ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การประชุมร่วมกันของรัฐสภา"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 165: | บรรทัดที่ 165: | ||
เมื่อวุฒิสภาได้มีมติเรื่องใดในที่ประชุมแล้ว เลขาธิการรัฐสภาจะดำเนินการยืนยันมติของรัฐสภาดังกล่าวไปยังผูที่เกี่ยวของต่อไป ตามข้อบังคับฯ ขอ 7(5) | เมื่อวุฒิสภาได้มีมติเรื่องใดในที่ประชุมแล้ว เลขาธิการรัฐสภาจะดำเนินการยืนยันมติของรัฐสภาดังกล่าวไปยังผูที่เกี่ยวของต่อไป ตามข้อบังคับฯ ขอ 7(5) | ||
==บทสรุปปิดท้าย== | |||
จากบทความข้างต้น การประชุมร่วมกันของรัฐสภาจึงมีความสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภา เพราะถือเป็นกลไกการทำงานของสมาชิกรัฐสภา ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ อันจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานทั้งด้านนิติบัญญัติ ด้านการควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร รวมถึงการทำงานในด้านอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ | จากบทความข้างต้น การประชุมร่วมกันของรัฐสภาจึงมีความสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภา เพราะถือเป็นกลไกการทำงานของสมาชิกรัฐสภา ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ อันจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานทั้งด้านนิติบัญญัติ ด้านการควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร รวมถึงการทำงานในด้านอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ | ||
==อ้างอิง== | |||
<\reference> | |||
==หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ== | |||
คณิน บุญสุวรรณ. ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548. รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ 1/2489 สมัยวิสามัญ ชุดที่ 1 วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 | คณิน บุญสุวรรณ. ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548. รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ 1/2489 สมัยวิสามัญ ชุดที่ 1 วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:58, 9 มิถุนายน 2557
เรียบเรียงโดย : นางสาวเรณุมาศ รักษาแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
บทนำ
ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เป็นสถาบันตัวแทนของประชาชนในการตรากฎหมาย การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญ ตลอดจนการแต่งตั้งและถอดถอนบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทั้งนี้ การปฏิบัติหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ดังกล่าวของรัฐสภาจะต้องกระทำในที่ประชุม ซึ่งโดยปกติสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาจะแยกกันประชุมตามอำนาจหน้าที่ แต่ก็มีบางกรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทั้งสองสภาประชุมร่วมกัน เรียกว่า “การประชุมร่วมกันของรัฐสภา”
ความหมายของการประชุมร่วมกันของรัฐสภา
คำว่า “การประชุมร่วมกันของรัฐสภา” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษ ว่า “Joint Sittings of the National Assembly” หมายถึง กรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา มีระเบียบวาระที่จะต้องประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาหรือให้ความเห็นชอบในเรื่องใดๆ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
ประวัติของการประชุมร่วมกันของรัฐสภา
การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. 2489 เวลา 21.10 นาฬิกา ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม โดยมีพันตรีวิลาศ โอสถานนท์ ประธานพฤฒสภา ทำหน้าที่เป็นประธานรัฐสภา และมีสมาชิกที่มาประชุม ได้แก่ สมาชิกพฤฒสภา 64 นาย และสมาชิกสภาผู้แทน 63 นาย รวมเป็น 127 นาย เพื่อพิจารณาเรื่องตามระเบียบวาระ ดังนี้ ระเบียบวาระที่ 1 เรื่องที่ประธานสภาแจ้งให้ที่ประชุมทราบ (ไม่มี) ระเบียบวาระที่ ๒ รัฐบาลแจ้งเรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต ซึ่งที่ประชุมรับทราบและได้ยืนขึ้นไว้อาลัยเป็นเวลานานพอสมควร ก่อนพิจารณาระเบียบวาระที่ 3 รัฐบาลแถลงเรื่อง ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ โดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 และขอความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา 9 แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้สืบราชสันตติวงศ์เป็นพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวของประชาชนชาวไทย โดยที่ประชุมได้ยืนขึ้นและเปล่งเสียงไชโย ๓ ครั้ง จากนั้น นายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบรายชื่อของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราว ตามมาตรา 10 และ 11 แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งมาจากสมาชิกพฤฒสภาที่มีอายุสูงสุด 3 ท่าน ได้แก่ พระสุธรรมวินิจฉัย เจ้าคุณนลราชสุวัจน์ และนายสงวน จูฑะเตมีย์
หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2514 ได้มีการดำเนินการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2517 3 จึงได้เปลี่ยนมาทำการประชุมสภา ณ อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ และได้เปิดการประชุมเป็นครั้งแรกในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ชุดที่ 2 ครั้งที่ 67 ในวันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 และได้ใช้ห้องประชุมของอาคารรัฐสภาแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพระที่นั่งอนันตสมาคมแม้ไม่ได้ใช้เป็นสถานที่ประชุมสภาแล้ว แต่ยังคงใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาจนกระทั่งปัจจุบัน
รัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้กำหนดองค์ประกอบของรัฐสภาไว้ในมาตรา 88 ว่า รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 500 คน เป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 375 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวน 125 คน (มาตรา 93) ส่วนวุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนรวม 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน และมาจากการสรรหาเท่ากับจำนวนรวมข้างต้นหักด้วยจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ปัจจุบันจึงมีสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งได้ทั้งสิ้น 77 คน และสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาอีก 73 คน (มาตรา 111) รวมกันเป็น “สมาชิกรัฐสภา” ตามบทนิยามในข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2553 ข้อ 3
รัฐสภาจะประชุมร่วมกันหรือแยกกัน ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ เราจึงสามารถแบ่งการประชุมรัฐสภาออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา และการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ว่าให้พิจารณาเรื่องใดในที่ประชุมของสภาใด เช่น การประชุมเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต้องดำเนินการในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร หรือการประชุมเพื่อพิจารณาแต่งตั้งหรือถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ต้องดำเนินการในการประชุมวุฒิสภา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบางกรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดขั้นตอนการพิจารณาในที่ประชุมของแต่ละสภาตามลำดับ เช่น การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ที่ต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาและลงมติเห็นชอบแล้ว ให้สภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภาเป็นลำดับต่อไป
ส่วนการประชุมร่วมกันของรัฐสภานั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 136 ได้บัญญัติกรณีที่จะต้องให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาไว้ 16 กรณี ดังต่อไปนี้
1. การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามมาตรา 19
2. การปฏิญาณตนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภา ตามมาตรา 21
3. การรับทราบการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 ตามมาตรา 22
4. การรับทราบหรือให้ความเห็นชอบในการสืบราชสมบัติ ตามมาตรา 23
5. การมีมติให้รัฐสภาพิจารณาเรื่องอื่นในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติได้ ตามมาตรา 127
6. การให้ความเห็นชอบในการปิดสมัยประชุมสามัญก่อนครบกำหนด ตามมาตรา 127
7. รัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไปครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป ตามมาตรา 128
8. การตราข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ตามมาตรา 137
9. การให้ความเห็นชอบให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่ง ตามมาตรา 145
10. การปรึกษาร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใหม่ เนื่องจากพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมา ตามมาตรา 151
11. การให้ความเห็นชอบให้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต่อไป ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 153
12. การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 176
13. การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ตามที่คณะรัฐมนตรีร้องขอ ตามมาตรา 179
14. การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม ตามมาตรา 189
15. การรับฟังคำชี้แจงและการให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญา ตามมาตรา 190
16. การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291
ช่วงเวลาที่สามารถประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้
การประชุมรัฐสภาสามารถกระทำได้ภายในสมัยประชุม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้แบ่งสมัยประชุมเป็น 2 สมัย คือ
1. สมัยประชุมสามัญ เป็นการกำหนดวันประชุมสภาโดยปกติในระยะเวลาหนึ่งปี ตามที่มาตรา 127 ได้กำหนดหลักการไว้ ให้สมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสมัยหนึ่ง ๆ มีกำหนดเวลา 120 วัน แต่สามารถขยายเวลาออกไปได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาในการตรากฎหมายมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รัฐธรรมนูญจึงกำหนดให้ในปีหนึ่งมีสมัยประชุมสามัญทั่วไป และสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ โดยวันประชุมครั้งแรกซึ่งต้องจัดขึ้นภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญทั่วไป ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้กำหนด แต่ในกรณีที่การเริ่มประชุมครั้งแรก มีเวลาจนถึงสิ้นปีปฏิทินไม่ถึง 150 วัน จะไม่มีการประชุมสมัยสามัญนิติบัญญัติสำหรับปีนั้นก็ได้ โดยสมัยประชุมสามัญทั่วไป และสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ มีความแตกต่างกัน ดังนี้
1.1 สมัยประชุมสามัญทั่วไป เป็นสมัยประชุมที่รัฐสภาสามารถดำเนินการในเรื่องใดๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น เช่น การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องพิจารณาในการประชุมสมัยสามัญนิติบัญญัติ
1.2 สมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ เป็นสมัยประชุมที่รัฐสภาสามารถดำเนินการประชุมได้เฉพาะกรณีที่บัญญัติไว้ในหมวดที่ 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือร่างพระราชบัญญัติการอนุมัติพระราชกำหนด การให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญา การเลือกหรือการให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่ง การถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง การตั้งกระทู้ถาม และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เว้นแต่รัฐสภาจะมีมติให้พิจารณาเรื่องอื่นใดด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
2. สมัยประชุมวิสามัญ เป็นการประชุมรัฐสภาในกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากสมัยประชุมสามัญที่มีขึ้นเป็นปกติ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้กำหนดเงื่อนไขในการเปิดสมัยประชุมวิสามัญของรัฐสภา ดังนี้
- เมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พระมหากษัตริย์จะทรงเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้โดยทรงตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญตามคำแนะนำของฝ่ายบริหาร
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ทั้งสองสภารวมกันหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภามีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้
