ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สาระสำคัญของหนังสือ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น”"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 4: บรรทัดที่ 4:




'''สาระสำคัญของหนังสือ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น”                              '''  
'''<big>สาระสำคัญของหนังสือ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น”</big>                              '''  


'''&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''' &nbsp; &nbsp; &nbsp;หนังสือ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” ของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล วางโครงเรื่อง เล่ารายละเอียดเหตุการณ์นี้ 24 - 29 มิถุนายน 2475 ตั้งแต่เริ่มก่อการคุมตัวพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ปล่อยตัว จนอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 จากหัวหินกลับพระนคร และสาเหตุที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้องออกจากกรุงเทพฯ ไปประทับที่หัวหิน
'''&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''' &nbsp; &nbsp; &nbsp;หนังสือ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” ของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล วางโครงเรื่อง เล่ารายละเอียดเหตุการณ์นี้ 24 - 29 มิถุนายน 2475 ตั้งแต่เริ่มก่อการคุมตัวพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ปล่อยตัว จนอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 จากหัวหินกลับพระนคร และสาเหตุที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้องออกจากกรุงเทพฯ ไปประทับที่หัวหิน

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 15:45, 19 มิถุนายน 2568

ผู้เรียบเรียง : ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ


สาระสำคัญของหนังสือ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น”                              

                   หนังสือ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” ของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล วางโครงเรื่อง เล่ารายละเอียดเหตุการณ์นี้ 24 - 29 มิถุนายน 2475 ตั้งแต่เริ่มก่อการคุมตัวพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ปล่อยตัว จนอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 จากหัวหินกลับพระนคร และสาเหตุที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้องออกจากกรุงเทพฯ ไปประทับที่หัวหิน


                   โครงเรื่องข้างต้นใช้ตัวผู้เขียนหรือหม่อมเจ้าพูนพิศมัยผู้เป็นธิดาเป็นตัวดำเนินเรื่องในฐานะผู้เล่า แม้ประเด็นเรื่องหลักอยู่ที่องค์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยให้ความผันแปรในชีวิตเกิดจากการกระทำของคณะราษฎรผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดึงดูดความสนใจผู้อ่านให้ติดตามเรื่องทั้ง 2 บท การดำเนินเรื่องจึงใช้ทัศนคติ อารมณ์ ความคิด ความเชื่อของผู้เขียน เป็นคำอธิบายเรื่องรวมถึงกลวิธีการใช้และอ้างอิงแหล่งข้อมูลของเรื่องเล่า ยังจำกัดเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในเครือข่ายความสัมพันธ์ในกลุ่มพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทั้งกลุ่มขุนนางที่เคยทำราชการใต้บังคับบัญชาสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขุนนางที่ถวายการรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ไปจนถึงบรรดาทูตของประเทศตะวันตกประจำประเทศไทย

                   แก่นเรื่องที่ทรงนำมาเป็นกรอบการดำเนินเรื่อง เป็นหลักคำสอนทางพุทธศาสนาที่ทรงศึกษาและเคยมีทักษะในการเขียนหนังสือเล่มแรกของผู้เขียน คือ “ศาสนคุณ” แก่นเรื่องของ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” คือชีวิตอันเป็นอนิจจังย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ เพื่อนำมาใช้เดินเรื่องความผันแปรในชีวิตสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ปรากฏชัดเจนในงานเขียนพระประวัติลูกเล่าตอน “คติธรรมเวลามีทุกข์” เนื้อหาตอนเดียวกับสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังความว่า


                   “มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดจะหนีทุกข์สุขได้ ฉันใดก็ดี เสด็จพ่อผู้ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเห็นบาปของพระองค์ท่านเลย ก็ยังต้องตกอยู่ในอำนาจโลกธรรม คือ หนีไม่พ้น ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่น่ารู้ว่าท่านทรงรับทุกข์อย่างไร เพื่อผู้ที่จะต้องประสบทุกข์บ้าง บางเวลาจะได้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่ได้มีเจตนาจะเขียนขึ้นเพื่อเจ็บใจ หรือคุมแค้นอย่างหนึ่งใดเลย”

                   (หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย 2525, พระประวัติลูกเล่า ตอน “คติธรรมเวลามีทุกข์”, หน้า 32)


                   แก่นเรื่องชีวิตว่าเป็นทุกข์ปรากฏชัดในบทที่ 1 “24 มิถุนายน 2475” เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพต้องถูกคุมตัวอย่างที่ทรงเขียนไว้ว่า “ราวกับเป็นนักโทษ” ทั้งที่ในชีวิตทำแต่ความดีให้บ้านเมือง แก่นเรื่องบอกเล่าชีวิตที่เป็นสุขปรากฏในบทที่ 2 “ออกจากกรุงเทพฯ” เมื่อบรรยายการใช้ชีวิตทางวัฒนธรรมแบบราชสำนักในเรื่องการเลี้ยงรับรองแขกชั้นสูงและพระบรมวงศานุวงศ์จากประเทศตะวันตกกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมชั้นสูง

