ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คำแปรญัตติ"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Panu (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' บุศรา เข็มทอง '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทควา...
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 5 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน)
บรรทัดที่ 5: บรรทัดที่ 5:
----
----


กฎหมายที่เสนอต่อสภาเพื่อพิจารณานั้นไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ จะต้องเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติ โดยการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นจะต้องเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน   ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๑๑๓  กำหนดให้   “การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติต้องกระทำเป็นสามวาระ ตามลำดับ” คือ วาระที่ ๑  เป็นการพิจารณาหลักการทั่วไปของร่างพระราชบัญญัติว่าสมควรจะลงมติรับหลักการหรือไม่รับหลักการแห่งร่างพระราบัญญัตินั้น  ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๑๑๔  กำหนดให้ “การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในวาระที่หนึ่ง ให้สภาพิจารณาและลงมติว่าจะรับหลักการหรือไม่รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น..”   และข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑  ข้อ ๑๑๖  ในกรณีที่สภามีมติในวาระที่หนึ่งรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ ให้สภาพิจารณาตามลำดับต่อไปเป็นวาระที่สอง   ในวาระนี้จะเป็นการพิจารณารายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติ โดยคณะกรรมาธิการที่สภาแต่งตั้งเป็นผู้พิจารณา   โดยการพิจารณาของคณะกรรมาธิการดังกล่าว หากสมาชิกผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ ก็สามารถกระทำได้   วาระสุดท้าย วาระที่สาม เป็นการพิจารณาเพื่อลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งในขั้นนี้จะไม่มีการอภิปราย   หากสภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่ให้ความเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัตินั้นก็เป็นอันตกไป แต่ถ้ามีมติเห็นชอบ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป
กฎหมายที่เสนอต่อสภาเพื่อพิจารณานั้นไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ จะต้องเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติ โดยการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นจะต้องเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 113 กำหนดให้ “การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติต้องกระทำเป็นสามวาระ ตามลำดับ” คือ วาระที่ 1 เป็นการพิจารณาหลักการทั่วไปของร่างพระราชบัญญัติว่าสมควรจะลงมติรับหลักการหรือไม่รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 114 กำหนดให้ “การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในวาระที่หนึ่ง ให้สภาพิจารณาและลงมติว่าจะรับหลักการหรือไม่รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น..” และข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 116 ในกรณีที่สภามีมติในวาระที่หนึ่งรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ ให้สภาพิจารณาตามลำดับต่อไปเป็นวาระที่สอง ในวาระนี้จะเป็นการพิจารณารายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติ โดยคณะกรรมาธิการที่สภาแต่งตั้งเป็นผู้พิจารณา โดยการพิจารณาของคณะกรรมาธิการดังกล่าว หากสมาชิกผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ ก็สามารถกระทำได้ วาระสุดท้าย วาระที่สาม เป็นการพิจารณาเพื่อลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งในขั้นนี้จะไม่มีการอภิปราย หากสภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่ให้ความเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัตินั้นก็เป็นอันตกไป แต่ถ้ามีมติเห็นชอบ ให้[[ประธานสภาผู้แทนราษฎร]]เสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อ[[วุฒิสภา]]เพื่อพิจารณาต่อไป


อย่างไรก็ดีการพิจารณาในขั้นกรรมาธิการ ถือเป็นการพิจารณาในขั้นตอนแรกของวาระที่สอง ในขั้นตอนดังกล่าวนี้อาจมีการเสนอขอเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมข้อความที่ปรากฎในร่างเดิมที่ผ่านการรับหลักการในวาระที่หนึ่งมาแล้ว เราเรียกกระบวนการเช่นนี้ว่า “การแปรญัตติ”  ซึ่งสมาชิกที่มิได้เป็นกรรมาธิการแต่มีความต้องการที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำหรือข้อความในร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการรับหลักการในสภาแล้วและอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการที่ได้รับการแต่งตั้งจากสภา สมาชิกดังกล่าวต้องยื่นคำขอแปรญัตติโดยมีสมาชิกด้วยกันลงชื่อรับรองต่อประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ตามกำหนดเวลาที่สภาเป็นผู้กำหนด คือภายในเจ็ดวันตามกำหนดของบังคับการประชุมสภา หรือ ภายใน ๑๐ วัน หรือ ๑๕  วัน เป็นต้น   ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๑๒๓ กำหนดไว้ว่า
อย่างไรก็ดีการพิจารณาในขั้นกรรมาธิการ ถือเป็นการพิจารณาในขั้นตอนแรกของวาระที่สอง ในขั้นตอนดังกล่าวนี้อาจมีการเสนอขอเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมข้อความที่ปรากฎในร่างเดิมที่ผ่านการรับหลักการในวาระที่หนึ่งมาแล้ว เราเรียกกระบวนการเช่นนี้ว่า “การ[[แปรญัตติ]]” ซึ่งสมาชิกที่มิได้เป็นกรรมาธิการแต่มีความต้องการที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำหรือข้อความในร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการรับหลักการในสภาแล้วและอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการที่ได้รับการแต่งตั้งจากสภา สมาชิกดังกล่าวต้องยื่นคำขอแปรญัตติโดยมีสมาชิกด้วยกันลงชื่อรับรองต่อประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ตามกำหนดเวลาที่สภาเป็นผู้กำหนด คือภายในเจ็ดวันตามกำหนดของบังคับการประชุมสภา หรือ ภายใน 10 วัน หรือ 15 วัน เป็นต้น ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 123 กำหนดไว้ว่า


“การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติขั้นคณะกรรมาธิการที่สภาตั้ง สมาชิกผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ ก็ให้เสนอคำแปรญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันถัดจากวันที่สภารับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ เว้นแต่สภาจะได้กำหนดเวลาแปรญัตติสำหรับร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้เป็นอย่างอื่น”
“การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติขั้นคณะกรรมาธิการที่สภาตั้ง สมาชิกผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ ก็ให้เสนอคำแปรญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันถัดจากวันที่สภารับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ เว้นแต่สภาจะได้กำหนดเวลา[[แปรญัตติ]]สำหรับร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้เป็นอย่างอื่น”


==ความหมาย==
==ความหมาย==


คำแปรญัตติ หมายถึง คำขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงข้อความ รายละเอียด หรือสาระสำคัญในมาตราต่างๆของร่างพระราชบัญญัติที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในวาระที่สอง๑  และการแปรญัตติต้องแปรเป็นรายมาตรา และการแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่ ตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการของร่างพระราชบัญญัตินั้น ตามตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๑๒๓ วรรคสอง กำหนดไว้ว่า  
คำแปรญัตติ หมายถึง คำขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงข้อความ รายละเอียด หรือสาระสำคัญในมาตราต่างๆของร่างพระราชบัญญัติที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในวาระที่สอง<ref>คณิน บุญสุวรรณ. '''ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์.''' กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548. หน้า 205-206</ref> และการแปรญัตติต้องแปรเป็นรายมาตรา และการแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่ ตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการของร่างพระราชบัญญัตินั้น ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 123 วรรคสอง กำหนดไว้ว่า  


“การแปรญัตติต้องแปรเป็นรายมาตรา การแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น”
“การแปรญัตติต้องแปรเป็นรายมาตรา การแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น”


==ผู้มีสิทธิเสนอคำแปรญัตติ==
==ผู้มีสิทธิเสนอคำแปรญัตติ==


คำแปรญัตตินั้นหมายถึงเฉพาะแต่คำขอแก้ไขของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มิได้เป็นกรรมาธิการที่สภาตั้งขึ้นเท่านั้น เนื่องจากในการประชุมคณะกรรมาธิการ สมาชิก รัฐมนตรีและผู้ซึ่งประธานของที่ประชุมอนุญาต  มีสิทธิเข้าฟังการประชุมได้ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๙๐  กำหนดให้ “ในการประชุมคณะกรรมาธิการ สมาชิก รัฐมนตรีและผู้ซึ่งประธานของที่ประชุมอนุญาต มีสิทธิเข้าฟังการประชุมได้”   ดังนั้นจึงทำให้สมาชิกที่มิได้เป็นกรรมาธิการจึงขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัตินั้นๆได้   ส่วนคำขอแก้ไขของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ร่วมเป็นกรรมาธิการจะไม่เรียกว่าเป็นคำแปรญัตติ เพราะในฐานะที่เป็นกรรมาธิการในคณะที่สภาตั้งขึ้นนั้นย่อมมีสิทธิในการขอแก้ไขเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว
คำแปรญัตตินั้นหมายถึงเฉพาะแต่คำขอแก้ไขของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มิได้เป็นกรรมาธิการที่สภาตั้งขึ้นเท่านั้น เนื่องจากในการประชุมคณะกรรมาธิการ สมาชิก [[รัฐมนตรี]]และผู้ซึ่งประธานของที่ประชุมอนุญาต มีสิทธิเข้าฟังการประชุมได้ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 90 กำหนดให้ “ในการประชุมคณะกรรมาธิการ สมาชิก รัฐมนตรีและผู้ซึ่งประธานของที่ประชุมอนุญาต มีสิทธิเข้าฟังการประชุมได้” ดังนั้นจึงทำให้สมาชิกที่มิได้เป็นกรรมาธิการจึงขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัตินั้นๆได้ ส่วนคำขอแก้ไขของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ร่วมเป็นกรรมาธิการจะไม่เรียกว่าเป็นคำแปรญัตติ เพราะในฐานะที่เป็นกรรมาธิการในคณะที่สภาตั้งขึ้นนั้นย่อมมีสิทธิในการขอแก้ไขเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว


ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑  ข้อ ๙๖ กำหนดให้ “เมื่อคณะเมื่อคณะกรรมาธิการได้กระทำกิจการ พิจารณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใดๆตามอำนาจหน้าที่หรือตามที่สภามอบหมายเสร็จแล้วให้รายงานต่อสภา
ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 96 กำหนดให้ “เมื่อคณะเมื่อคณะกรรมาธิการได้กระทำกิจการ พิจารณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใดๆ ตามอำนาจหน้าที่หรือตามที่สภามอบหมายเสร็จแล้วให้รายงานต่อสภา