ลักษณะของการประชุมร่วมกันของรัฐสภา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 133 ประกอบกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2553 ข้อ 9 ได้กำหนดลักษณะของการประชุมร่วมกันของรัฐสภาไว้ว่า การประชุมร่วมกันของรัฐสภาย่อมเป็นการเปิดเผยตามลักษณะที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมรัฐสภา แต่ถ้าคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกรัฐสภาไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ร้องขอให้ประชุมลับ ก็ให้ประชุมลับ ดังนั้น จึงสามารถแบ่งการประชุมร่วมกันของรัฐสภาออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การประชุมโดยเปิดเผย ซึ่งบุคคลภายนอกสามารถเข้าฟังการประชุมได้ตามระเบียบที่ประธานรัฐสภากำหนด นอกจากนี้ ประธานรัฐสภายังต้องจัดใหมีการถายทอดการประชุมทางวิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน และลามภาษามือ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถรับรู้ได้อย่างทั่วถึง สะท้อนให้เห็นถึงความเปิดเผย โปร่งใส สุจริต และตรวจสอบได้ และเป็นหลักประกันว่าการประชุมทุกครั้งจะดำเนินไปโดยยึดถือเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
2. การประชุมลับ เป็นการประชุมซึ่งจำกัดบุคคลที่จะอยู่ในที่ประชุมหรือ ณ ที่ใดในระยะที่จะฟงการประชุมได ไว้แต่เฉพาะสมาชิกรัฐสภา รัฐมนตรี และผูที่ไดรับอนุญาตจากประธานของที่ประชุม นอกจากนี้ ยังหามใชเครื่องบันทึกเสียง หรือเครื่องมือสื่อสารใด ๆ ถ่ายทอดการประชุมสู่บุคคลภายนอกโดยมิได้รับอนุญาตอย่างเคร่งครัด
กระบวนการในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา
การประชุมร่วมกันของรัฐสภานั้น ต้องดำเนินการไปตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภา โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติให้รัฐสภาประชุมร่วมกัน เพื่อตราข้อบังคับสำหรับใช้ในการประชุมรัฐสภา แต่ถ้ายังไม่มีข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ก็ให้ใช้ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยอนุโลมไปพลางก่อน ทั้งนี้ ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2553 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
- รัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไปครั้งแรก
เมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญ มาตรา 127 กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก โดยการเรียกประชุมนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 128 กำหนดไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา เปิดและปิดประชุม โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา” ซึ่งในทางปฏิบัติ คณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้ดำเนินการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกากราบบังคมทูลขึ้นไปเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมเป็นครั้งแรกแล้ว พระมหากษัตริย์จะได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุม สมัยประชุมสามัญทั่วไปครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ด้วยพระองค์เอง หรืออาจโปรดเกล้าฯ ให้พระรัชทายาทที่บรรลุนิติภาวะแล้วเป็นผู้แทนพระองค์มาทำรัฐพิธีก็ได้ โดยบรรดาสมาชิกของทั้งสองสภา รวมทั้งคณะรัฐมนตรีและบรรดาทูตานุทูต จะต้องแต่งเต็มยศไปยืนเฝ้าโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อร่วมในรัฐพิธี และรับฟังพระราชดำรัส ซึ่งส่วนใหญ่จะทรงให้สติในการทำงานตามภาระหน้าที่ของรัฐสภาในเรื่องต่างๆ
- ประธานของที่ประชุม
ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภานั้น ผู้ที่จะทำหน้าที่ประธานของที่ประชุม ได้แก่ ประธานรัฐสภา ซึ่งก็คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง และผู้ที่จะทำหน้าที่แทนได้ก็มีแต่ประธานวุฒิสภาซึ่งเป็นรองประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งเท่านั้น (รัฐธรรมนูญ มาตรา 89) ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า รองประธานสภาผู้แทนราษฎรก็ดี หรือรองประธานวุฒิสภาก็ดี ไม่มีอำนาจหน้าที่หรือมีส่วนในการทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาแต่ประการใด
- เลขาธิการรัฐสภา
หมายถึง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้รับแต่งตั้งจากประธานรัฐสภาให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขาธิการรัฐสภาในการประชุมรัฐสภา และรองเลขาธิการรัฐสภา หมายถึง เลขาธิการวุฒิสภาซึ่งได้รับแต่งตั้งจากประธานรัฐสภาให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นรองเลขาธิการรัฐสภาในการประชุมรัฐสภาตามข้อบังคับนี้