         นอกจากชีวิตต้องมีทั้งสุขและทุกข์แล้วผู้เขียนยังใช้หลักธรรมเรื่อง “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” มาใช้เขียน “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” ซึ่งเป็นเรื่องเล่าหลักที่สัมพันธ์กับชีวิตเจ้านายและพระมหากษัตริย์ผู้มีอำนาจบริหารแผ่นดิน เพื่อตอบโต้งานเขียนที่ทรงเห็นว่าเป็น “เรื่องแปลก ๆ” ที่ไม่จริงและอยุติธรรมต่อฝ่ายพระเจ้าแผ่นดิน ดังปรากฏในคำนำของหนังสือดังนี้

                   “ถ้าการกระทำดีกลับเป็นผลชั่ว การกระทำชั่วกลับเป็นผลดีไปทั่วทุกแห่งแล้ว โลกนี้จะเป็นที่ที่ไม่น่าอยู่เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเมืองไทยนี้ เรายังไม่มีหนังสือพอที่จะให้ความรู้ความจริงดังที่เป็นมา... เหตุการณ์นี้ต่อมา (ทรงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475) ที่ยุ่งในการต่อสู้และการสร้างตัวใหม่ แม้จะได้มีผู้ช่วยรวบรวมมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ก็ยังเป็นของยากที่จะทำให้มีผู้เอาใจใส่ในทางที่เป็นจริง ฉะนั้นเพียงเวลาใน 20 ปี (ขณะนั้นคือ พ.ศ. 2498) มานี้ เราต้องจึงต้องได้ ยังได้ยินเรื่องแปลก ๆ จนเศร้าใจ ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าต่อไปถึงเวลา 200 ปีข้างหน้า ผู้ที่ได้เหนื่อยยากมาเพื่อความสุขของคนอื่นจะเป็นอย่างไร พระเจ้าแผ่นดินของเราคงจะต้องทรงพระมหามงกุฎเที่ยววิ่งไล่ฆ่าฟันผู้คนอยู่บนจอหนังหรือละครเวทีที่ตั้งอยู่กลางโลก ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วไซร้จะมีอะไรหนุนใจคนภายหลังให้ทำดีตามได้เล่า ข้าพเจ้าทนความอยุติธรรมชนิดนี้ไม่ได้ จึงตกลงใจเขียนหนังสือนี้ไว้

                   หนังสือสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นนี้จึงเป็นบันทึกความทรงจำที่หม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัยพบเห็นและประสบมาตลอดชีวิตตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 และยังครอบคลุมเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในประเทศไทย รวมถึงการบันทึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนการปกครอง พ.ศ. 2475

                   คุณค่าของหนังสือที่ผู้เขียนประกาศจุดยืนชัดเจนในการเลือกฝ่ายพระบาทสมเด็จปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ โดยเฉพาะสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้เป็น “เสด็จพ่อ” วิธีการเลือกใช้ข้อมูลจำกัดเฉพาะบันทึกประจำวัน รวมถึงคำบอกเล่าของฝ่ายที่เห็นใจพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงรูปแบบการเขียนที่แสดงความรู้สึก อารมณ์ และทัศนคติจากด้านของผู้เขียนเท่านั้น เมื่อพิจารณาเนื้อหาแล้ว งานเขียนนี้จึงนับเป็นงาน “สารคดีการเมืองและชีวประวัติ” ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ผู้เขียนถือเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องเขียน ดังคำชี้แจงของพระองค์ท่านเองว่า

                   “การเขียนหนังสือก็คล้ายกับการเขียนรูป ด้วยต้องมีหุ่นหรือแบบเป็นเรื่องตรึงไว้ดูเป็นหลัก คนเขียนย่อมนั่งในที่ต่างมุม และเห็นหลักนั้นได้ตามเหลี่ยมหรือแสงสว่างต่างกันตามที่ตนได้รับได้เห็น มุมของข้าพเจ้านั้น คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งได้เคยเป็นผู้ปฏิรูประบบราชการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) แต่ใน พ.ศ. 2420 มาแล้ว ได้ทรงเป็นผู้จัดตั้งการทหาร การศึกษา การพยาบาล การปกครองมาแต่ต้น และเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยมาถึง 23 ปี ตอนหลังได้ทรงเป็นสภานายกของราชบัณฑิตยสภา ซึ่งรวมทั้งประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปะด้วย และได้ทรงเป็นองคมนตรีในที่สุด เมื่อตำแหน่งและเวลาร่วมกันเข้า เหตุการณ์ที่ต้องเกี่ยวข้องก็ย่อมมีทุกทาง ข้าพเจ้าผู้อยู่ด้วยจึงจำต้องได้รับรู้ ได้เห็น ได้ฟังตามไปด้วย จนรู้สึกตัวว่าได้รู้เกินฐานะที่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งในประเทศตะวันออก”[1]

         สถานะของหนังสือ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” จึงเป็นสารคดีการเมืองที่มีคุณค่าอย่างมากต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ เนื่องจากเนื้อหาสาระที่ปรากฏเป็นการนำเสนอข้อมูลในฝ่ายพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งในด้านการเมือง ชีวิตประจำวัน และชีวิตทางวัฒนธรรม จากมุมมองของ “สตรี” จึงแตกต่างจากงานเขียนสารคดีการเมืองช่วงเวลาเดียวกันที่ผู้เขียนเป็นผู้ชายทั้งหมด


เชิงอรรถ


[1] หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล 2533. สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น : คำนำ กรุงเทพฯ : มูลนิธิหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล และชมรมพระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ณ เมรุหน้าพลับพลาพระอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส. 23 สิงหาคม 2533.


         

index.php?title=หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500