ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน (evidence-based policy: EBM)"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
(ไม่แสดง 12 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัดที่ 6: | บรรทัดที่ 6: | ||
'''<big>นโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน (evidence-based policy: EBM)</big>''' | '''<big>นโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน (evidence-based policy: EBM)</big>''' | ||
''' นโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน (evidence-based policy: EBM)''' หรือการสร้างนโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน (evidence-based policy making: EBPM)<sup>[1]</sup> หมายถึง การใช้หลักฐานและข้อมูลข่าวสารที่ดีที่สุดและสามารถใช้ในกระบวนการทางนโยบายได้มากกว่าการใช้ความเห็นของบุคคล ทฤษฎีและแนวปฏิบัติที่คุ้นเคยกันแบบเดิม หลักฐานและข้อมูลอาจเกิดจากการนำผลของโครงการมาใช้เพื่อกำหนดทิศทางการตัดสินใจในทุกขั้นตอนของกระบวนการนโยบายและใช้ภายในทุกหน่วยงานของภาครัฐ EBM สามารถช่วยบ่งชี้การทำงาน ช่วยเน้นถึงช่องว่างจากการขาดแคลนหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลของโครงการ และช่วยผู้กำหนดนโยบายสามารถใช้หลักฐานในการตัดสินใจด้านงบประมาณและนโยบาย นอกจากนี้ EBM ต้องพึ่งพาระบบติดตามการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติและการวัดผลลัพท์สำคัญ (key outcomes) และต้องใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของโครงการอย่างต่อเนื่อง<sup>[2]</sup> โดย ‘หลักฐาน’ ที่ใช้โดยทั่วไปหมายถึงองค์ความรู้ที่ได้มาจากงานวิจัยเชิงประยุกต์ที่ดำเนินการโดยสถาบันการวิจัยทั้งภายในรัฐและนอกภาครัฐ รวมถึงหลักฐานทั่วไป (general evidence) เกี่ยวกับทิศทางและการอธิบายปรากฎการณ์ทางสังคมและองค์การในภาพกว้าง และหลักฐานชี้เฉพาะ (specific evidence) จากตัวชี้วัดการประเมินผลการปฏิบัติราชการและการประเมินโครงการ อย่างไรก็ตาม รูปแบบองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายมีหลากหลายมากกว่าองค์ความรู้ในแบบสังคมศาสตร์ประยุกต์ (applied social science) แต่องค์ความรู้เหล่านี้ก็สำคัญต่อการทำความเข้าใจประเด็นและมุมมองต่อความสำเร็จจากการแทรกแซงทางนโยบาย<sup>[3]</sup> | |||
ข้อถกเถียงสำคัญหนึ่งของผู้สนับสนุนการพัฒนา EBM คือปัญหาการขาดแคลนองค์ความรู้ในกระบวนการนโยบาย องค์ความรู้และกิจกรรมทางนโยบายที่อิงกับหลักฐานจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ <u>หนึ่ง</u> องค์ความรู้และกิจกรรมที่สัมพันธ์กับขนาดของปัญหา (the size of the problem) ที่มุ่งนำหลักฐานมาใช้เพื่อกระตุ้นความสนใจต่อปัญหา และเตือนสติให้เกิดการตอบสนองอย่างเหมาะสม และ<u>สอง</u> องค์ความรู้และกิจกรรมที่สัมพันธ์กับประสิทธิผลของทางแก้ปัญหา (the effectiveness of the solution) ที่มุ่งนำหลักฐานมาใช้สร้างองค์ความรู้สำหรับแก้ปัญหา<sup>[4]</sup> จากข้อถกเถียงด้านองค์ความรู้แบบ EBM แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของนโยบายสาธารณะสมัยใหม่ที่พยายามเสาะแสวงหาองค์ความรู้ที่ใช้การได้และจำเป็นต่อการระบุและแก้ปัญหา โดยให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเชิงเหตุผล (rational problem-solving) การวินิจฉัยที่แม่นยำและองค์ความรู้ที่การหาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ (casual linkage) การวิเคราะห์ความเสี่ยง (risk analysis) การตอบสนองเพื่อบรรเทาความเสี่ยงอย่างเหมาะสม (appropriate mitigation response) รวมไปถึงองค์ความรู้เชิงเทคนิคอย่างการปรับแต่งโครงการ (fine-tuning programs) แนวปฏิบัติ (guidelines) และเครื่องมือ (tool-kits) เพื่อใช้จัดการยามเกิดปัญหา<sup>[5]</sup> | |||