ในที่ประชุมสภา คณะกรรมาธิการมีสิทธิแถลง ชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้ คณะกรรมาธิการอาจมอบหมายให้บุคคลใดแถลงหรือชี้แจงแทนก็ ได้เมื่อได้รับอนุญาตจากประธาน”
ในที่ประชุมสภา คณะกรรมาธิการมีสิทธิแถลง ชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้ คณะกรรมาธิการอาจมอบหมายให้บุคคลใดแถลงหรือชี้แจงแทนก็ ได้เมื่อได้รับอนุญาตจากประธาน”


คำแปรญัตติที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการนั้น หากคณะกรรมาธิการเห็นด้วยก็ให้แก้ไขไปตามนั้น แต่ถ้าหากคณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยและสมาชิกผู้แปรญัตติไม่ติดใจก็ถือว่าเป็นอันจบไป แต่ถ้าคณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วย และสมาชิกผู้แปรญัตติยังติดใจและประสงค์ที่จะนำไปอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สอง ก็สามารถสงวนคำขอแก้ไขเพิ่มเติมของตนเองไว้ได้ การสงวนคำขอแก้ไขเพิ่มเติมของสมาชิกผู้แปรญัตติดังกล่าว เรียกว่า “สงวนคำแปรญัตติ”  ซึ่งแตกต่างจากการสงวนคำขอแก้ไขเพิ่มเติมของกรรมาธิการเอง ซึ่งในกรณีนี้เราเรียกว่า “สงวนความเห็น”๒
คำแปรญัตติที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการนั้น หากคณะกรรมาธิการเห็นด้วยก็ให้แก้ไขไปตามนั้น แต่ถ้าหากคณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยและสมาชิกผู้แปรญัตติไม่ติดใจก็ถือว่าเป็นอันจบไป แต่ถ้าคณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วย และสมาชิกผู้แปรญัตติยังติดใจและประสงค์ที่จะนำไปอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สอง ก็สามารถสงวนคำขอแก้ไขเพิ่มเติมของตนเองไว้ได้ การสงวนคำขอแก้ไขเพิ่มเติมของสมาชิกผู้แปรญัตติดังกล่าว เรียกว่า “[[สงวนคำแปรญัตติ]]” ซึ่งแตกต่างจากการสงวนคำขอแก้ไขเพิ่มเติมของกรรมาธิการเอง ซึ่งในกรณีนี้เราเรียกว่า “สงวนความเห็น”<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้า 586</ref>


==การถอนคำแปรญัตติ==
==การถอนคำแปรญัตติ==


การถอนคำแปรญัตติ หมายถึง การยกเลิกหรือทำให้คำแปรญัตติที่ยื่นไว้ต่อคณะกรรมาธิการของสภาสิ้นผลไป โดยผู้ยื่นคำแปรญัตติเองเป็นผู้แสดงความจำนงขอถอนคำแปรญัตตินั้นออกไปจากการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ   การถอนคำแปรญัตตินี้จะกระทำเมื่อใดก็ได้ ซึ่งต่างจากการขอแก้ไขเพิ่มเติมคำแปรญัตติที่จะกระทำได้เฉพาะภายในกำหนดเวลาแปรญัตติ๓ตามที่สภากำหนดไว้
การถอนคำแปรญัตติ หมายถึง การยกเลิกหรือทำให้คำแปรญัตติที่ยื่นไว้ต่อคณะกรรมาธิการของสภาสิ้นผลไป โดยผู้ยื่นคำแปรญัตติเองเป็นผู้แสดงความจำนงขอถอนคำแปรญัตตินั้นออกไปจากการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ การถอนคำแปรญัตตินี้จะกระทำเมื่อใดก็ได้ ซึ่งต่างจากการขอแก้ไขเพิ่มเติมคำแปรญัตติที่จะกระทำได้เฉพาะภายในกำหนดเวลาแปรญัตติ<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้า 406-407</ref> ตามที่สภากำหนดไว้


ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑  ได้กำหนดไว้ในข้อ ๕๔  ว่า
ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ได้กำหนดไว้ในข้อ 54 ว่า


“การถอนคำแปรญัตติจะกระทำเมื่อใดก็ได้ แต่  การขอแก้ไขเพิ่มเติมคำแปรญัตติจะกระทำได้เฉพาะภายในกำหนดเวลาแปรญัตติ”
“การถอนคำแปรญัตติจะกระทำเมื่อใดก็ได้ แต่การขอแก้ไขเพิ่มเติมคำแปรญัตติจะกระทำได้เฉพาะภายในกำหนดเวลาแปรญัตติ”


เช่นเดียวกับข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๑  ซึ่งได้กำหนดไว้ในข้อ ๔๘    ว่า
เช่นเดียวกับข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ซึ่งได้กำหนดไว้ในข้อ 48 ว่า


