ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
หน้าที่ถูกสร้างด้วย 'เป็นที่ทราบกับดีว่าระบบอุดมศึกษาไทยได้รับการสน...' |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
==พระราชวิจารณ์ว่าด้วยการอุดมศึกษาของประเทศไทยผ่านการดำเนินการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย == | '''ผู้เรียบเรียง : '''ปานเทพ ลาภเกษร | ||
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์ | |||
---- | |||
เป็นที่ทราบกับดีว่าระบบอุดมศึกษาไทยได้รับการสนับสนุนจาก[[สถาบันพระมหากษัตริย์|สถาบันพระมหากษัตริย์]]นับตั้งแต่รัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]เป็นต้นมา โดยเฉพาะการจัดการศึกษาเฉพาะทางและการศึกษาในระดับสูงซึ่งเป็นยอดปิรามิดทางการศึกษา อาทิ การตั้งโรงเรียนฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ และโรงเรียนมหาดเล็ก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ ตราบจนเมื่อต้น[[รัชกาลที่_๖|รัชกาลที่ ๖]] [[พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมพระราชทานที่ดิน จำนวน ๑,๓๐๙ ไร่เพื่อปลูกสร้างอาคารเรียนใหม่ โดยเสด็จก่อพระฤกษ์อาคารเรียนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๙ และท้ายที่สุดให้ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยในนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙<ref> www.chula.ac.th</ref> [[พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก_พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]] จึงทรงเอาพระทัยใส่ในกิจการของ[[จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย|จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]]และ/หรือระบบอุดมศึกษาไทยมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ที่ริเริ่มมาแต่รัชกาลก่อน | |||
== พระราชวิจารณ์ว่าด้วยการอุดมศึกษาของประเทศไทยผ่านการดำเนินการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย == | |||
ในการเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานประกาศนียบัตรแก่เวชชบัณฑิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๗๓ ซึ่งเป็นการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกในประเทศไทย ได้พระราชทานพระบรมราโชวามแก่บัณฑิตความว่า ที่ผ่านมานั้น คนไทยเห็นประโยชน์ของการทำงานมากกว่าการจัดการศึกษาในระดับสูง เพราะส่วนใหญ่จะเรียนจนจบแค่การศึกษาภาคบังคับ ด้วยเหตุนี้ การจัดการศึกษาในระดับสูงจึงประสบอุปสรรคเพราะไม่มีผู้สนใจมาสมัครเรียน กลวิธีที่จะทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเสาหลักในการพัฒนาระบบอุดมศึกษาในประเทศไทยประการหนึ่งก็คือ ครูและบัณฑิตต้องพิสูจน์ตนเองให้สังคมประจักษ์ว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นส่งผลดีแก่ตนเอง เมื่อมหาวิทยาลัยสามารถเชิญชวนให้มีคนมาเรียนมากขึ้น มหาวิทยาลัยก็จะได้พิจารณาเปิดสอนในสาขาวิชาที่เป็นที่ต้องการของผู้เรียนจริงๆ รัฐก็จะได้ลงทุนจัดการอุดมศึกษาที่เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะได้จัดการศึกษาที่สนองประโยชน์แก่ผู้เรียนอย่างแท้จริง | ในการเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานประกาศนียบัตรแก่เวชชบัณฑิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๗๓ ซึ่งเป็นการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกในประเทศไทย ได้พระราชทานพระบรมราโชวามแก่บัณฑิตความว่า ที่ผ่านมานั้น คนไทยเห็นประโยชน์ของการทำงานมากกว่าการจัดการศึกษาในระดับสูง เพราะส่วนใหญ่จะเรียนจนจบแค่การศึกษาภาคบังคับ ด้วยเหตุนี้ การจัดการศึกษาในระดับสูงจึงประสบอุปสรรคเพราะไม่มีผู้สนใจมาสมัครเรียน กลวิธีที่จะทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเสาหลักในการพัฒนาระบบอุดมศึกษาในประเทศไทยประการหนึ่งก็คือ ครูและบัณฑิตต้องพิสูจน์ตนเองให้สังคมประจักษ์ว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นส่งผลดีแก่ตนเอง เมื่อมหาวิทยาลัยสามารถเชิญชวนให้มีคนมาเรียนมากขึ้น มหาวิทยาลัยก็จะได้พิจารณาเปิดสอนในสาขาวิชาที่เป็นที่ต้องการของผู้เรียนจริงๆ รัฐก็จะได้ลงทุนจัดการอุดมศึกษาที่เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะได้จัดการศึกษาที่สนองประโยชน์แก่ผู้เรียนอย่างแท้จริง | ||
บรรทัดที่ 7: | บรรทัดที่ 14: | ||
อีกประการหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่า การจัดการอุดมศึกษาไทยควรจัดตามกลไกตลาด (market mechanism) โดยเริ่มจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดั่งพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่บัณทิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีถัดมา คือเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๔๗๔ ความว่า การจัดการศึกษาต้องดูความนิยมของผู้เรียนควบคู่ไปกับความต้องการของตลาด เพราะหากวันหนึ่งประเทศมีบัณฑิตบางสาขาล้นเกินความต้องการแล้ว ค่าของปริญญาที่ตีราคาด้วยโอกาสและรายได้ในการทำงานของบัณฑิตก็จะลดลง มหาวิทยาลัยจึงสมควรที่จะผลิตบัณฑิตในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนิสิตแต่ละคนต้องลงทุนอย่างมากในการเข้ามาศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อจบการศึกษา บัณฑิตเหล่านั้นก็สมควรที่จะได้รับผลตอบแทนจากการประกอบอาชีพที่เหมาะควร ท้ายที่สุด ยังทรงเตือนใจบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ตระหนักในคุณค่าของการใช้ชีวิตภายหลังสำเร็จการศึกษา ด้วยนัยหนึ่งของค่าปริญญาเกิดจากความเพียรพยายามของบัณฑิตเอง จึงต้องหมั่นปฏิบัติกิจของตนให้บังเกิดประโยชน์ทั้งแก่ประเทศชาติและตนเอง และต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพราะหากบัณฑิตประพฤติดี ประพฤติชอบ ชื่อเสียงของจุฬาลงกรณ์ก็คงอยู่และเพิ่มความนิยมไปเรื่อยๆ | อีกประการหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่า การจัดการอุดมศึกษาไทยควรจัดตามกลไกตลาด (market mechanism) โดยเริ่มจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดั่งพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่บัณทิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีถัดมา คือเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๔๗๔ ความว่า การจัดการศึกษาต้องดูความนิยมของผู้เรียนควบคู่ไปกับความต้องการของตลาด เพราะหากวันหนึ่งประเทศมีบัณฑิตบางสาขาล้นเกินความต้องการแล้ว ค่าของปริญญาที่ตีราคาด้วยโอกาสและรายได้ในการทำงานของบัณฑิตก็จะลดลง มหาวิทยาลัยจึงสมควรที่จะผลิตบัณฑิตในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนิสิตแต่ละคนต้องลงทุนอย่างมากในการเข้ามาศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อจบการศึกษา บัณฑิตเหล่านั้นก็สมควรที่จะได้รับผลตอบแทนจากการประกอบอาชีพที่เหมาะควร ท้ายที่สุด ยังทรงเตือนใจบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ตระหนักในคุณค่าของการใช้ชีวิตภายหลังสำเร็จการศึกษา ด้วยนัยหนึ่งของค่าปริญญาเกิดจากความเพียรพยายามของบัณฑิตเอง จึงต้องหมั่นปฏิบัติกิจของตนให้บังเกิดประโยชน์ทั้งแก่ประเทศชาติและตนเอง และต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพราะหากบัณฑิตประพฤติดี ประพฤติชอบ ชื่อเสียงของจุฬาลงกรณ์ก็คงอยู่และเพิ่มความนิยมไปเรื่อยๆ | ||
==มรดกทางความคิดเกี่ยวกับการจัดการอุดมศึกษาผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย== | == มรดกทางความคิดเกี่ยวกับการจัดการอุดมศึกษาผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย == | ||