การสร้าง EBM ต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการสนับสนุนระบบนโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน โดยได้นำแนวคิดกระบวนการนโยบาย (policy process) มาประยุกต์ใช้ในวงกว้างเพื่อสร้างกระบวนงานที่จำเป็นต่อ EBM และเป็นแนวคิดที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจทั้งฝั่งผู้กำหนดนโยบายและคนที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ<sup>[6]</sup> จากข้อเสนอของ Pew-MacArthur Results First Initiative แบ่ง EBM ตามกระบวนการนโยบายออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ | |||
''' | ''' 1) การประเมินโครงการ (program assessment)''' เพื่อทบทวนหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลของโครงการสาธารณะ ผู้บริหารของภาครัฐควรนำโครงการที่มีอยู่เดิมมาประเมินจากหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลที่มีอยู่และประเมินผลตอบแทนที่จะได้คืนจากการลงทุนในโครงการ เพื่อให้รัฐบาลได้ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการชี้เป้าโครงการใน 3 แบบ คือ <u>หนึ่ง</u> โครงการที่สามารถปฏิบัติได้จริงและสร้างผลตอบแทนคืนกลับเข้ามาได้สูง <u>สอง</u> โครงการที่ต้องรับการประเมินต่อเนื่อง และ<u>สาม</u> โครงการที่ไม่สามารถจัดมอบผลลัพท์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ | ||
''' | ''' 2) การพัฒนางบประมาณ (budget development)''' เพื่อผนวกรวมเอาหลักฐานเข้าส่วนกระบวนการตัดสินใจด้านงบประมาณและนโยบาย ความสำเร็จของนโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน รัฐบาลต้องอาศัยหลักฐานประสิทธิผลของโครงการเพื่อเป็นข้อมูลในกระบวนการตัดสินใจด้านงบประมาณและโครงการอย่างเป็นระบบ การสื่อสารกันระหว่างนักวิจัย บุคลากรด้านงบประมาณ และผู้กำหนดนโยบาย รวมถึงพัฒนาความเป็นเลิศให้กับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งนี้ผลการวิเคราะห์สำหรับการตัดสินใจทางนโยบายต้องรายงานต่อผู้กำหนดนโยบายให้ทันเวลาและเข้าถึงได้ | ||
''' | ''' 3) การกำกับการนำไปปฏิบัติ (implementation oversight)''' เพื่อทำให้แน่ใจว่าโครงการสามารถจัดมอบบริการอย่างมีประสิทธิผล เนื่องจากคุณภาพของการนำโครงการสู่การปฏิบัติจะส่งผลต่อผลลัพท์แม้แต่โครงการที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีในตอนแรกแต่หากเกิดปัญหาการนำไปปฏิบัติย่อมทำให้ได้ผลลัพท์ที่ไม่ดีตามมมา รัฐบาลควรออกแบบระบบกำกับที่เข้มแข็งต่อทุกโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรนอกภาครัฐ ระบบกำกับติดตามควรทำให้โครงการที่อิงกับหลักฐานดำเนินการด้วยความซื่อสัตย์ในการออกแบบและผนวกรวมองค์ประกอบที่สำคัญต่อประสิทธิผลของโครงการ รวมถึงเป็นระบบที่รวมเอากระบวนการปรับปรุงคุณภาพโดยการใช้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกรวบรวมจากการกำกับติดตามเพื่อนำไปปรับปรุงผลการปฏิบัติงานในตอนท้าย อย่างไรก็ตาม ระบบการสนับสนุนและกำกับติดตามการนำนโยบายไปปฏิบัติมีความเสี่ยงจากการถูกปรับลดงบประมาณหากสภาวะทางการเงินการคลังเกิดปัญหาแต่ก็กลับส่งผลให้การนำไปปฏิบัติไม่สมบูรณ์และให้ผลลัพท์ที่ไม่ดี ดังนั้น ผู้กำหนดนโยบายควรจัดสรรงบประมาณเพื่อระบบการสนับสนุนและติดตามให้กับโครงการไว้เป็นพื้นฐานด้วยเพื่อหากเกิดการปรับลดงบประมาณการดำเนินโครงการจะยังคงส่งมอบบริการให้กับผู้รับบริการที่มีความต้องการจำเป็นสูงได้ | ||