“การถอนคำแปรญัตติจะกระทำเมื่อใดก็ได้ แต่การขอแก้ไขเพิ่มเติมคำแปรญัตติจะกระทำได้เฉพาะภายในกำหนดเวลาแปรญัตติตามข้อ ๑๔๒”
“การถอนคำแปรญัตติจะกระทำเมื่อใดก็ได้ แต่การขอแก้ไขเพิ่มเติมคำแปรญัตติจะกระทำได้เฉพาะภายในกำหนดเวลาแปรญัตติตามข้อ 142”


ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๑  ข้อ ๑๔๒  กำหนดไว้ว่า
ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 142 กำหนดไว้ว่า


“ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติขั้นคณะกรรมาธิการที่วุฒิสภาตั้ง  สมาชิกผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ   ก็ให้เสนอคำแปรญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการภายในกำหนดเจ็ดวันนับถัดจากวันที่วุฒิสภารับร่างพระราชบัญญัติไว้พิจารณา เว้นแต่วุฒิสภาจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น”
“ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติขั้นคณะกรรมาธิการที่[[วุฒิสภา]]ตั้ง สมาชิกผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ ก็ให้เสนอคำแปรญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการภายในกำหนดเจ็ดวันนับถัดจากวันที่วุฒิสภารับร่างพระราชบัญญัติไว้พิจารณา เว้นแต่วุฒิสภาจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น”


==การตกไปของคำแปรญัตติ==
==การตกไปของคำแปรญัตติ==


ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๙๑  กำหนดว่า
ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 91 กำหนดว่า


“ภายใต้บังคับข้อ ๙๐ ผู้เสนอญัตติ รัฐมนตรี และผู้ซึ่งคณะรัฐมนตรี มอบหมายมีสิทธิชี้แจงแสดงความคิดเห็นได้เฉพาะที่แปรญัตติไว้
“ภายใต้บังคับข้อ 90 ผู้เสนอญัตติ [[รัฐมนตรี]] และผู้ซึ่ง[[คณะรัฐมนตรี]] มอบหมายมีสิทธิชี้แจงแสดงความคิดเห็นได้เฉพาะที่[[แปรญัตติ]]ไว้


การชี้แจงแสดงความคิดเห็นตามวรรคหนึ่ง ผู้เสนอญัตติหรือผู้แปรญัตติอาจมอบหมายเป็นหนังสือให้สมาชิกอื่นหรือกรรมาธิการคนใดคนหนึ่งกระทำการแทนได้”
การชี้แจงแสดงความคิดเห็นตามวรรคหนึ่ง ผู้เสนอ[[ญัตติ]]หรือผู้แปรญัตติอาจมอบหมายเป็นหนังสือให้สมาชิกอื่นหรือกรรมาธิการคนใดคนหนึ่งกระทำการแทนได้”


และ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๙๓ กำหนดว่า
และ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 93 กำหนดว่า


“ถ้าผู้แปรญัตติหรือผู้รับมอบหมายไม่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการตามนัดจนเวลาล่วงไปเกินกว่าสามสิบนาทีนับแต่เวลาที่ได้เริ่มพิจารณาคำแปรญัตติได้ ให้คำแปรญัตตินั้นเป็นอันตกไป เว้นแต่คณะกรรมาธิการพิจารณาเรื่องนั้นยังไม่เสร็จหรือที่ประชุมอนุญาตให้เลื่อนการชี้แจงไปวันอื่น”
“ถ้าผู้แปรญัตติหรือผู้รับมอบหมายไม่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการตามนัดจนเวลาล่วงไปเกินกว่าสามสิบนาทีนับแต่เวลาที่ได้เริ่มพิจารณาคำแปรญัตติได้ ให้คำแปรญัตตินั้นเป็นอันตกไป เว้นแต่คณะกรรมาธิการพิจารณาเรื่องนั้นยังไม่เสร็จหรือที่ประชุมอนุญาตให้เลื่อนการชี้แจงไปวันอื่น”


เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้มิได้เป็นกรรมาธิการ มีสิทธิเสนอคำแปรญัตติได้ตามข้อบังคับการประชุมตามที่ได้กล่าวมา   แต่หากสมาชิกมิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายนั่นคือ สมาชิกผู้นั้นมิได้ใช้สิทธิชี้แจงแสดงความคิดเห็นหรือมอบหมายเป็นหนังสือให้สมาชิกอื่นหรือกรรมาธิการคนใดคนหนึ่งกระทำการแทน   ก็จะมีผลทำให้คำแปรญัตตินั้นมีผลตกไป นั่นคือ คำแปรญัตตินั้นจะไม่ได้รับการพิจารณาในการประชุมสภาตามความประสงค์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เสนอคำแปรญัตติในร่างพระราชบัญญัตินั้น แต่กฎหมายก็มีข้อยกเว้นหากคณะกรรมาธิการพิจารณาเรื่องนั้นยังไม่เสร็จหรือที่ประชุมอนุญาตให้เลื่อนการชี้แจงไปวันอื่น คำแปรญัตตินั้นก็ยังมีผลคงอยู่จนกว่าสมาชิกจะได้ใช้สิทธิแสดงความคิดเห็น
เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้มิได้เป็นกรรมาธิการ มีสิทธิเสนอคำแปรญัตติได้ตามข้อบังคับการประชุมตามที่ได้กล่าวมา แต่หากสมาชิกมิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายนั่นคือ สมาชิกผู้นั้นมิได้ใช้สิทธิชี้แจงแสดงความคิดเห็นหรือมอบหมายเป็นหนังสือให้สมาชิกอื่นหรือกรรมาธิการคนใดคนหนึ่งกระทำการแทน ก็จะมีผลทำให้คำแปรญัตตินั้นมีผลตกไป นั่นคือ คำแปรญัตตินั้นจะไม่ได้รับการพิจารณาในการประชุมสภาตามความประสงค์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เสนอคำแปรญัตติในร่างพระราชบัญญัตินั้น แต่กฎหมายก็มีข้อยกเว้นหากคณะกรรมาธิการพิจารณาเรื่องนั้นยังไม่เสร็จหรือที่ประชุมอนุญาตให้เลื่อนการชี้แจงไปวันอื่น คำแปรญัตตินั้นก็ยังมีผลคงอยู่จนกว่าสมาชิกจะได้ใช้สิทธิแสดงความคิดเห็น
 