แม้พระองค์ท่านจะมิได้พระราชทานถาวรวัตถุแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เห็นเป็นประจักษ์พยานเฉกเช่นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช หากแต่พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ และ ๒๔๗๔ ส่งผลต่อการพัฒนากิจการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและการอุดมศึกษาไทยไม่น้อย กล่าวคือ | แม้พระองค์ท่านจะมิได้พระราชทานถาวรวัตถุแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เห็นเป็นประจักษ์พยานเฉกเช่นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช หากแต่พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ และ ๒๔๗๔ ส่งผลต่อการพัฒนากิจการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและการอุดมศึกษาไทยไม่น้อย กล่าวคือ | ||
'''๑. สายสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และการอุดมศึกษา''' | '''๑. สายสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และการอุดมศึกษา''' | ||
จากที่กล่าวมาแล้ว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงถือเอาพระประมุขของชาติเป็นองค์อุปถัมป์ภกของมหาวิทยาลัย เพราะนอกจะใช้พระนามของมหาราชเจ้าที่เคารพรักแห่งปวงชนชาวไทยเป็นชื่อสถาบันแล้ว องค์พระมหากษัตริย์ที่นับเนื่องมาแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปูแนวทางการเป็นมหาวิทยาลัยของแผ่นดินแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะแนวความคิดในการสืบสานปณิธานของชาวจุฬาฯ ในการปฏิบัติบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนร่วมและส่วนตน ซึ่งแนวความคิดนี้ได้รับการสืบทอดและพัฒนาเป็นสองในสามพันธกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษาทุกสถาบัน อาทิ การรับใช้ชุมชน และการสงวนรักษาและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นคุณลักษณะพิเศษของการอุดมศึกษาไทยเท่านั้น เหตุนี้ สถาบันอุดมศึกษาจึงมักกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือทูลเชิญเจ้านายชั้นพระบรมวงศ์เป็นผู้พระราชทานหรือประทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตของตน ด้วยหวังว่า พระบรมราโชวาทที่จะพระราชทานเฉกเช่นที่[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ได้เคยพระราชทานไว้แล้วนั้น จะสานสายสัมพันธ์ระหว่างสถาบันชาติ ศาสน์ และกษัตริย์กับเหล่าบัณฑิตที่จะออกไปรับใช้ชาติและประชาชนในอนาคต | จากที่กล่าวมาแล้ว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงถือเอาพระประมุขของชาติเป็นองค์อุปถัมป์ภกของมหาวิทยาลัย เพราะนอกจะใช้พระนามของมหาราชเจ้าที่เคารพรักแห่งปวงชนชาวไทยเป็นชื่อสถาบันแล้ว องค์พระมหากษัตริย์ที่นับเนื่องมาแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปูแนวทางการเป็นมหาวิทยาลัยของแผ่นดินแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะแนวความคิดในการสืบสานปณิธานของชาวจุฬาฯ ในการปฏิบัติบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนร่วมและส่วนตน ซึ่งแนวความคิดนี้ได้รับการสืบทอดและพัฒนาเป็นสองในสามพันธกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษาทุกสถาบัน อาทิ การรับใช้ชุมชน และการสงวนรักษาและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นคุณลักษณะพิเศษของการอุดมศึกษาไทยเท่านั้น เหตุนี้ สถาบันอุดมศึกษาจึงมักกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือทูลเชิญเจ้านายชั้นพระบรมวงศ์เป็นผู้พระราชทานหรือประทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตของตน ด้วยหวังว่า พระบรมราโชวาทที่จะพระราชทานเฉกเช่นที่[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ได้เคยพระราชทานไว้แล้วนั้น จะสานสายสัมพันธ์ระหว่างสถาบันชาติ ศาสน์ และกษัตริย์กับเหล่าบัณฑิตที่จะออกไปรับใช้ชาติและประชาชนในอนาคต | ||