''' | ''' 4) การติดตามผลลัพท์ (outcome monitoring)''' เพื่อกำหนดความมุ่งหมายว่าโครงการสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ เนื่องจากการลงทุนของหลายรัฐบาลแม้จะสามารถสร้างระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ปฏิบัติได้จริง แต่ระบบการประเมินผลจำนวนมากกลับให้ความสำคัญกับผลผลิต (output) มากกว่าผลลัพท์ (outcomes) ดังนั้น รัฐบาลควรมีระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานที่สามารถรวบรวมและรายงานข้อมูลผลลัพท์สำคัญในทุกโครงการได้ | ||
''' | ''' 5) การประเมินแบบมุ่งเป้า (targeted evaluation)''' เพื่อประเมินโครงการอย่างเข้มโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อโครงการที่ขาดหลักฐานที่มีน้ำหนักด้านประสิทธิผล รัฐบาลควรควบคุมทรัพยากรสำหรับการประเมินโครงการที่ยังขาดหลักฐานที่มีน้ำหนักของผลลัพท์ รับเงินทุนสนับสนุนเพื่อการประเมิน และกำหนดความเสี่ยงอื่นเพื่อทำให้แน่ใจว่าโครงการสามารถส่งมอบผลลัพท์และประกันการมีระบบสนับสนุนที่ต่อเนื่อง<sup>[7]</sup> | ||
การพิจารณากระบวนการนโยบายหรือวงจรนโยบาย (policy cycle) ช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของ EBM ที่แฝงอยู่ในแต่ละขั้นตอนและวงจรนโยบายและง่ายต่อการเข้าใจอย่างเจาะลึกต่อความสำคัญที่ EBM ได้ไหลเวียนอยู่ตลอดกระบวนการนโยบาย อย่างไรก็ตามมีข้อพึงระวังว่าเงื่อนไขที่เกิดในกระบวนการนโยบายไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นเส้นตรงจากขั้นตอนหนึ่งสู่ขั้นตอนหนึ่งอย่างราบรื่น มุมมองกระบวนการนโยบายแฝงนัยยะการมองว่าผู้กำหนดนโยบายทำหน้าที่ริเริ่มและตัดสินใจนโยบาย แล้วจึงสั่งการให้ผู้ปฏิบัติงานนำนโยบายไปปฏิบัติ ตามมุมมองแบบบนลงล่าง (top-down) แต่ในความเป็นจริงกระบวนการนโยบายสามารถเกิดขึ้นด้วยมุมมองจากล่างชึ้นบน (bottom-up) เพราะผู้ปฏิบัติงานเองสามารถกำหนดนโยบายได้ด้วยตนเองโดยอาศัยการตีความกฎระเบียบตามดุลพินิจของพวกเขาระหว่างการปฏิบัติงานจริงด้วยเช่นกัน เหตุนี้ การนำ EBM ไปใช้จึงเกิดได้ทั้งผู้กำหนดนโยบายนำเอาหลักฐานต่าง ๆ มาประกอบการตัดสินใจกำหนดนโยบาย และผู้ปฏิบัติงานก็นำหลักฐานเหล่านี้มาใช้ในการปฏิบัติงานจริงด้วยเช่นกัน การนำ EBM ไปใช้จึงเกิดขึ้นได้ในทุกระดับชั้นของการปกครอง<sup>[8]</sup> นอกจากนี้ การขับเคลื่อน EBM มาใช้ในนโยบายต้องเข้าใจความท้าทายและข้อจำกัดว่าการตัดสินใจทางนโยบายคือเรื่องการเมือง (politics) การตัดสินใจ (judgement) และข้อถกเถียง (debate) การถกเถียงและการวิเคราะห์เชิงนโยบายจึงเป็นเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริง (fact) บรรทัดฐาน (norm) และความปรารถนาที่จะกระทำ (desire action) จึงทำให้หลักฐานเป็นสิ่งที่มีความหลากหลายและโต้เถียงได้ หลักฐานจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นวัตถุวิสัย<sup>[9]</sup> | |||
สำหรับประโยชน์ของ EBM ผู้นำทางการเมืองและผู้บริหารของภาครัฐมองว่าเป็นโอกาสที่จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการกำหนดนโยบายและการประเมินผลการปฏิบัติงานของโครงการอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของการประเมินเชิงเหตุผล (rational evaluation) และทำให้เกิดการถกเถียงถึงทางเลือกเชิงนโยบายที่ผ่านการได้รับข้อมูลมาอย่างดี (well-informed debate of options) EBM จึงยังประโยชน์ร่วมกันทั้งต่อนักวิจัยผู้ประเมินและศึกษานโยบาย นักบริหารงานภาครัฐ และประชาชน<sup>[10]</sup> โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ <u>หนึ่ง</u> ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น (reduce wasteful spending) การใช้หลักฐานเกี่ยวกับผลลัพท์ของโครงการจะช่วยให้ข้อมูลต่อการกำหนดทางเลือกของการใช้งบประมาณ ช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถชี้เป้าและยกโลกโครงการที่ไม่มีประสิทธิผลเพื่อนำเงินที่เหลือไปใช้ในกิจการอื่น <u>สอง</u> เพิ่มขยายโครงการนวัตกรรม (expand innovative programs) การกำหนดให้โครงการใหม่หรือโครงการที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบต้อดำเนินการการประเมินผลอย่างเข้มงวด จะช่วยบ่งชี้ว่าโครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการได้และช่วยบ่งชี้โอกาสของการจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการที่สร้างนวัตกรรมได้มากขึ้น เพื่อให้โครงการนวัตกรรมได้จัดมอบผลลัพท์ที่ดีขึ้นแก่ประชาชนและช่วยลดต้นทุน <u>สาม</u> เสริมสร้างความพร้อมรับผิด (strengthen accountability) การรวบรวมและรายงานการปฏิบัติงานและผลลัพท์ของโครงการจะช่วยทำให้องค์การ ผู้บริหาร และผู้ให้บริการมีความรับผิดรับชอบต่อผลการดำเนินงานได้ง่ายยิ่งขึ้น<sup>[11]</sup> | |||
อย่างไรก็ตาม การมี EBM ต้องตระหนักถึงปัญหาและความท้าทายของการใช้หลักฐานในทางนโยบาย เพราะการเมืองของหลักฐาน (politics of evidence) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยฝ่ายที่ส่งเสริมการใช้ EBM มองว่าการทำให้เป็นการเมืองของศาสตร์ (politicization of science) เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้เสมอเนื่องจากกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองมีแรงขับเคลื่อนภายในในการใช้หลักฐานที่ผิด (misuse) บิดเบือนหลักฐาน (manipulation) หรือเลือกหยิบใช้หลักฐานเข้าข้างตนเอง (cherry picking) เพื่อประโยชน์ทางการเมือง รวมไปถึงอคติเชิงเทคนิค (technical bias) อันเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ดีตามหลักการทางวิทยาศาสตร์และการวิจัย จนกระทบต่อความซื่อสัตย์ทางวิชาการ (scientific fidelity) ขณะเดียวกันฝ่ายวิพากษ์การใช้ EBM มองว่าปัญหาเกิดจากการลดทอนความเป็นการเมืองของศาสตร์ (depoliticization of science) จากการเพิกเฉยต่อค่านิยมทางสังคม (social value) หรือขจัดให้ค่านิยมทางสังคมไปอยู่ชายขอบโดยการสถาปนารูปแบบหรือโครงร่างจำเพาะของหลักฐานที่ใช้ใน EBM จนอาจสร้างอคติเชิงประเด็น (issue bias) จากการใช้ประโยชน์จากหลักฐานเพื่อเปลี่ยนข้อถกเถียงทางการเมืองไปสู่คำถามหรือข้อห่วงใยเฉพาะในทางที่ปราศจากความโปร่งใส อันจะกระทบต่อค่านิยมของการเป็นตัวแทนและการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย<sup>[12]</sup> ทั้งนี้ การเมืองของหลักฐานแสดงให้เห็นปัญหาของการขาดแคลนและการเพิกเฉยต่อการอิงหลักฐานในกระบวนการนโยบายที่พบอยู่เสมอในหลายมิติที่ควรพิจารณาแยกออกจากกัน คือ | |||
''' | ''' 1. การขาดแคลนหลักฐานที่น่าเชื่อถือและปราศจากการโต้แย้งเกี่ยวกับธรรมชาติของปัญหาของนโยบาย''' (the lack of reliable or uncontested evidence on the nature of a policy problem)เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายไม่ได้ตอบสนองต่อหลักฐานที่มีได้อย่างรวดเร็วและได้สัดส่วน และฝ่ายบริหารมีหลักฐานที่กระจัดกระจาย/ไม่เพียงพอ การใช้หลักฐานที่คลุมเครือในกระบวนการทางการเมืองเป็นวงกว้างย่อมส่งผลให้ตัวแสดงในกระบวนการนโยบายต่างแข่งขันกันนำเสนอและความไม่แน่นอนของผู้กำหนดนโยบาย ทำให้เกิดความพยายามครอบงำแนวทางการกำหนดกรอบและวิธีการทำความเข้าใจปัญหานโยบาย | ||
''' | ''' 2. ผู้กำหนดนโยบายมีแนวโน้มไม่ให้ความสนใจแม้จะมีหลักฐานของปัญหาที่ดีอยู่แล้วก็ตาม''' (the tendency of policymakers to pay insufficient attention to pressing, well-evidenced problems) แม้ว่าหลักฐานของปัญหาจะชัดเจนแต่ผู้กำหนดนโยบายไม่สามารถทำความเข้าใจในหลักฐานได้ ไม่เต็มใจที่จะระบุถึงหลักฐาน หรือให้ความสนใจต่อประเด็นปัญหาอื่นมากกว่า จากกรณีดังหล่าวการใช้หลักฐานเพื่อบ่งชี้ปัญหาจึงเป็นเรื่องห่างไกลเกินไปและผู้กำหนดนโยบายจะให้ความสนใจต่อหลักฐานเพียงเล็กน้อยเว้นแต่เสียว่าจะมีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สามารถใช้งานได้จริงเป็นอย่างดีเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว | ||