 
เช่นเดียวกับข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๑  ซึ่งได้กำหนดไว้ในข้อ ๙๒ ว่า
เช่นเดียวกับข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ซึ่งได้กำหนดไว้ในข้อ 92 ว่า


“ถ้าผู้แปรญัตติหรือผู้รับมอบหมายไม่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการตามนัดจนเวลาล่วงเกินไปเกินกว่าสามสิบนาทีนับแต่เวลาที่คณะกรรมาธิการได้เริ่มพิจารณาคำแปรญัตติใด คำแปรญัตตินั้นเป็นอันตกไป เว้นแต่คณะกรรมาธิการจะพิจารณาเห็นสมควรผ่อนผันให้เป็นกรณีพิเศษก่อนเสร็จการพิจารณาเรื่องนั้น”
“ถ้าผู้แปรญัตติหรือผู้รับมอบหมายไม่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการตามนัดจนเวลาล่วงเกินไปเกินกว่าสามสิบนาทีนับแต่เวลาที่คณะกรรมาธิการได้เริ่มพิจารณาคำแปรญัตติใด คำแปรญัตตินั้นเป็นอันตกไป เว้นแต่คณะกรรมาธิการจะพิจารณาเห็นสมควรผ่อนผันให้เป็นกรณีพิเศษก่อนเสร็จการพิจารณาเรื่องนั้น”


จะเห็นได้ว่าข้อบังคับการประชุมของวุฒิสภาก็ได้กำหนดสิทธิของผู้ที่ต้องการแปรญัตติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายไว้เช่นเดียวกับข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องต้องกันอย่างเหมาะสม เพราะในการประชุมของวุฒิสภา คณะกรรมาธิการมีสิทธิแถลง ชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ หรือคณะกรรมาธิการจะมอบหมายให้บุคคลใดแถลงหรือชี้แจงแทนก็ได้
จะเห็นได้ว่าข้อบังคับการประชุมของวุฒิสภาก็ได้กำหนดสิทธิของผู้ที่ต้องการแปรญัตติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายไว้เช่นเดียวกับข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องต้องกันอย่างเหมาะสม เพราะในการประชุมของวุฒิสภา คณะกรรมาธิการมีสิทธิแถลง ชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ หรือคณะกรรมาธิการจะมอบหมายให้บุคคลใดแถลงหรือชี้แจงแทนก็ได้


ตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๙๕ วรรคสอง กำหนดว่า
ตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 95 วรรคสอง กำหนดว่า


“ในที่ประชุมวุฒิสภา คณะกรรมาธิการมีสิทธิแถลง ชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้คณะกรรมาธิการจะมอบหมายให้บุคคลใดๆแถลงหรือชี้แจงแทนก็ได้”
“ในที่ประชุมวุฒิสภา คณะกรรมาธิการมีสิทธิแถลง ชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้คณะกรรมาธิการจะมอบหมายให้บุคคลใดๆ แถลงหรือชี้แจงแทนก็ได้”