- การนัดประชุม
ต้องทําเปนหนังสือ เว้นแต่เมื่อได้บอกนัดในที่ประชุมแล้ว โดยจะต้องนัดล่วงหน้าไมนอยกวา 3 วันก่อนวันประชุม พร้อมแนบระเบียบวาระการประชุมและเอกสารที่เกี่ยวข้องด้วย โดยอาจดําเนินการนัดประชุมทางโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่นเพิ่มเติมอีกทางหนึ่งด้วยก็ได้ เว้นแต่การจัดส่งเอกสารลับให้เป็นไปตามที่ประธานรัฐสภากำหนด นอกจากนี้ ในกรณีมีเรื่องด่วน ประธานรัฐสภาจะนัดประชุมโดยแจ้งให้สมาชิกทราบน้อยกว่า 3 วันก็ได้แต่ต้องไม่น้อยกว่า 1 วัน (ข้อบังคับฯ ข้อ 12, 13)
- องค์ประชุม
การประชุมรัฐสภาต้องมีสมาชิกลงชื่อมาประชุมไมนอยกวากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเทาที่มีอยูจึงจะเปนองคประชุม โดยสมาชิกผูมาประชุมจะต้องลงชื่อในสมุดที่จัดไวกอนเขาประชุมทุกครั้ง และเขานั่งในที่ ที่จัดไว้เมื่อมีสัญญาณใหเขาประชุม หากมีสมาชิกเข้าประชุมครบองค์ประชุมแล้ว ประธานจะดำเนินการประชุมต่อไป (ข้อบังคับฯ ข้อ 16)
- การเลื่อนประชุม
เมื่อพนกําหนดเวลาประชุมไป 30 นาทีแลว จํานวนสมาชิกยังไมครบองคประชุม ประธานของที่ประชุมอาจสั่งใหเลื่อนการประชุมไปก็ได้ (ข้อบังคับฯ ขอ 17)
- การจัดระเบียบวาระการประชุม หมายถึง การลำดับเรื่องราวที่จะต้องพิจารณากันในที่ประชุมรัฐสภาซึ่งข้อบังคับการประชุมวุฒิสภาฯ ขอ 15 กำหนดใหจัดลำดับ ดังตอไปนี้
(1) เรื่องที่ประธานจะแจ้งต่อที่ประชุม
(2) รับรองรายงานการประชุม
(3) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว
(4) เรื่องที่ค้างพิจารณา
(5) เรื่องที่เสนอใหม่
(6) เรื่องอื่น ๆ
แต่ในกรณีที่ประธานรัฐสภาเห็นวาเรื่องใดเปนเรื่องดวน จะจัดไวในลําดับใดของระเบียบวาระการประชุมก็ได
- การเสนอญัตติ
โดยหลักแล้วญัตติทั้งหลายต้องเสนอล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานรัฐสภา และต้องมีสมาชิกรัฐสภารับรองไม่น้อยกว่า 10 คน เว้นแต่ข้อบังคับนี้ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะเป็นอย่างอื่น (ข้อบังคับฯ ข้อ 29) เช่น ญัตติขอให้ปรึกษาหรือพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ญัตติขอให้เปลี่ยนระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา ญัตติขอให้ลงมติไม่ให้จดรายงานการประชุมลับ รวมทั้ง ญัตติอื่น ๆ ตามข้อบังคับฯ ข้อ 31 ซึ่งไม่ต้องเสนอล่วงหน้าหรือเป็นหนังสือ เป็นต้น
- การกล่าวถ้อยคำต่อที่ประชุม
ผู้ใดประสงค์จะกล่าวถ้อยคำต่อที่ประชุมรัฐสภา ให้ยกมือขึ้นพ้นศีรษะ เมื่อประธานอนุญาตแล้ว จึงยืนขึ้นกล่าวได้ และต้องเป็นคำกล่าวกับประธานเท่านั้น (ข้อบังคับฯ ข้อ 20)
- การอภิปราย
มีหลักการคือ ต้องอยู่ในประเด็นหรือเกี่ยวกับประเด็นที่กำลังปรึกษากันอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย วนเวียน ซ้ำซาก หรือซ้ำกับผู้อื่น และห้ามนำเอกสารใด ๆ มาอ่านในที่ประชุมรัฐสภาโดยไม่จำเป็น และห้ามนำวัตถุใด ๆ เข้ามาแสดงในที่ประชุมรัฐสภา เว้นแต่ประธานจะอนุญาต ห้ามผู้อภิปรายแสดงกิริยา หรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ ใส่ร้าย หรือเสียดสีบุคคลใด และห้ามกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ หรือออกชื่อสมาชิกรัฐสภาหรือบุคคลใดโดยไม่จำเป็น (ข้อบังคับฯ ข้อ 43)
ส่วนลำดับของการอภิปรายนั้น ผู้มีสิทธิอภิปรายก่อน คือ ผู้เสนอญัตติหรือผู้แปรญัตติ จากนั้นจะต้องเป็นการอภิปรายสลับกันระหว่างฝ่ายคัดค้านและฝ่ายสนับสนุน เว้นแต่ในวาระของฝ่ายใดไม่มีผู้อภิปรายอีกฝ่ายหนึ่งจึงอภิปรายซ้อนได้ ส่วนการอภิปรายที่ไม่สนับสนุนและไม่คัดค้าน ย่อมกระทำได้โดยไม่ต้องสลับ และไม่ให้นับเป็นวาระอภิปรายของฝ่ายใด และเมื่อประธานเห็นว่าผู้ใดได้อภิปรายพอสมควรแล้ว ประธานจะให้ผู้นั้นยุติการอภิปรายก็ได้ (ข้อบังคับฯ ข้อ 40 - 44)
- การประท้วง
หากสมาชิกรัฐสภาผู้ใดถูกอภิปรายพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอื่นใดอันเป็นที่เสียหาย หรือต้องการประท้วงว่ามีการฝ่าฝืนข้อบังคับ สามารถกระทำได้โดยการยืนและยกมือขึ้นพ้นศีรษะ ซึ่งประธานต้องให้โอกาสผู้นั้นชี้แจง แล้ววินิจฉัยว่าได้มีการฝ่าฝืนข้อบังคับตามที่ประท้วงหรือไม่ ซึ่งคำวินิจฉัยของประธานถือเป็นเด็ดขาด โดยอาจสั่งให้ผู้อภิปรายถอนคำพูดของตน แต่ถ้าผู้อภิปรายออกไปจากที่ประชุมรัฐสภาโดยไม่ถอนคำพูดตามคำวินิจฉัยของประธาน ก็ให้ประธานบันทึกพฤติกรรมการไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยนั้นไว้ในรายงานการประชุม (ข้อบังคับฯ ข้อ 45 - 46)