'''๒. การจัดสรรทรัพยากรของรัฐแก่สถาบันอุดมศึกษา''' | '''๒. การจัดสรรทรัพยากรของรัฐแก่สถาบันอุดมศึกษา''' | ||
จากพระปฐมบรมราโชวาทเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ ส่งผลต่อแนวนโยบายแห่งรัฐในการจัดการอุดมศึกษาในเกือบอีกสองทศวรรษ (๒๔๗๕ – ๒๕๐๐) กล่าวคือ การใคร่ครวญในการลงทุนเพื่อการอุดมศึกษาโดยภาครัฐเพราะเป็นการลงทุนที่เกิดผลประโยชน์แก่ผู้เรียนโดยตรง ประโยชน์จะบังเกิดแก่ประเทศก็ต่อเมื่อครูและบัณฑิตใช้ความรู้ที่ได้ในประพฤติและดำรงตนด้วยการสร้างคุณประโยชน์แก่ชาติ ดังนั้นประเทศชาติจึงเป็นเสมือนผู้ได้รับประโยชน์รองจากผู้เรียน แนวความคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการจัดการอุดมศึกษาสำหรับชนชั้นนำในช่วงสองทศวรรษแรกของการอุดมศึกษาไทยซึ่งรัฐจะไม่ลงทุนมากเท่ากับการขยายโอกาสการศึกษาภาคบังคับซึ่งถือเป็นประโยชน์สาธารณะที่คนส่วนใหญ่รู้หนังสือและมีความสามารถในการคิดคำนวณ รวมทั้งมีความรู้ในการประกอบอาชีพเบื้องต้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้กอปรกับการพิจารณาจำนวนประชากรและการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจในขณะนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเป็นสถาบันอุดมศึกษาหลัก แต่เมื่อกาลเวลาล่วงไป โดยเฉพาะภายหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ ความเชื่อเรื่องอุดมศึกษาเพื่อชนชั้นนำได้จางลงเมื่อมีแนวความคิดในการสร้างตลาดวิชา ([[มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]]) และการขยายจำนวนมหาวิทยาลัยไปในภูมิภาคต่างๆ (หลัง พ.ศ. ๒๕๐๐) แต่สิ่งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานข้อสังเกตไว้ยังเป็นจริงจวบจนทุกวันนี้ นั่นคือ ๑) รัฐไม่ควรทุ่มงบประมาณแก่ภาคอุดมศึกษาโดยไร้การคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม และ ๒) มหาวิทยาลัยจะไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่มีการสนับสนุนทุนทรัพย์จากภายนอก อาทิ การอุปถัมป์โดยผู้สนับสนุนภาคเอกชนหรือองค์การระหว่างประเทศ | จากพระปฐมบรมราโชวาทเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ ส่งผลต่อแนวนโยบายแห่งรัฐในการจัดการอุดมศึกษาในเกือบอีกสองทศวรรษ (๒๔๗๕ – ๒๕๐๐) กล่าวคือ การใคร่ครวญในการลงทุนเพื่อการอุดมศึกษาโดยภาครัฐเพราะเป็นการลงทุนที่เกิดผลประโยชน์แก่ผู้เรียนโดยตรง ประโยชน์จะบังเกิดแก่ประเทศก็ต่อเมื่อครูและบัณฑิตใช้ความรู้ที่ได้ในประพฤติและดำรงตนด้วยการสร้างคุณประโยชน์แก่ชาติ ดังนั้นประเทศชาติจึงเป็นเสมือนผู้ได้รับประโยชน์รองจากผู้เรียน แนวความคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการจัดการอุดมศึกษาสำหรับชนชั้นนำในช่วงสองทศวรรษแรกของการอุดมศึกษาไทยซึ่งรัฐจะไม่ลงทุนมากเท่ากับการขยายโอกาสการศึกษาภาคบังคับซึ่งถือเป็นประโยชน์สาธารณะที่คนส่วนใหญ่รู้หนังสือและมีความสามารถในการคิดคำนวณ รวมทั้งมีความรู้ในการประกอบอาชีพเบื้องต้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้กอปรกับการพิจารณาจำนวนประชากรและการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจในขณะนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเป็นสถาบันอุดมศึกษาหลัก แต่เมื่อกาลเวลาล่วงไป โดยเฉพาะภายหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ ความเชื่อเรื่องอุดมศึกษาเพื่อชนชั้นนำได้จางลงเมื่อมีแนวความคิดในการสร้างตลาดวิชา ([[มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์|มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]]) และการขยายจำนวนมหาวิทยาลัยไปในภูมิภาคต่างๆ (หลัง พ.ศ. ๒๕๐๐) แต่สิ่งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานข้อสังเกตไว้ยังเป็นจริงจวบจนทุกวันนี้ นั่นคือ ๑) รัฐไม่ควรทุ่มงบประมาณแก่ภาคอุดมศึกษาโดยไร้การคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม และ ๒) มหาวิทยาลัยจะไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่มีการสนับสนุนทุนทรัพย์จากภายนอก อาทิ การอุปถัมป์โดยผู้สนับสนุนภาคเอกชนหรือองค์การระหว่างประเทศ | ||
