ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทรงปรับเปลี่ยนพระราชพิธีให้เข้ากับยุคสมัย"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
อาจกล่าวได้ว่ารัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นยุคสมัยที่ราชสำนักสยามปรับเปลี่ยนรูปแบบและขั้นตอนของการพระราชพิธีให้เหมาะสมแก่กาลสมัยยุคหนึ่ง  
อาจกล่าวได้ว่ารัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]นั้น เป็นยุคสมัยที่ราชสำนักสยามปรับเปลี่ยนรูปแบบและขั้นตอนของการพระราชพิธีให้เหมาะสมแก่กาลสมัยยุคหนึ่ง  


เอกสารส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพระบุว่าทรงมีพระราชดำริให้ปรับปรุงรูปแบบการพระราชพิธีต่างๆ โดยตัดทอนรายละเอียด ขั้นตอน เพื่อลดเวลาลงแต่ยังคงดำรงพระเกียรติยศแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์
เอกสารส่วนพระองค์ของ[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ]]ระบุว่าทรงมีพระราชดำริให้ปรับปรุงรูปแบบการพระราชพิธีต่างๆ โดยตัดทอนรายละเอียด ขั้นตอน เพื่อลดเวลาลงแต่ยังคงดำรงพระเกียรติยศแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์
นับตั้งแต่การพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งรวบรัดขั้นตอนและตัดทอนรายละเอียด แต่ยังคงถวายพระเกียรติยศโดยบริบูรณ์ เช่น ไม่มีนางร้องไห้ จัดแต่งรถปืนใหญ่ อัญเชิญพระบรมศพจัดเสือป่าและลูกเสือเข้าสมทบกระบวนแห่และมีแตรเดี่ยวเพลงนอนถวายพระเกียรติครั้งสุดท้ายในฐานะทรงเป็นทหารตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ รวมไปถึงพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่ปฏิบัติสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา อันมีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
 
นับตั้งแต่การพระราชพิธีพระบรมศพ[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ซึ่งรวบรัดขั้นตอนและตัดทอนรายละเอียด แต่ยังคงถวายพระเกียรติยศโดยบริบูรณ์ เช่น ไม่มีนางร้องไห้ จัดแต่งรถปืนใหญ่ อัญเชิญพระบรมศพจัดเสือป่าและลูกเสือเข้าสมทบกระบวนแห่และมีแตรเดี่ยวเพลงนอนถวายพระเกียรติครั้งสุดท้ายในฐานะทรงเป็นทหารตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ รวมไปถึง[[พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา]]ที่ปฏิบัติสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา อันมีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ใน[[ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]]


สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงปรับรูปแบบของพระราชพิธีที่เคยปฏิบัติมาให้มีความกระชับมากขึ้น โดยมิได้ลดความสำคัญของพระราชประเพณี  ด้านพระราชพิธีเนื่องในศาสนาที่ถือปฏิบัติมาในรัชกาลก่อนทรงเรียบเรียงกำหนดการขึ้นใหม่เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ไม่ว่าจะเป็นพิธีวิสาขบูชา พิธีแรกนาหรือพิธีเข้าพรรษา  
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงปรับรูปแบบของพระราชพิธีที่เคยปฏิบัติมาให้มีความกระชับมากขึ้น โดยมิได้ลดความสำคัญของพระราชประเพณี  ด้านพระราชพิธีเนื่องในศาสนาที่ถือปฏิบัติมาในรัชกาลก่อนทรงเรียบเรียงกำหนดการขึ้นใหม่เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ไม่ว่าจะเป็นพิธีวิสาขบูชา พิธีแรกนาหรือพิธีเข้าพรรษา  

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:32, 19 มกราคม 2559

อาจกล่าวได้ว่ารัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นยุคสมัยที่ราชสำนักสยามปรับเปลี่ยนรูปแบบและขั้นตอนของการพระราชพิธีให้เหมาะสมแก่กาลสมัยยุคหนึ่ง

เอกสารส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพระบุว่าทรงมีพระราชดำริให้ปรับปรุงรูปแบบการพระราชพิธีต่างๆ โดยตัดทอนรายละเอียด ขั้นตอน เพื่อลดเวลาลงแต่ยังคงดำรงพระเกียรติยศแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์

นับตั้งแต่การพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งรวบรัดขั้นตอนและตัดทอนรายละเอียด แต่ยังคงถวายพระเกียรติยศโดยบริบูรณ์ เช่น ไม่มีนางร้องไห้ จัดแต่งรถปืนใหญ่ อัญเชิญพระบรมศพจัดเสือป่าและลูกเสือเข้าสมทบกระบวนแห่และมีแตรเดี่ยวเพลงนอนถวายพระเกียรติครั้งสุดท้ายในฐานะทรงเป็นทหารตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ รวมไปถึงพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่ปฏิบัติสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา อันมีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงปรับรูปแบบของพระราชพิธีที่เคยปฏิบัติมาให้มีความกระชับมากขึ้น โดยมิได้ลดความสำคัญของพระราชประเพณี ด้านพระราชพิธีเนื่องในศาสนาที่ถือปฏิบัติมาในรัชกาลก่อนทรงเรียบเรียงกำหนดการขึ้นใหม่เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ไม่ว่าจะเป็นพิธีวิสาขบูชา พิธีแรกนาหรือพิธีเข้าพรรษา

การปรับเปลี่ยนรูปแบบของการพระราชพิธีเหล่านั้น ล้วนเป็นภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสยาม ณ เวลานั้น

ที่มา

บทสารคดี “ปกเกล้าธรรมราชา” สารคดีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ในวโรกาสครบ ๑๒๐ ปี แห่งวันพระบรมราชสมภพและเป็นบุคคลสำคัญของโลก โดยองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ประจำปี ๒๕๕๖