==บทสรุป==
==บทสรุป==


คำแปรญัตตินั้นคือ คำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกที่มิได้เป็นกรรมาธิการในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ   โดยสมาชิกที่ต้องการเสนอคำแปรญัตติต้องกระทำภายในระยะเวลาที่สภากำหนด และคำแปรญัตตินั้นจะต้องไม่ขัดกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติ คำแปรญัตติต่างๆที่สมาชิกเสนอมานั้นสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หลายประการ  เช่น นำไปใช้อ้างอิงว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีการแก้ไขหรือไม่และมีการแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไรในแต่ละมาตรา   จึงเห็นได้ว่า คำแปรญญัตินั้น เป็นการแสดงเจตนารมณ์และเหตุผลของสมาชิกที่เสนอคำแปรญัตติที่มีความประสงค์ที่จะแก้ไข หรือเพิ่มเติมเนื้อหาสาระที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาร่างกฎหมายนั้นๆในสภา  เพราะเมื่อมีการพิจารณาลงมติรับร่างกฎหมายที่ได้พิจารณาและประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว การนำกฎหมายนั้นมาบังคับใช้กับประชาชนในสังคมจะได้ไม่ขัดต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และสามารถนำมาบังคับใช้ได้อย่างถูกต้องเป็นประโยชน์สอดคล้องต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา
คำแปรญัตตินั้นคือ คำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกที่มิได้เป็นกรรมาธิการในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ โดยสมาชิกที่ต้องการเสนอคำแปรญัตติต้องกระทำภายในระยะเวลาที่สภากำหนด และคำแปรญัตตินั้นจะต้องไม่ขัดกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติ คำแปรญัตติต่างๆ ที่สมาชิกเสนอมานั้นสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หลายประการ เช่น นำไปใช้อ้างอิงว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีการแก้ไขหรือไม่และมีการแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไรในแต่ละมาตรา จึงเห็นได้ว่า คำแปรญัตินั้น เป็นการแสดงเจตนารมณ์และเหตุผลของสมาชิกที่เสนอคำแปรญัตติที่มีความประสงค์ที่จะแก้ไข หรือเพิ่มเติมเนื้อหาสาระที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาร่างกฎหมายนั้นๆ ในสภา เพราะเมื่อมีการพิจารณาลงมติรับร่างกฎหมายที่ได้พิจารณาและประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว การนำกฎหมายนั้นมาบังคับใช้กับประชาชนในสังคมจะได้ไม่ขัดต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และสามารถนำมาบังคับใช้ได้อย่างถูกต้องเป็นประโยชน์สอดคล้องต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา


==อ้างอิง==
==อ้างอิง==
บรรทัดที่ 83: บรรทัดที่ 83:
คณิน บุญสุวรรณ. '''ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์''' กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548.  
คณิน บุญสุวรรณ. '''ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์''' กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548.  


[[category:ความรู้เกี่ยวกับรัฐสภาไทย]]
[[หมวดหมู่: กิจกรรมที่เกี่ยวกับกระบวนการทางนิติบัญญัติ]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 17:24, 6 กันยายน 2553

ผู้เรียบเรียง บุศรา เข็มทอง

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


กฎหมายที่เสนอต่อสภาเพื่อพิจารณานั้นไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ จะต้องเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติ โดยการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นจะต้องเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 113 กำหนดให้ “การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติต้องกระทำเป็นสามวาระ ตามลำดับ” คือ วาระที่ 1 เป็นการพิจารณาหลักการทั่วไปของร่างพระราชบัญญัติว่าสมควรจะลงมติรับหลักการหรือไม่รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 114 กำหนดให้ “การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในวาระที่หนึ่ง ให้สภาพิจารณาและลงมติว่าจะรับหลักการหรือไม่รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น..” และข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 116 ในกรณีที่สภามีมติในวาระที่หนึ่งรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ ให้สภาพิจารณาตามลำดับต่อไปเป็นวาระที่สอง ในวาระนี้จะเป็นการพิจารณารายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติ โดยคณะกรรมาธิการที่สภาแต่งตั้งเป็นผู้พิจารณา โดยการพิจารณาของคณะกรรมาธิการดังกล่าว หากสมาชิกผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ ก็สามารถกระทำได้ วาระสุดท้าย วาระที่สาม เป็นการพิจารณาเพื่อลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งในขั้นนี้จะไม่มีการอภิปราย หากสภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่ให้ความเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัตินั้นก็เป็นอันตกไป แต่ถ้ามีมติเห็นชอบ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป

อย่างไรก็ดีการพิจารณาในขั้นกรรมาธิการ ถือเป็นการพิจารณาในขั้นตอนแรกของวาระที่สอง ในขั้นตอนดังกล่าวนี้อาจมีการเสนอขอเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมข้อความที่ปรากฎในร่างเดิมที่ผ่านการรับหลักการในวาระที่หนึ่งมาแล้ว เราเรียกกระบวนการเช่นนี้ว่า “การแปรญัตติ” ซึ่งสมาชิกที่มิได้เป็นกรรมาธิการแต่มีความต้องการที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำหรือข้อความในร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการรับหลักการในสภาแล้วและอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการที่ได้รับการแต่งตั้งจากสภา สมาชิกดังกล่าวต้องยื่นคำขอแปรญัตติโดยมีสมาชิกด้วยกันลงชื่อรับรองต่อประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ตามกำหนดเวลาที่สภาเป็นผู้กำหนด คือภายในเจ็ดวันตามกำหนดของบังคับการประชุมสภา หรือ ภายใน 10 วัน หรือ 15 วัน เป็นต้น ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 123 กำหนดไว้ว่า

“การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติขั้นคณะกรรมาธิการที่สภาตั้ง สมาชิกผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ ก็ให้เสนอคำแปรญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันถัดจากวันที่สภารับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ เว้นแต่สภาจะได้กำหนดเวลาแปรญัตติสำหรับร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้เป็นอย่างอื่น”

ความหมาย

คำแปรญัตติ หมายถึง คำขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงข้อความ รายละเอียด หรือสาระสำคัญในมาตราต่างๆของร่างพระราชบัญญัติที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในวาระที่สอง[1] และการแปรญัตติต้องแปรเป็นรายมาตรา และการแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่ ตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการของร่างพระราชบัญญัตินั้น ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 123 วรรคสอง กำหนดไว้ว่า

