ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไท (พ.ศ. 2539 - 2541)"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐ...
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 2 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน)
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:
'''พรรคไท (2539 - 2540)'''
'''พรรคไท (2539 - 2540)'''


ชื่อภาษาอังกฤษ Thai Party ชื่อย่อ T.P. วันที่จดทะเบียนตั้งพรรค 18 ตุลาคม พ.ศ. 2539 นายทะเบียนพรรคการเมืองที่ลงชื่อรับรองพรรค นายธีรศักดิ์ กรรณสูต (ประธานกรรมการการเลือกตั้ง) ในทะเบียนพรรคการเมือง 50/2539 (มาตรา 23 พ.ร.บ. พรรคการเมือง พ.ศ. 2524) ที่ตั้งพรรค สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 267/1 ถ. หลานหลวง แขวงวัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100
ชื่อภาษาอังกฤษ Thai Party ชื่อย่อ T.P. วันที่จดทะเบียนตั้งพรรค 18 ตุลาคม พ.ศ. 2539 [[นายทะเบียน]][[พรรคการเมือง]]ที่ลงชื่อรับรองพรรค นายธีรศักดิ์ กรรณสูต (ประธานกรรมการการเลือกตั้ง) ในทะเบียนพรรคการเมือง 50/2539 (มาตรา 23 พ.ร.บ. พรรคการเมือง พ.ศ. 2524) ที่ตั้งพรรค สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 267/1 ถ. หลานหลวง แขวงวัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100


ชื่อ พรรคไท เคยมีใช้มาแล้ว 1 ครั้งในช่วง พ.ศ. 2522 – 2523 แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับครั้งนี้แต่อย่างใด
ชื่อ พรรคไท เคยมีใช้มาแล้ว 1 ครั้งในช่วง พ.ศ. 2522 – 2523 แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับครั้งนี้แต่อย่างใด
บรรทัดที่ 12: บรรทัดที่ 12:
ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดในราชกิจจานุเบกษาว่าพรรคไทจดทะเบียนตั้งพรรคขึ้นมาครั้งแรกนั้นมีแนวนโยบายอย่างไร ที่ปรากฏเด่นชัดคือใน ปี พ.ศ. 2541 พรรคไทได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายพรรคโดยอ้างว่าเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมในเวลานั้น  
ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดในราชกิจจานุเบกษาว่าพรรคไทจดทะเบียนตั้งพรรคขึ้นมาครั้งแรกนั้นมีแนวนโยบายอย่างไร ที่ปรากฏเด่นชัดคือใน ปี พ.ศ. 2541 พรรคไทได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายพรรคโดยอ้างว่าเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมในเวลานั้น  


โดยแนวนโยบายที่ร่างขึ้นใหม่นั้น พรรคไทเน้นน้ำว่าพรรคต้องการปฏิรูปการเมือง โดยเน้นไปที่การกระจายอำนาจ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยในนโยบายของ พ.ศ. 2541 นี้พรรคไทเน้นไปที่นโยบายด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจ ใน พ.ศ. 2540 โดยพรรคไทเชื่อว่าหากมีการระดมทุกองค์กร และทุกภาคส่วนในชาติ โดยมีพรรคไทเป็นแกนกลางแล้ว จะสามารถช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ได้  
โดยแนวนโยบายที่ร่างขึ้นใหม่นั้น พรรคไทเน้นน้ำว่าพรรคต้องการปฏิรูปการเมือง โดยเน้นไปที่[[การกระจายอำนาจ]] และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ[[ภาคประชาชน]] โดยในนโยบายของ พ.ศ. 2541 นี้พรรคไทเน้นไปที่นโยบายด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจ ใน พ.ศ. 2540 โดยพรรคไทเชื่อว่าหากมีการระดมทุกองค์กร และทุกภาคส่วนในชาติ โดยมีพรรคไทเป็นแกนกลางแล้ว จะสามารถช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ได้  