กล่าวโดยสรุป รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของกระแสการจัดการอุดมศึกษาในประเทศไทย จากการอุดมศึกษาเพื่อชนชั้นนำมาเป็นเพื่อสังคมโดยรวม มิได้มุ่งเน้นการสร้างบุคลากรเพื่อรองรับระบบราชการซึ่งเคยเป็นภารกิจหลักของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนับแต่แรกตั้ง หากแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านที่มหาวิทยาลัยต้องให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ในทางกลับกัน เหล่าบัณทิตต้องเกื้อหนุนมหาวิทยาลัยด้วยการสัญญาว่าจะประพฤติและปฎิบัติตนเป็นคนดีต่อส่วนร่วม เฉกเช่นสร้อยท้ายของเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน “มหาจุฬาลงกรณ์” ความว่า | กล่าวโดยสรุป รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของกระแสการจัดการอุดมศึกษาในประเทศไทย จากการอุดมศึกษาเพื่อชนชั้นนำมาเป็นเพื่อสังคมโดยรวม มิได้มุ่งเน้นการสร้างบุคลากรเพื่อรองรับระบบราชการซึ่งเคยเป็นภารกิจหลักของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนับแต่แรกตั้ง หากแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านที่มหาวิทยาลัยต้องให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ในทางกลับกัน เหล่าบัณทิตต้องเกื้อหนุนมหาวิทยาลัยด้วยการสัญญาว่าจะประพฤติและปฎิบัติตนเป็นคนดีต่อส่วนร่วม เฉกเช่นสร้อยท้ายของเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน “มหาจุฬาลงกรณ์” ความว่า | ||
''“ นิสิตพร้อมหน้า สัญญาประคอง ความดีทุกอย่างต่างปอง ผยองพระเกียรติเกริกไกร ขอตราพระเกี้ยวยั้งยืนยง นิสิตประสงค์เป็นธงชัย ถาวรยศอยู่คู่ไทย เชิดชัย ชโย”'' | ''“ นิสิตพร้อมหน้า สัญญาประคอง ความดีทุกอย่างต่างปอง ผยองพระเกียรติเกริกไกร ขอตราพระเกี้ยวยั้งยืนยง นิสิตประสงค์เป็นธงชัย ถาวรยศอยู่คู่ไทย เชิดชัย ชโย”'' | ||
==อ้างอิง== | == อ้างอิง == | ||
<references/> | |||
<references /> | |||
==บรรณานุกรม (เว็บไซต์)== | == บรรณานุกรม (เว็บไซต์) == | ||
www.chula.ac.th | www.chula.ac.th | ||
[[Category:พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 18:07, 19 พฤษภาคม 2560
ผู้เรียบเรียง : ปานเทพ ลาภเกษร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์
เป็นที่ทราบกับดีว่าระบบอุดมศึกษาไทยได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพระมหากษัตริย์นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา โดยเฉพาะการจัดการศึกษาเฉพาะทางและการศึกษาในระดับสูงซึ่งเป็นยอดปิรามิดทางการศึกษา อาทิ การตั้งโรงเรียนฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ และโรงเรียนมหาดเล็ก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ ตราบจนเมื่อต้นรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมพระราชทานที่ดิน จำนวน ๑,๓๐๙ ไร่เพื่อปลูกสร้างอาคารเรียนใหม่ โดยเสด็จก่อพระฤกษ์อาคารเรียนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๙ และท้ายที่สุดให้ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยในนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙[1] พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงเอาพระทัยใส่ในกิจการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและ/หรือระบบอุดมศึกษาไทยมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ที่ริเริ่มมาแต่รัชกาลก่อน
