ผลต่างระหว่างรุ่นของ "14 มีนาคม พ.ศ. 2518"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' ศ.นรนิต เศรษฐบุตร ---- '''ผู้ทรงคุณวุ...'
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 4 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
'''ผู้เรียบเรียง''' ศ.นรนิต เศรษฐบุตร
'''ผู้เรียบเรียง''' ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


----
----
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:


----
----
วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรี คนที่ 13 ของประเทศและเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นน้องชายแท้ ๆ ของนายกรัฐมนตรีผู้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนหน้านี้ด้วย ท่านคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช แต่ก็มิใช่เรื่องของการสืบตำแหน่งเพราะว่าเป็นญาติพี่น้องกันแต่อย่างใด เพราะทั้งสองท่านในขณะนั้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองกันคนละพรรค คนพี่ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนน้อง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์  ปราโมช นี้เป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคม
วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่ประเทศไทยได้[[นายกรัฐมนตรี คนที่ 13]] ของประเทศและเป็น[[นายกรัฐมนตรี]]ที่เป็นน้องชายแท้ ๆ ของนายกรัฐมนตรีผู้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนหน้านี้ด้วย ท่านคือ [[คึกฤทธิ์  ปราโมช|ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช]] แต่ก็มิใช่เรื่องของการสืบตำแหน่งเพราะว่าเป็นญาติพี่น้องกันแต่อย่างใด เพราะทั้งสองท่านในขณะนั้นเป็น[[หัวหน้าพรรคการเมือง]]กันคนละพรรค คนพี่ [[เสนีย์  ปราโมช|ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช]] เป็นหัวหน้า[[พรรคประชาธิปัตย์]] คนน้อง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์  ปราโมช นี้เป็นหัวหน้า[[พรรคกิจสังคม]]


การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมกราคม พ.ศ. 2518 อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 นั้น พรรคประชาธิปัตย์ชนะได้คะแนนมากเป็นอันดับหนึ่งจึงได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคเองก็มีเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งในสภา แม้จะได้พรรคการเมืองอื่นมาร่วมรัฐบาลเสียงที่มีรวมกันแล้วก็ยังน้อยกว่ากึ่งหนึ่งในสภา ทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่ได้รับความไว้วางใจในวาระแรกที่แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร ทำให้รัฐบาลพ้นตำแหน่ง
[[การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมกราคม พ.ศ. 2518]] อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังการประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517]] นั้น พรรคประชาธิปัตย์ชนะได้คะแนนมากเป็นอันดับหนึ่งจึงได้เป็น[[แกนนำจัดตั้งรัฐบาล]] แต่พรรคเองก็มีเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งในสภา แม้จะได้พรรคการเมืองอื่นมาร่วมรัฐบาลเสียงที่มีรวมกันแล้วก็ยังน้อยกว่ากึ่งหนึ่งในสภา ทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่ได้รับความไว้วางใจในวาระแรกที่[[แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร]] ทำให้รัฐบาลพ้นตำแหน่ง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมที่มีเสียงในสภาผู้แทนราษฎร เพียง 18 เสียงได้รับความยินยอมให้เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลผสมและรัฐบาลก็ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมที่มีเสียงใน[[สภาผู้แทนราษฎร]] เพียง 18 เสียงได้รับความยินยอมให้เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้ง[[รัฐบาลผสม]]และรัฐบาลก็ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ
ในช่วงเวลาที่เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองระหว่างประเทศที่ใกล้กับไทยมาก คือ กองทัพเขมรแดงได้เข้ายึดกรุงพนมเปญ  เมืองหลวงของเขมรได้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 นับว่าภัยคอมมิวนิสต์ได้ใกล้ไทยอย่างมาก นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช ได้สามารถดำเนินการทางการทูตอย่างฉับพลันติดต่อกับทางรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ที่ปักกิ่งได้สำเร็จ โดยนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 จนสามารถลงนามสถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณประชาชนจีนในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ถือว่าได้ว่าเป็นนโยบายสำคัญที่ทำให้ไทยยืนหยัดต้านคอมมิวนิสต์ภายในประเทศผ่านวิกฤตการณ์มาได้เป็นอย่างดี
ในช่วงเวลาที่เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองระหว่างประเทศที่ใกล้กับไทยมาก คือ กองทัพเขมรแดงได้เข้ายึดกรุงพนมเปญ  เมืองหลวงของเขมรได้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 นับว่าภัยคอมมิวนิสต์ได้ใกล้ไทยอย่างมาก นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช ได้สามารถดำเนินการทางการทูตอย่างฉับพลันติดต่อกับทางรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ที่ปักกิ่งได้สำเร็จ โดยนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 จนสามารถลงนามสถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณประชาชนจีนในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ถือว่าได้ว่าเป็นนโยบายสำคัญที่ทำให้ไทยยืนหยัดต้านคอมมิวนิสต์ภายในประเทศผ่านวิกฤตการณ์มาได้เป็นอย่างดี


ส่วนการเมืองภายในที่มีปัญหาสะสมมานานนั้น รัฐบาลผสมไม่สามารถแก้ไขได้มากนัก และความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลเองได้นำมาสู่การที่นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2519 ที่นำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519
ส่วนการเมืองภายในที่มีปัญหาสะสมมานานนั้น รัฐบาลผสมไม่สามารถแก้ไขได้มากนัก และความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลเองได้นำมาสู่การที่นายกรัฐมนตรีประกาศ[[ยุบสภา]]ในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2519 ที่นำไปสู่[[การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519]]


[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]]
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:05, 14 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรี คนที่ 13 ของประเทศและเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นน้องชายแท้ ๆ ของนายกรัฐมนตรีผู้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนหน้านี้ด้วย ท่านคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แต่ก็มิใช่เรื่องของการสืบตำแหน่งเพราะว่าเป็นญาติพี่น้องกันแต่อย่างใด เพราะทั้งสองท่านในขณะนั้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองกันคนละพรรค คนพี่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนน้อง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นี้เป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคม

การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมกราคม พ.ศ. 2518 อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 นั้น พรรคประชาธิปัตย์ชนะได้คะแนนมากเป็นอันดับหนึ่งจึงได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคเองก็มีเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งในสภา แม้จะได้พรรคการเมืองอื่นมาร่วมรัฐบาลเสียงที่มีรวมกันแล้วก็ยังน้อยกว่ากึ่งหนึ่งในสภา ทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่ได้รับความไว้วางใจในวาระแรกที่แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร ทำให้รัฐบาลพ้นตำแหน่ง

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมที่มีเสียงในสภาผู้แทนราษฎร เพียง 18 เสียงได้รับความยินยอมให้เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลผสมและรัฐบาลก็ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ

ในช่วงเวลาที่เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองระหว่างประเทศที่ใกล้กับไทยมาก คือ กองทัพเขมรแดงได้เข้ายึดกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของเขมรได้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 นับว่าภัยคอมมิวนิสต์ได้ใกล้ไทยอย่างมาก นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้สามารถดำเนินการทางการทูตอย่างฉับพลันติดต่อกับทางรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ที่ปักกิ่งได้สำเร็จ โดยนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 จนสามารถลงนามสถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณประชาชนจีนในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ถือว่าได้ว่าเป็นนโยบายสำคัญที่ทำให้ไทยยืนหยัดต้านคอมมิวนิสต์ภายในประเทศผ่านวิกฤตการณ์มาได้เป็นอย่างดี

ส่วนการเมืองภายในที่มีปัญหาสะสมมานานนั้น รัฐบาลผสมไม่สามารถแก้ไขได้มากนัก และความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลเองได้นำมาสู่การที่นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2519 ที่นำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519