“การแปรญัตติต้องแปรเป็นรายมาตรา การแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น”

ผู้มีสิทธิเสนอคำแปรญัตติ

คำแปรญัตตินั้นหมายถึงเฉพาะแต่คำขอแก้ไขของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มิได้เป็นกรรมาธิการที่สภาตั้งขึ้นเท่านั้น เนื่องจากในการประชุมคณะกรรมาธิการ สมาชิก รัฐมนตรีและผู้ซึ่งประธานของที่ประชุมอนุญาต มีสิทธิเข้าฟังการประชุมได้ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 90 กำหนดให้ “ในการประชุมคณะกรรมาธิการ สมาชิก รัฐมนตรีและผู้ซึ่งประธานของที่ประชุมอนุญาต มีสิทธิเข้าฟังการประชุมได้” ดังนั้นจึงทำให้สมาชิกที่มิได้เป็นกรรมาธิการจึงขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัตินั้นๆได้ ส่วนคำขอแก้ไขของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ร่วมเป็นกรรมาธิการจะไม่เรียกว่าเป็นคำแปรญัตติ เพราะในฐานะที่เป็นกรรมาธิการในคณะที่สภาตั้งขึ้นนั้นย่อมมีสิทธิในการขอแก้ไขเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว

ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 96 กำหนดให้ “เมื่อคณะเมื่อคณะกรรมาธิการได้กระทำกิจการ พิจารณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใดๆ ตามอำนาจหน้าที่หรือตามที่สภามอบหมายเสร็จแล้วให้รายงานต่อสภา

ในที่ประชุมสภา คณะกรรมาธิการมีสิทธิแถลง ชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้ คณะกรรมาธิการอาจมอบหมายให้บุคคลใดแถลงหรือชี้แจงแทนก็ ได้เมื่อได้รับอนุญาตจากประธาน”

คำแปรญัตติที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการนั้น หากคณะกรรมาธิการเห็นด้วยก็ให้แก้ไขไปตามนั้น แต่ถ้าหากคณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยและสมาชิกผู้แปรญัตติไม่ติดใจก็ถือว่าเป็นอันจบไป แต่ถ้าคณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วย และสมาชิกผู้แปรญัตติยังติดใจและประสงค์ที่จะนำไปอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สอง ก็สามารถสงวนคำขอแก้ไขเพิ่มเติมของตนเองไว้ได้ การสงวนคำขอแก้ไขเพิ่มเติมของสมาชิกผู้แปรญัตติดังกล่าว เรียกว่า “สงวนคำแปรญัตติ” ซึ่งแตกต่างจากการสงวนคำขอแก้ไขเพิ่มเติมของกรรมาธิการเอง ซึ่งในกรณีนี้เราเรียกว่า “สงวนความเห็น”[2]

การถอนคำแปรญัตติ

การถอนคำแปรญัตติ หมายถึง การยกเลิกหรือทำให้คำแปรญัตติที่ยื่นไว้ต่อคณะกรรมาธิการของสภาสิ้นผลไป โดยผู้ยื่นคำแปรญัตติเองเป็นผู้แสดงความจำนงขอถอนคำแปรญัตตินั้นออกไปจากการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ การถอนคำแปรญัตตินี้จะกระทำเมื่อใดก็ได้ ซึ่งต่างจากการขอแก้ไขเพิ่มเติมคำแปรญัตติที่จะกระทำได้เฉพาะภายในกำหนดเวลาแปรญัตติ[3] ตามที่สภากำหนดไว้

ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ได้กำหนดไว้ในข้อ 54 ว่า

“การถอนคำแปรญัตติจะกระทำเมื่อใดก็ได้ แต่การขอแก้ไขเพิ่มเติมคำแปรญัตติจะกระทำได้เฉพาะภายในกำหนดเวลาแปรญัตติ”

เช่นเดียวกับข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ซึ่งได้กำหนดไว้ในข้อ 48 ว่า

“การถอนคำแปรญัตติจะกระทำเมื่อใดก็ได้ แต่การขอแก้ไขเพิ่มเติมคำแปรญัตติจะกระทำได้เฉพาะภายในกำหนดเวลาแปรญัตติตามข้อ 142”

ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 142 กำหนดไว้ว่า

“ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติขั้นคณะกรรมาธิการที่วุฒิสภาตั้ง สมาชิกผู้ใดเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ ก็ให้เสนอคำแปรญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการภายในกำหนดเจ็ดวันนับถัดจากวันที่วุฒิสภารับร่างพระราชบัญญัติไว้พิจารณา เว้นแต่วุฒิสภาจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น”

การตกไปของคำแปรญัตติ

ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 91 กำหนดว่า

“ภายใต้บังคับข้อ 90 ผู้เสนอญัตติ รัฐมนตรี และผู้ซึ่งคณะรัฐมนตรี มอบหมายมีสิทธิชี้แจงแสดงความคิดเห็นได้เฉพาะที่แปรญัตติไว้