โดยพรรคไทได้กำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินแยกเป็น 2 ส่วน คือนโยบายด้านการเมือง การปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน ความมั่นคง และการต่างประเทศ อยู่กลุ่มที่ 1 และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอยู่กลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นนโยบายกลุ่มเร่งด่วน
โดยพรรคไทได้กำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินแยกเป็น 2 ส่วน คือนโยบายด้านการเมือง การปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน ความมั่นคง และการต่างประเทศ อยู่กลุ่มที่ 1 และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอยู่กลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นนโยบายกลุ่มเร่งด่วน
บรรทัดที่ 18: บรรทัดที่ 18:
ในนโยบายกลุ่มแรกของพรรคไทจึงนับว่าไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่น ทว่าในนโยบายกลุ่มที่ 2 นั้นพรรคไทเสนอการดำเนินการแก้ไขทางเศรษฐกิจเป็น 2 ช่วง คือ ระยะเร่งด่วน  คือการเร่งรัดสร้างความเชื่อมั่น และเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจของไทย เช่นการอุดหนุน (อัดฉีด) เงินเข้าสู่ภาคเอกชน ส่งเสริมการจ้างงาน ควบคุมราคาสินค้าให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวม เป็นต้น ระยะปานกลาง (ภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปี) คือการเพิ่มขีดจำกัด และความสามารถทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดจำกัดทางการเกษตรกรรม และสนับสนุนการสหกรณ์ โดยเน้นการพัฒนาเชื่อมโยงการเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรมเป็นต้น
ในนโยบายกลุ่มแรกของพรรคไทจึงนับว่าไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่น ทว่าในนโยบายกลุ่มที่ 2 นั้นพรรคไทเสนอการดำเนินการแก้ไขทางเศรษฐกิจเป็น 2 ช่วง คือ ระยะเร่งด่วน  คือการเร่งรัดสร้างความเชื่อมั่น และเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจของไทย เช่นการอุดหนุน (อัดฉีด) เงินเข้าสู่ภาคเอกชน ส่งเสริมการจ้างงาน ควบคุมราคาสินค้าให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวม เป็นต้น ระยะปานกลาง (ภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปี) คือการเพิ่มขีดจำกัด และความสามารถทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดจำกัดทางการเกษตรกรรม และสนับสนุนการสหกรณ์ โดยเน้นการพัฒนาเชื่อมโยงการเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรมเป็นต้น


พรรคไทมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อมา โดยมีการเปลี่ยนแปลงในระดับบริหารหลายครั้ง โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2543 มีการเปลี่ยนแปลงราว 2 เดือนครั้ง เลยทีเดียว ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการแย่งชิงอำนาจภายในพรรคระหว่าง นายธนบดินทร์ แสงสถาพร อดีตหัวหน้าพรรค กับนายสุวัฒน์ ยมจินดา หัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นมีการฟ้องร้องกันเลยทีเดียว ต่อมามีหลักฐานแต่ไม่ชัดเจนนักปรากฏว่าพรรคไทถูกประกาศยุบพรรคตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 65 วรรคแรก (5) ไม่แจ้งกิจกรรมทางการเมืองของพรรคต่อนายทะเบียนเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งพรรคไทถูกยุบไปพร้อมกับพรรคเกษตรกร  
พรรคไทมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อมา โดยมีการเปลี่ยนแปลงในระดับบริหารหลายครั้ง โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2543 มีการเปลี่ยนแปลงราว 2 เดือนครั้ง เลยทีเดียว ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการแย่งชิงอำนาจภายในพรรคระหว่าง นายธนบดินทร์ แสงสถาพร อดีตหัวหน้าพรรค กับนายสุวัฒน์ ยมจินดา [[หัวหน้าพรรค]]คนใหม่ โดยเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นมีการฟ้องร้องกันเลยทีเดียว ต่อมามีหลักฐานแต่ไม่ชัดเจนนักปรากฏว่าพรรคไทถูกประกาศ[[ยุบพรรค]]ตาม[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541]] มาตรา 65 วรรคแรก (5) ไม่แจ้ง[[กิจกรรมทางการเมือง]]ของพรรคต่อนายทะเบียนเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งพรรคไทถูกยุบไปพร้อมกับพรรคเกษตรกร  




บรรทัดที่ 27: บรรทัดที่ 27:
'''สยามจดหมายเหตุ พ.ศ. 2542 (ปีที่ 24 ฉบับที่ 42)''', น. 1154, 1231
'''สยามจดหมายเหตุ พ.ศ. 2542 (ปีที่ 24 ฉบับที่ 42)''', น. 1154, 1231