- การอภิปรายยุติ
การอภิปรายเป็นอันยุติ เมื่อไม่มีผู้ใดอภิปรายหรือที่ประชุมรัฐสภาลงมติให้ปิดอภิปราย โดยในกรณีที่ประธานพิจารณาเห็นว่าได้อภิปรายกันพอสมควรแล้ว จะขอให้ที่ประชุมรัฐสภาวินิจฉัยว่าจะปิดอภิปรายหรือไม่ก็ได้ และเมื่อการอภิปรายได้ยุติแล้ว ห้ามผู้ใดอภิปรายอีก เว้นแต่ที่ประชุมรัฐสภาจะต้องลงมติในเรื่องนั้น จึงให้ผู้ซึ่งมีสิทธิอภิปรายก่อนคนใดคนหนึ่งมีสิทธิอภิปรายสรุปได้อีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ที่ประชุมรัฐสภาจะลงมติ (ข้อบังคับฯ ข้อ 47-49)
- การพักการประชุม
เป็นการหยุดการดำเนินการประชุมชั่วคราว เมื่อประธานของที่ประชุมเห็นสมควร เช่น การพักการประชุมเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน หรือพักการประชุมหลังจากที่ประธานเห็นว่าประชุมมานานหลายชั่วโมงแล้ว เป็นต้น (ข้อบังคับฯ ข้อ 22)
- การเลิกประชุม
เป็นการยุติการประชุมตามคำสั่งของประธานของที่ประชุม ซึ่งจะสั่งให้เลิกประชุมเมื่อหมดระเบียบวาระของวันนั้นหรือสั่งเลิกประชุมตามที่เห็นสมควรก็ได้ นอกจากนี้ การที่ประธานรัฐสภาลงจากบัลลังกโดยมิได้สั่งอย่างใด ก็ให้ถือว่าเป็นการใหเลิกการประชุมเช่นกัน (ข้อบังคับฯ ข้อ 22)
- การดำเนินการหลังการประชุม
เมื่อวุฒิสภาได้มีมติเรื่องใดในที่ประชุมแล้ว เลขาธิการรัฐสภาจะดำเนินการยืนยันมติของรัฐสภาดังกล่าวไปยังผูที่เกี่ยวของต่อไป ตามข้อบังคับฯ ขอ 7(5)
บทสรุปปิดท้าย
จากบทความข้างต้น การประชุมร่วมกันของรัฐสภาจึงมีความสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภา เพราะถือเป็นกลไกการทำงานของสมาชิกรัฐสภา ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ อันจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานทั้งด้านนิติบัญญัติ ด้านการควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร รวมถึงการทำงานในด้านอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
อ้างอิง
<\reference>
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
คณิน บุญสุวรรณ. ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548. รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ 1/2489 สมัยวิสามัญ ชุดที่ 1 วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พุทธศักราช 2489
ชัยอนันต์ สมุทวาณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ, 2518. ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี 2475-2517. กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, 2517.
มนตรี รูปสุวรรณ. กฎหมายรัฐสภา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2549.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐสภาไทย. กรุงเทพ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2546.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ระบบงานรัฐสภา 2555. กรุงเทพ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2555.
บรรณานุกรม
คณิน บุญสุวรรณ, ปทานานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548.
คณิน บุญสุวรรณ. “ตอนที่ 46 “ประชุมร่วมกันของรัฐสภา””, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.kaninboonsuwan.com/terminology/ct046.html (เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557)
ชัยอนันต์ สมุทวาณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ, 2518.
ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์, รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี 2475-2517. กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, 2517.
รายงานการประชุมรัฐสภา ครั้งที่ 1/2489 วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489
วัชราพร ยอดมิ่ง. “การประชุมสภา”, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.kpi.ac.th.(เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, การประชุมสภา. กรุงเทพฯ : กองการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, ม.ป.ป..