''' | ''' 3. การขาดแคลนหลักฐานที่น่าเชื่อถือและปราศจากการโต้แย้งเกี่ยวกับประสิทธิผลของนโยบายการแก้ปัญหา''' (the lack of reliable or uncontested evidence on the effectiveness of policy solutions) ตัวอย่างเช่นนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์จะมีความชัดเจนในขนาดและธรรมชาติของปัญหาแต่หลักฐานเพื่อใช้ในนโยบายการแก้ไขปัญหากลับกระจัดกระจายหรือไม่เพียงพอ ผลก็คือผู้กำหนดนโยบายอาจไม่เต็มใจที่จะกระทำหรือลงทุนในนโยบายการแก้ไขปัญหาที่ราคาแพง แม้ว่าผู้กำหนดนโยบายจะตระหนักว่าปัญหาดังกล่าวต้องถูกแก้ไข | ||
''' | ''' 4. ผู้กำหนดนโยบายมีแนวโน้มเพิกเฉยหรือปฏิเสธนโยบายการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิผลสูงสุดหรือมีหลักฐานที่ดีที่สุด''' (the tendency of policymakers to ignore or reject the most effective or best-evidenced policy solutions.) แม้จะมีหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลของการแก้ไขปัญหาทางนโยบายที่ชัดเจนแต่อาจไม่ถูกนำไปใช้แก้ปัญหาจริง ผู้กำหนดนโยบายจะชั่งน้ำหนักระหว่าง | ||
1) ผลกระทบตามหลักฐานที่ปรากฎ | |||
2) ต้นทุน/มูลค่าของเงินรวมถึงต้นทุนค่าเสียโอกาส และ | |||
3) ความเป็นไปได้ในทางการเมือง ทำให้หลักฐานที่เกี่ยวกับหนทางแก้ปัญหาอาจถูกใช้เพียงบางส่วนสำหรับการตัดสินใจ | |||
''' 5. ผู้กำหนดนโยบายมีแนวโน้มตัดสินใจในเรื่องที่ตนอยากทำ พวกเขาจึงอาจพยายามหาหลักฐานให้เพียงพอหรืออาจบิดเบือนหลักฐานก็ได้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของพวกเขา''' (the tendency of policymakers to decide what they want to do, then seek enough evidence, or distort that evidence, to support their decision.) เนื่องจากการตัดสินใจที่ชอบธรรมของผู้กำหนดนโยบายขึ้นอยู่กับการให้ความสนใจต่อหลักฐานที่มีรูปแบบแตกต่างกัน และผู้กำหนดนโยบายไม่เต็มใจที่จะกระทำการบนพื้นฐานของการพึ่งงานเพียงชิ้นเดียวหรือเพียงชิ้นส่วนหลักฐาน นอกจากนี้ การบิดเบือนหลักฐานสัมพันธ์กับความต้องการของผู้กำหนดนโยบายที่ต้องกระทำการต่าง ๆ อย่างรวดเร็วแต่อาจปราศจากข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ผู้กำหนดนโยบายจึงต้องการเพียงข้อมูลเพื่อให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ตนต้องการ แต่แนวปฏิบัติเช่นนี้จึงแปลกแยกจากนักวิจัยที่ต้องอาศัยเวลาและการรอคอยเพื่อให้ได้หลักฐานที่ชัดเจนแน่นนอนกว่านี้<sup>[13]</sup> | |||
'''<big>บรรณานุกรม</big>''' | '''<big>บรรณานุกรม</big>''' | ||
บรรทัดที่ 76: | บรรทัดที่ 82: | ||
index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน | index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน | ||
index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ | index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ | ||
[[index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน]] | |||
[[index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:14, 19 มิถุนายน 2568
ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอกวีร์ มีสุข
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
นโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน (evidence-based policy: EBM)
นโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน (evidence-based policy: EBM) หรือการสร้างนโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน (evidence-based policy making: EBPM)[1] หมายถึง การใช้หลักฐานและข้อมูลข่าวสารที่ดีที่สุดและสามารถใช้ในกระบวนการทางนโยบายได้มากกว่าการใช้ความเห็นของบุคคล ทฤษฎีและแนวปฏิบัติที่คุ้นเคยกันแบบเดิม หลักฐานและข้อมูลอาจเกิดจากการนำผลของโครงการมาใช้เพื่อกำหนดทิศทางการตัดสินใจในทุกขั้นตอนของกระบวนการนโยบายและใช้ภายในทุกหน่วยงานของภาครัฐ EBM สามารถช่วยบ่งชี้การทำงาน ช่วยเน้นถึงช่องว่างจากการขาดแคลนหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลของโครงการ และช่วยผู้กำหนดนโยบายสามารถใช้หลักฐานในการตัดสินใจด้านงบประมาณและนโยบาย นอกจากนี้ EBM ต้องพึ่งพาระบบติดตามการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติและการวัดผลลัพท์สำคัญ (key outcomes) และต้องใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของโครงการอย่างต่อเนื่อง[2] โดย ‘หลักฐาน’ ที่ใช้โดยทั่วไปหมายถึงองค์ความรู้ที่ได้มาจากงานวิจัยเชิงประยุกต์ที่ดำเนินการโดยสถาบันการวิจัยทั้งภายในรัฐและนอกภาครัฐ รวมถึงหลักฐานทั่วไป (general evidence) เกี่ยวกับทิศทางและการอธิบายปรากฎการณ์ทางสังคมและองค์การในภาพกว้าง และหลักฐานชี้เฉพาะ (specific evidence) จากตัวชี้วัดการประเมินผลการปฏิบัติราชการและการประเมินโครงการ อย่างไรก็ตาม รูปแบบองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายมีหลากหลายมากกว่าองค์ความรู้ในแบบสังคมศาสตร์ประยุกต์ (applied social science) แต่องค์ความรู้เหล่านี้ก็สำคัญต่อการทำความเข้าใจประเด็นและมุมมองต่อความสำเร็จจากการแทรกแซงทางนโยบาย[3]
ข้อถกเถียงสำคัญหนึ่งของผู้สนับสนุนการพัฒนา EBM คือปัญหาการขาดแคลนองค์ความรู้ในกระบวนการนโยบาย องค์ความรู้และกิจกรรมทางนโยบายที่อิงกับหลักฐานจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ หนึ่ง องค์ความรู้และกิจกรรมที่สัมพันธ์กับขนาดของปัญหา (the size of the problem) ที่มุ่งนำหลักฐานมาใช้เพื่อกระตุ้นความสนใจต่อปัญหา และเตือนสติให้เกิดการตอบสนองอย่างเหมาะสม และสอง องค์ความรู้และกิจกรรมที่สัมพันธ์กับประสิทธิผลของทางแก้ปัญหา (the effectiveness of the solution) ที่มุ่งนำหลักฐานมาใช้สร้างองค์ความรู้สำหรับแก้ปัญหา[4] จากข้อถกเถียงด้านองค์ความรู้แบบ EBM แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของนโยบายสาธารณะสมัยใหม่ที่พยายามเสาะแสวงหาองค์ความรู้ที่ใช้การได้และจำเป็นต่อการระบุและแก้ปัญหา โดยให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเชิงเหตุผล (rational problem-solving) การวินิจฉัยที่แม่นยำและองค์ความรู้ที่การหาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ (casual linkage) การวิเคราะห์ความเสี่ยง (risk analysis) การตอบสนองเพื่อบรรเทาความเสี่ยงอย่างเหมาะสม (appropriate mitigation response) รวมไปถึงองค์ความรู้เชิงเทคนิคอย่างการปรับแต่งโครงการ (fine-tuning programs) แนวปฏิบัติ (guidelines) และเครื่องมือ (tool-kits) เพื่อใช้จัดการยามเกิดปัญหา[5]
การสร้าง EBM ต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการสนับสนุนระบบนโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน โดยได้นำแนวคิดกระบวนการนโยบาย (policy process) มาประยุกต์ใช้ในวงกว้างเพื่อสร้างกระบวนงานที่จำเป็นต่อ EBM และเป็นแนวคิดที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจทั้งฝั่งผู้กำหนดนโยบายและคนที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ[6] จากข้อเสนอของ Pew-MacArthur Results First Initiative แบ่ง EBM ตามกระบวนการนโยบายออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