[[หมวดหมู่:รายชื่อพรรคการเมืองไทย]]
[[หมวดหมู่:รายชื่อพรรคการเมืองไทย|ทไท (2539 - 2540)]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 12:07, 16 ตุลาคม 2557

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต



พรรคไท (2539 - 2540)

ชื่อภาษาอังกฤษ Thai Party ชื่อย่อ T.P. วันที่จดทะเบียนตั้งพรรค 18 ตุลาคม พ.ศ. 2539 นายทะเบียนพรรคการเมืองที่ลงชื่อรับรองพรรค นายธีรศักดิ์ กรรณสูต (ประธานกรรมการการเลือกตั้ง) ในทะเบียนพรรคการเมือง 50/2539 (มาตรา 23 พ.ร.บ. พรรคการเมือง พ.ศ. 2524) ที่ตั้งพรรค สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 267/1 ถ. หลานหลวง แขวงวัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100

ชื่อ พรรคไท เคยมีใช้มาแล้ว 1 ครั้งในช่วง พ.ศ. 2522 – 2523 แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับครั้งนี้แต่อย่างใด

ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดในราชกิจจานุเบกษาว่าพรรคไทจดทะเบียนตั้งพรรคขึ้นมาครั้งแรกนั้นมีแนวนโยบายอย่างไร ที่ปรากฏเด่นชัดคือใน ปี พ.ศ. 2541 พรรคไทได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายพรรคโดยอ้างว่าเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมในเวลานั้น

โดยแนวนโยบายที่ร่างขึ้นใหม่นั้น พรรคไทเน้นน้ำว่าพรรคต้องการปฏิรูปการเมือง โดยเน้นไปที่การกระจายอำนาจ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยในนโยบายของ พ.ศ. 2541 นี้พรรคไทเน้นไปที่นโยบายด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจ ใน พ.ศ. 2540 โดยพรรคไทเชื่อว่าหากมีการระดมทุกองค์กร และทุกภาคส่วนในชาติ โดยมีพรรคไทเป็นแกนกลางแล้ว จะสามารถช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ได้

โดยพรรคไทได้กำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินแยกเป็น 2 ส่วน คือนโยบายด้านการเมือง การปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน ความมั่นคง และการต่างประเทศ อยู่กลุ่มที่ 1 และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอยู่กลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นนโยบายกลุ่มเร่งด่วน

ในนโยบายกลุ่มแรกของพรรคไทจึงนับว่าไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่น ทว่าในนโยบายกลุ่มที่ 2 นั้นพรรคไทเสนอการดำเนินการแก้ไขทางเศรษฐกิจเป็น 2 ช่วง คือ ระยะเร่งด่วน คือการเร่งรัดสร้างความเชื่อมั่น และเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจของไทย เช่นการอุดหนุน (อัดฉีด) เงินเข้าสู่ภาคเอกชน ส่งเสริมการจ้างงาน ควบคุมราคาสินค้าให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวม เป็นต้น ระยะปานกลาง (ภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปี) คือการเพิ่มขีดจำกัด และความสามารถทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดจำกัดทางการเกษตรกรรม และสนับสนุนการสหกรณ์ โดยเน้นการพัฒนาเชื่อมโยงการเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรมเป็นต้น

พรรคไทมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อมา โดยมีการเปลี่ยนแปลงในระดับบริหารหลายครั้ง โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2543 มีการเปลี่ยนแปลงราว 2 เดือนครั้ง เลยทีเดียว ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการแย่งชิงอำนาจภายในพรรคระหว่าง นายธนบดินทร์ แสงสถาพร อดีตหัวหน้าพรรค กับนายสุวัฒน์ ยมจินดา หัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นมีการฟ้องร้องกันเลยทีเดียว ต่อมามีหลักฐานแต่ไม่ชัดเจนนักปรากฏว่าพรรคไทถูกประกาศยุบพรรคตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 65 วรรคแรก (5) ไม่แจ้งกิจกรรมทางการเมืองของพรรคต่อนายทะเบียนเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งพรรคไทถูกยุบไปพร้อมกับพรรคเกษตรกร


ที่มา

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนพิเศษ 127ง (21 ธันวาคม 2541), น. 1- 63

สยามจดหมายเหตุ พ.ศ. 2542 (ปีที่ 24 ฉบับที่ 42), น. 1154, 1231