การชี้แจงแสดงความคิดเห็นตามวรรคหนึ่ง ผู้เสนอญัตติหรือผู้แปรญัตติอาจมอบหมายเป็นหนังสือให้สมาชิกอื่นหรือกรรมาธิการคนใดคนหนึ่งกระทำการแทนได้”

และ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 93 กำหนดว่า

“ถ้าผู้แปรญัตติหรือผู้รับมอบหมายไม่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการตามนัดจนเวลาล่วงไปเกินกว่าสามสิบนาทีนับแต่เวลาที่ได้เริ่มพิจารณาคำแปรญัตติได้ ให้คำแปรญัตตินั้นเป็นอันตกไป เว้นแต่คณะกรรมาธิการพิจารณาเรื่องนั้นยังไม่เสร็จหรือที่ประชุมอนุญาตให้เลื่อนการชี้แจงไปวันอื่น”

เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้มิได้เป็นกรรมาธิการ มีสิทธิเสนอคำแปรญัตติได้ตามข้อบังคับการประชุมตามที่ได้กล่าวมา แต่หากสมาชิกมิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายนั่นคือ สมาชิกผู้นั้นมิได้ใช้สิทธิชี้แจงแสดงความคิดเห็นหรือมอบหมายเป็นหนังสือให้สมาชิกอื่นหรือกรรมาธิการคนใดคนหนึ่งกระทำการแทน ก็จะมีผลทำให้คำแปรญัตตินั้นมีผลตกไป นั่นคือ คำแปรญัตตินั้นจะไม่ได้รับการพิจารณาในการประชุมสภาตามความประสงค์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เสนอคำแปรญัตติในร่างพระราชบัญญัตินั้น แต่กฎหมายก็มีข้อยกเว้นหากคณะกรรมาธิการพิจารณาเรื่องนั้นยังไม่เสร็จหรือที่ประชุมอนุญาตให้เลื่อนการชี้แจงไปวันอื่น คำแปรญัตตินั้นก็ยังมีผลคงอยู่จนกว่าสมาชิกจะได้ใช้สิทธิแสดงความคิดเห็น

เช่นเดียวกับข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ซึ่งได้กำหนดไว้ในข้อ 92 ว่า

“ถ้าผู้แปรญัตติหรือผู้รับมอบหมายไม่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการตามนัดจนเวลาล่วงเกินไปเกินกว่าสามสิบนาทีนับแต่เวลาที่คณะกรรมาธิการได้เริ่มพิจารณาคำแปรญัตติใด คำแปรญัตตินั้นเป็นอันตกไป เว้นแต่คณะกรรมาธิการจะพิจารณาเห็นสมควรผ่อนผันให้เป็นกรณีพิเศษก่อนเสร็จการพิจารณาเรื่องนั้น”

จะเห็นได้ว่าข้อบังคับการประชุมของวุฒิสภาก็ได้กำหนดสิทธิของผู้ที่ต้องการแปรญัตติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายไว้เช่นเดียวกับข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องต้องกันอย่างเหมาะสม เพราะในการประชุมของวุฒิสภา คณะกรรมาธิการมีสิทธิแถลง ชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ หรือคณะกรรมาธิการจะมอบหมายให้บุคคลใดแถลงหรือชี้แจงแทนก็ได้

ตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 95 วรรคสอง กำหนดว่า

“ในที่ประชุมวุฒิสภา คณะกรรมาธิการมีสิทธิแถลง ชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ในการนี้คณะกรรมาธิการจะมอบหมายให้บุคคลใดๆ แถลงหรือชี้แจงแทนก็ได้”

บทสรุป

คำแปรญัตตินั้นคือ คำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกที่มิได้เป็นกรรมาธิการในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ โดยสมาชิกที่ต้องการเสนอคำแปรญัตติต้องกระทำภายในระยะเวลาที่สภากำหนด และคำแปรญัตตินั้นจะต้องไม่ขัดกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติ คำแปรญัตติต่างๆ ที่สมาชิกเสนอมานั้นสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หลายประการ เช่น นำไปใช้อ้างอิงว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีการแก้ไขหรือไม่และมีการแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไรในแต่ละมาตรา จึงเห็นได้ว่า คำแปรญัตินั้น เป็นการแสดงเจตนารมณ์และเหตุผลของสมาชิกที่เสนอคำแปรญัตติที่มีความประสงค์ที่จะแก้ไข หรือเพิ่มเติมเนื้อหาสาระที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาร่างกฎหมายนั้นๆ ในสภา เพราะเมื่อมีการพิจารณาลงมติรับร่างกฎหมายที่ได้พิจารณาและประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว การนำกฎหมายนั้นมาบังคับใช้กับประชาชนในสังคมจะได้ไม่ขัดต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และสามารถนำมาบังคับใช้ได้อย่างถูกต้องเป็นประโยชน์สอดคล้องต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา

อ้างอิง

  1. คณิน บุญสุวรรณ. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548. หน้า 205-206
  2. เรื่องเดียวกัน, หน้า 586
  3. เรื่องเดียวกัน, หน้า 406-407

บรรณานุกรม

ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551

ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551

คณิน บุญสุวรรณ. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์ กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548.