1) การประเมินโครงการ (program assessment) เพื่อทบทวนหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลของโครงการสาธารณะ ผู้บริหารของภาครัฐควรนำโครงการที่มีอยู่เดิมมาประเมินจากหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลที่มีอยู่และประเมินผลตอบแทนที่จะได้คืนจากการลงทุนในโครงการ เพื่อให้รัฐบาลได้ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการชี้เป้าโครงการใน 3 แบบ คือ หนึ่ง โครงการที่สามารถปฏิบัติได้จริงและสร้างผลตอบแทนคืนกลับเข้ามาได้สูง สอง โครงการที่ต้องรับการประเมินต่อเนื่อง และสาม โครงการที่ไม่สามารถจัดมอบผลลัพท์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
2) การพัฒนางบประมาณ (budget development) เพื่อผนวกรวมเอาหลักฐานเข้าส่วนกระบวนการตัดสินใจด้านงบประมาณและนโยบาย ความสำเร็จของนโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน รัฐบาลต้องอาศัยหลักฐานประสิทธิผลของโครงการเพื่อเป็นข้อมูลในกระบวนการตัดสินใจด้านงบประมาณและโครงการอย่างเป็นระบบ การสื่อสารกันระหว่างนักวิจัย บุคลากรด้านงบประมาณ และผู้กำหนดนโยบาย รวมถึงพัฒนาความเป็นเลิศให้กับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งนี้ผลการวิเคราะห์สำหรับการตัดสินใจทางนโยบายต้องรายงานต่อผู้กำหนดนโยบายให้ทันเวลาและเข้าถึงได้
3) การกำกับการนำไปปฏิบัติ (implementation oversight) เพื่อทำให้แน่ใจว่าโครงการสามารถจัดมอบบริการอย่างมีประสิทธิผล เนื่องจากคุณภาพของการนำโครงการสู่การปฏิบัติจะส่งผลต่อผลลัพท์แม้แต่โครงการที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีในตอนแรกแต่หากเกิดปัญหาการนำไปปฏิบัติย่อมทำให้ได้ผลลัพท์ที่ไม่ดีตามมมา รัฐบาลควรออกแบบระบบกำกับที่เข้มแข็งต่อทุกโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรนอกภาครัฐ ระบบกำกับติดตามควรทำให้โครงการที่อิงกับหลักฐานดำเนินการด้วยความซื่อสัตย์ในการออกแบบและผนวกรวมองค์ประกอบที่สำคัญต่อประสิทธิผลของโครงการ รวมถึงเป็นระบบที่รวมเอากระบวนการปรับปรุงคุณภาพโดยการใช้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกรวบรวมจากการกำกับติดตามเพื่อนำไปปรับปรุงผลการปฏิบัติงานในตอนท้าย อย่างไรก็ตาม ระบบการสนับสนุนและกำกับติดตามการนำนโยบายไปปฏิบัติมีความเสี่ยงจากการถูกปรับลดงบประมาณหากสภาวะทางการเงินการคลังเกิดปัญหาแต่ก็กลับส่งผลให้การนำไปปฏิบัติไม่สมบูรณ์และให้ผลลัพท์ที่ไม่ดี ดังนั้น ผู้กำหนดนโยบายควรจัดสรรงบประมาณเพื่อระบบการสนับสนุนและติดตามให้กับโครงการไว้เป็นพื้นฐานด้วยเพื่อหากเกิดการปรับลดงบประมาณการดำเนินโครงการจะยังคงส่งมอบบริการให้กับผู้รับบริการที่มีความต้องการจำเป็นสูงได้
4) การติดตามผลลัพท์ (outcome monitoring) เพื่อกำหนดความมุ่งหมายว่าโครงการสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ เนื่องจากการลงทุนของหลายรัฐบาลแม้จะสามารถสร้างระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ปฏิบัติได้จริง แต่ระบบการประเมินผลจำนวนมากกลับให้ความสำคัญกับผลผลิต (output) มากกว่าผลลัพท์ (outcomes) ดังนั้น รัฐบาลควรมีระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานที่สามารถรวบรวมและรายงานข้อมูลผลลัพท์สำคัญในทุกโครงการได้
5) การประเมินแบบมุ่งเป้า (targeted evaluation) เพื่อประเมินโครงการอย่างเข้มโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อโครงการที่ขาดหลักฐานที่มีน้ำหนักด้านประสิทธิผล รัฐบาลควรควบคุมทรัพยากรสำหรับการประเมินโครงการที่ยังขาดหลักฐานที่มีน้ำหนักของผลลัพท์ รับเงินทุนสนับสนุนเพื่อการประเมิน และกำหนดความเสี่ยงอื่นเพื่อทำให้แน่ใจว่าโครงการสามารถส่งมอบผลลัพท์และประกันการมีระบบสนับสนุนที่ต่อเนื่อง[7]
