฯ เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นจะทำให้อำนาจของรัฐบาลอ่อนลง จึงควรประวิงเวลาไปอย่างน้อยจนกระทั่งวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งสองเห็นควรมุ่งไปที่การจัดให้ประชาชนได้รับการฝึกหัดและมีประสบการณ์ในการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นก่อนอื่นใด ส่วนการสถาปนาสภานิติบัญญัตินั้นควรคอยไว้ก่อน แต่การตั้งนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นสิ่งที่ดำเนินการได้เลย

ความเห็นของอภิรัฐมนตรี
    แม้ว่าหลักฐานจดหมายเหตุจะมีอยู่อย่างจำกัดในปัจจุบัน แต่พอจะสรุปได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ (พ.ศ. ๒๔๗๕ ตามปฏิทินปัจจุบัน) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงส่งร่างรัฐธรรมนูญพร้อมบันทึกความเห็นของผู้ร่างทั้งสองไปยังอภิรัฐมนตรีเป็นรายพระองค์ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้ และอาจจะได้มีการประชุมอภิรัฐมนตรีสภาหลังจากนั้นในเดือนนั้น โดยต้องพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญในช่วงของการเฉลิมฉลองพระบรมราชจักรีวงศ์ และกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๕๐ ปีในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕
    เอกสารอภิรัฐมนตรีที่มีอยู่ในปัจจุบันเพียงอย่างเดียวคือของสมแด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจะทรงคัดค้านการประกาศใช้ นักการทูตอังกฤษรายงานว่ากรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย ทรงยืนยันกับเขาว่าอภิรัฐมนตรีส่วนใหญ่คัดค้าน แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงคาดว่าจะมีการยึดอำนาจและเผด็จการทหารตามมา อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้

พระราชดำริที่ตามมา
เกี่ยวกับการเข้าเฝ้าฯ ของพระยามโนฯ และผู้แทนคณะราษฎรเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้ เจ้าพระยามหิธรได้จดบันทึกการเข้าเฝ้าฯ ไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า ทรงรู้สึกว่า “ได้แก้ไขช้าไปบ้างและอ่อนไปบ้าง...เพราะ...จะดันทุรังไปก็ไม่ใคร่ได้ ด้วยมีผู้ใหญ่ผู้ที่ชำนาญการห้อมล้อมอยู่” รับสั่งต่อไปว่าการที่ผู้ร่างทั้งสอง “ขัดข้องเสียดั่งนี้ การก็เลยเหลวอีก ต่อมาได้เตรียมว่าจะไม่ประกาศก่อนงานสมโภชพระนคร ๑๕๐ ปีแล้ว เพราะจะเป็นขี้ขลาด รอว่าพองานแล้วจะประกาศ ได้เสนอที่ประชุมอภิรัฐมนตรี...ที่ประชุมก็ขัดข้องว่ากำลังเป็นเวลาโภคกิจตกต่ำ” รับสั่งต่อไปว่าทรงพระราชดำริสืบเนื่องว่าทางหนึ่งคือแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยมีสภาตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีและเสนอให้ถอดออกจากตำแหน่งได้ รวมทั้งให้มี “ผู้แทนจากหัวเมือง” อีกทางหนึ่งคือให้เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร (ราชเลขาธิการ) เป็นประธานในที่ประชุมเสนาบดีแทนพระองค์ และขยายจำนวนกรรมการองคมนตรีทำหน้าที่อย่างรัฐสภา ทรงนำ ๒ แผนนี้ติดพระองค์ไปหัวหินด้วย เพื่อจะทำบันทึกเสนอเสนาบดีสภา แต่ก็ได้เกิดการยึดอำนาจเสียก่อน พระองค์ “เสียพระราชหฤทัยที่ได้ช้าไป ทำความเสื่อมเสียให้เป็นอันมาก” ทั้งหมดแสดงว่ามิได้ทรงละความพยายามที่จะทรงขับเคลื่อนพระราชประสงค์จำนงหมายที่จะให้เกิดมีระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญขึ้นให้ได้ สอดคล้องกับการที่ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ทรงแสดงความเห็นว่าการที่จะเอาอย่างการจัดการศึกษาให้คนไทยนิยมการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมือนกับอิตาลีสมัยมุสโสลินีสอนให้คนของเขานิยมการปกครองแบบฟาสซิสต์ (เผด็จการเบ็ดเสร็จชนิดหนึ่ง) นั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงทรงเสนอแนะให้การศึกษาไปในทางที่เอื้อแก่การเตรียมการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy)อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> เปิดผิดรูปหรือมีชื่อที่ใช้ไม่ได้  

สร
    ทั้งหมด จึงเห็นได้ชัดว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งในขณะนั้นทรงสมบูรณาญาสิทธิ มิได้แต่เพียงทรงแสวงหาระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญซึ่งเข้าพระราชหฤทัยว่าในโลกสมัยใหม่เป็นระบอบประชาธิปไตยประเภทหนึ่ง การที่ทรงเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยประเภทนี้น่าจะมีความเหมาะสมกับสังคมไทย ก็เพราะจะเป็นการผสมผสานธรรมเนียมที่มีมาแต่เดิมเข้ากับธรรมเนียมใหม่อย่างมีโอกาสลงตัว ทั้งนี้ ด้วยเป็นพระราชปณิธานตั้งแต่ต้นรัชกาลที่จะทรงดูแลให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงดำเนินไปโดยราบรื่น และเพื่อให้ระบอบใหม่ที่จะสร้างขึ้นนั้นมีความยั่งยืน 

บรรณานุกรม

เจษฎา พรไชยา. ๒๕๓๖. พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยและประเทศอังกฤษ.   กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ชาญวิทย์ เกษตรศิริและธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. ๒๕๔๗. ปฏิวัติ ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำรา  สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.

พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว. ๒๕๔๔. ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในอังกฤษ .กรุงเทพฯ : ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๔๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า.

ศิริรัตนบุษบง, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. ๒๕๒๔. พระประวัติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า        บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต. กรุงเทพฯ: บริษัทจันวาณิชย์ จำกัด.

สนธิ เตชานันท์ (รวบรวม) ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.

Batson, Benjamin A. 1984. The End of the Absolute Monarchy in Siam. Oxford: Oxford University Press.

Bogdanor, Vernon. 1995. The Monarchy and the Constitution. Oxford: Clarendon Press.

KobkuaSuwannathat-Pian. 2003. Kings, Country and Constitution: Thailand’s Political Development,1932-2000. London and New York: Routledge Curzon.

NattapollChaiching. 2010. The Monarchy and the royalist movement in modern Thai Politics in Saying the Unsayable: Monarchy and Democracy in Thailand. Soren Ivarsson and LotteIsager.Editors. Copenhagen: Nordie Institute of Asian Studies Press: 147-178.

PrudhisanJumbala. 2012. Prajadhipok: The King at the transition to Constitutional Monarchy inSiam in           Monarchy and Constitutional Rule in Democratizing Thailand. SuchitBumbongkarn and PrudhisanJumbala.Editors. Bangkok: Institute of Thai Studies, Chulalongkorn University: 106-202.

 

เอกสารอ่านเพิ่มเติม

ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ ๒