พระราชวิจารณ์ว่าด้วยการอุดมศึกษาของประเทศไทยผ่านการดำเนินการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในการเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานประกาศนียบัตรแก่เวชชบัณฑิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๗๓ ซึ่งเป็นการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกในประเทศไทย ได้พระราชทานพระบรมราโชวามแก่บัณฑิตความว่า ที่ผ่านมานั้น คนไทยเห็นประโยชน์ของการทำงานมากกว่าการจัดการศึกษาในระดับสูง เพราะส่วนใหญ่จะเรียนจนจบแค่การศึกษาภาคบังคับ ด้วยเหตุนี้ การจัดการศึกษาในระดับสูงจึงประสบอุปสรรคเพราะไม่มีผู้สนใจมาสมัครเรียน กลวิธีที่จะทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเสาหลักในการพัฒนาระบบอุดมศึกษาในประเทศไทยประการหนึ่งก็คือ ครูและบัณฑิตต้องพิสูจน์ตนเองให้สังคมประจักษ์ว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นส่งผลดีแก่ตนเอง เมื่อมหาวิทยาลัยสามารถเชิญชวนให้มีคนมาเรียนมากขึ้น มหาวิทยาลัยก็จะได้พิจารณาเปิดสอนในสาขาวิชาที่เป็นที่ต้องการของผู้เรียนจริงๆ รัฐก็จะได้ลงทุนจัดการอุดมศึกษาที่เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะได้จัดการศึกษาที่สนองประโยชน์แก่ผู้เรียนอย่างแท้จริง
อีกประการหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่า การจัดการอุดมศึกษาไทยควรจัดตามกลไกตลาด (market mechanism) โดยเริ่มจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดั่งพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่บัณทิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีถัดมา คือเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๔๗๔ ความว่า การจัดการศึกษาต้องดูความนิยมของผู้เรียนควบคู่ไปกับความต้องการของตลาด เพราะหากวันหนึ่งประเทศมีบัณฑิตบางสาขาล้นเกินความต้องการแล้ว ค่าของปริญญาที่ตีราคาด้วยโอกาสและรายได้ในการทำงานของบัณฑิตก็จะลดลง มหาวิทยาลัยจึงสมควรที่จะผลิตบัณฑิตในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนิสิตแต่ละคนต้องลงทุนอย่างมากในการเข้ามาศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อจบการศึกษา บัณฑิตเหล่านั้นก็สมควรที่จะได้รับผลตอบแทนจากการประกอบอาชีพที่เหมาะควร ท้ายที่สุด ยังทรงเตือนใจบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ตระหนักในคุณค่าของการใช้ชีวิตภายหลังสำเร็จการศึกษา ด้วยนัยหนึ่งของค่าปริญญาเกิดจากความเพียรพยายามของบัณฑิตเอง จึงต้องหมั่นปฏิบัติกิจของตนให้บังเกิดประโยชน์ทั้งแก่ประเทศชาติและตนเอง และต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพราะหากบัณฑิตประพฤติดี ประพฤติชอบ ชื่อเสียงของจุฬาลงกรณ์ก็คงอยู่และเพิ่มความนิยมไปเรื่อยๆ
มรดกทางความคิดเกี่ยวกับการจัดการอุดมศึกษาผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แม้พระองค์ท่านจะมิได้พระราชทานถาวรวัตถุแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เห็นเป็นประจักษ์พยานเฉกเช่นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช หากแต่พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ และ ๒๔๗๔ ส่งผลต่อการพัฒนากิจการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและการอุดมศึกษาไทยไม่น้อย กล่าวคือ
๑. สายสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และการอุดมศึกษา
จากที่กล่าวมาแล้ว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงถือเอาพระประมุขของชาติเป็นองค์อุปถัมป์ภกของมหาวิทยาลัย เพราะนอกจะใช้พระนามของมหาราชเจ้าที่เคารพรักแห่งปวงชนชาวไทยเป็นชื่อสถาบันแล้ว องค์พระมหากษัตริย์ที่นับเนื่องมาแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปูแนวทางการเป็นมหาวิทยาลัยของแผ่นดินแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะแนวความคิดในการสืบสานปณิธานของชาวจุฬาฯ ในการปฏิบัติบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนร่วมและส่วนตน ซึ่งแนวความคิดนี้ได้รับการสืบทอดและพัฒนาเป็นสองในสามพันธกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษาทุกสถาบัน อาทิ การรับใช้ชุมชน และการสงวนรักษาและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นคุณลักษณะพิเศษของการอุดมศึกษาไทยเท่านั้น เหตุนี้ สถาบันอุดมศึกษาจึงมักกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือทูลเชิญเจ้านายชั้นพระบรมวงศ์เป็นผู้พระราชทานหรือประทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตของตน ด้วยหวังว่า พระบรมราโชวาทที่จะพระราชทานเฉกเช่นที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เคยพระราชทานไว้แล้วนั้น จะสานสายสัมพันธ์ระหว่างสถาบันชาติ ศาสน์ และกษัตริย์กับเหล่าบัณฑิตที่จะออกไปรับใช้ชาติและประชาชนในอนาคต
๒. การจัดสรรทรัพยากรของรัฐแก่สถาบันอุดมศึกษา
จากพระปฐมบรมราโชวาทเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ ส่งผลต่อแนวนโยบายแห่งรัฐในการจัดการอุดมศึกษาในเกือบอีกสองทศวรรษ (๒๔๗๕ – ๒๕๐๐) กล่าวคือ การใคร่ครวญในการลงทุนเพื่อการอุดมศึกษาโดยภาครัฐเพราะเป็นการลงทุนที่เกิดผลประโยชน์แก่ผู้เรียนโดยตรง ประโยชน์จะบังเกิดแก่ประเทศก็ต่อเมื่อครูและบัณฑิตใช้ความรู้ที่ได้ในประพฤติและดำรงตนด้วยการสร้างคุณประโยชน์แก่ชาติ ดังนั้นประเทศชาติจึงเป็นเสมือนผู้ได้รับประโยชน์รองจากผู้เรียน แนวความคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการจัดการอุดมศึกษาสำหรับชนชั้นนำในช่วงสองทศวรรษแรกของการอุดมศึกษาไทยซึ่งรัฐจะไม่ลงทุนมากเท่ากับการขยายโอกาสการศึกษาภาคบังคับซึ่งถือเป็นประโยชน์สาธารณะที่คนส่วนใหญ่รู้หนังสือและมีความสามารถในการคิดคำนวณ รวมทั้งมีความรู้ในการประกอบอาชีพเบื้องต้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้กอปรกับการพิจารณาจำนวนประชากรและการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจในขณะนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเป็นสถาบันอุดมศึกษาหลัก แต่เมื่อกาลเวลาล่วงไป โดยเฉพาะภายหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ ความเชื่อเรื่องอุดมศึกษาเพื่อชนชั้นนำได้จางลงเมื่อมีแนวความคิดในการสร้างตลาดวิชา (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และการขยายจำนวนมหาวิทยาลัยไปในภูมิภาคต่างๆ (หลัง พ.ศ. ๒๕๐๐) แต่สิ่งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานข้อสังเกตไว้ยังเป็นจริงจวบจนทุกวันนี้ นั่นคือ ๑) รัฐไม่ควรทุ่มงบประมาณแก่ภาคอุดมศึกษาโดยไร้การคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม และ ๒) มหาวิทยาลัยจะไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่มีการสนับสนุนทุนทรัพย์จากภายนอก อาทิ การอุปถัมป์โดยผู้สนับสนุนภาคเอกชนหรือองค์การระหว่างประเทศ
กล่าวโดยสรุป รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของกระแสการจัดการอุดมศึกษาในประเทศไทย จากการอุดมศึกษาเพื่อชนชั้นนำมาเป็นเพื่อสังคมโดยรวม มิได้มุ่งเน้นการสร้างบุคลากรเพื่อรองรับระบบราชการซึ่งเคยเป็นภารกิจหลักของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนับแต่แรกตั้ง หากแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านที่มหาวิทยาลัยต้องให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ในทางกลับกัน เหล่าบัณทิตต้องเกื้อหนุนมหาวิทยาลัยด้วยการสัญญาว่าจะประพฤติและปฎิบัติตนเป็นคนดีต่อส่วนร่วม เฉกเช่นสร้อยท้ายของเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน “มหาจุฬาลงกรณ์” ความว่า
“ นิสิตพร้อมหน้า สัญญาประคอง ความดีทุกอย่างต่างปอง ผยองพระเกียรติเกริกไกร ขอตราพระเกี้ยวยั้งยืนยง นิสิตประสงค์เป็นธงชัย ถาวรยศอยู่คู่ไทย เชิดชัย ชโย”
อ้างอิง
- ↑ www.chula.ac.th
บรรณานุกรม (เว็บไซต์)
www.chula.ac.th