การพิจารณากระบวนการนโยบายหรือวงจรนโยบาย (policy cycle) ช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของ EBM ที่แฝงอยู่ในแต่ละขั้นตอนและวงจรนโยบายและง่ายต่อการเข้าใจอย่างเจาะลึกต่อความสำคัญที่ EBM ได้ไหลเวียนอยู่ตลอดกระบวนการนโยบาย อย่างไรก็ตามมีข้อพึงระวังว่าเงื่อนไขที่เกิดในกระบวนการนโยบายไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นเส้นตรงจากขั้นตอนหนึ่งสู่ขั้นตอนหนึ่งอย่างราบรื่น มุมมองกระบวนการนโยบายแฝงนัยยะการมองว่าผู้กำหนดนโยบายทำหน้าที่ริเริ่มและตัดสินใจนโยบาย แล้วจึงสั่งการให้ผู้ปฏิบัติงานนำนโยบายไปปฏิบัติ ตามมุมมองแบบบนลงล่าง (top-down) แต่ในความเป็นจริงกระบวนการนโยบายสามารถเกิดขึ้นด้วยมุมมองจากล่างชึ้นบน (bottom-up) เพราะผู้ปฏิบัติงานเองสามารถกำหนดนโยบายได้ด้วยตนเองโดยอาศัยการตีความกฎระเบียบตามดุลพินิจของพวกเขาระหว่างการปฏิบัติงานจริงด้วยเช่นกัน เหตุนี้ การนำ EBM ไปใช้จึงเกิดได้ทั้งผู้กำหนดนโยบายนำเอาหลักฐานต่าง ๆ มาประกอบการตัดสินใจกำหนดนโยบาย และผู้ปฏิบัติงานก็นำหลักฐานเหล่านี้มาใช้ในการปฏิบัติงานจริงด้วยเช่นกัน การนำ EBM ไปใช้จึงเกิดขึ้นได้ในทุกระดับชั้นของการปกครอง[8] นอกจากนี้ การขับเคลื่อน EBM มาใช้ในนโยบายต้องเข้าใจความท้าทายและข้อจำกัดว่าการตัดสินใจทางนโยบายคือเรื่องการเมือง (politics) การตัดสินใจ (judgement) และข้อถกเถียง (debate) การถกเถียงและการวิเคราะห์เชิงนโยบายจึงเป็นเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริง (fact) บรรทัดฐาน (norm) และความปรารถนาที่จะกระทำ (desire action) จึงทำให้หลักฐานเป็นสิ่งที่มีความหลากหลายและโต้เถียงได้ หลักฐานจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นวัตถุวิสัย[9]
สำหรับประโยชน์ของ EBM ผู้นำทางการเมืองและผู้บริหารของภาครัฐมองว่าเป็นโอกาสที่จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการกำหนดนโยบายและการประเมินผลการปฏิบัติงานของโครงการอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของการประเมินเชิงเหตุผล (rational evaluation) และทำให้เกิดการถกเถียงถึงทางเลือกเชิงนโยบายที่ผ่านการได้รับข้อมูลมาอย่างดี (well-informed debate of options) EBM จึงยังประโยชน์ร่วมกันทั้งต่อนักวิจัยผู้ประเมินและศึกษานโยบาย นักบริหารงานภาครัฐ และประชาชน[10] โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ หนึ่ง ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น (reduce wasteful spending) การใช้หลักฐานเกี่ยวกับผลลัพท์ของโครงการจะช่วยให้ข้อมูลต่อการกำหนดทางเลือกของการใช้งบประมาณ ช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถชี้เป้าและยกโลกโครงการที่ไม่มีประสิทธิผลเพื่อนำเงินที่เหลือไปใช้ในกิจการอื่น สอง เพิ่มขยายโครงการนวัตกรรม (expand innovative programs) การกำหนดให้โครงการใหม่หรือโครงการที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบต้อดำเนินการการประเมินผลอย่างเข้มงวด จะช่วยบ่งชี้ว่าโครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการได้และช่วยบ่งชี้โอกาสของการจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการที่สร้างนวัตกรรมได้มากขึ้น เพื่อให้โครงการนวัตกรรมได้จัดมอบผลลัพท์ที่ดีขึ้นแก่ประชาชนและช่วยลดต้นทุน สาม เสริมสร้างความพร้อมรับผิด (strengthen accountability) การรวบรวมและรายงานการปฏิบัติงานและผลลัพท์ของโครงการจะช่วยทำให้องค์การ ผู้บริหาร และผู้ให้บริการมีความรับผิดรับชอบต่อผลการดำเนินงานได้ง่ายยิ่งขึ้น[11]
อย่างไรก็ตาม การมี EBM ต้องตระหนักถึงปัญหาและความท้าทายของการใช้หลักฐานในทางนโยบาย เพราะการเมืองของหลักฐาน (politics of evidence) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยฝ่ายที่ส่งเสริมการใช้ EBM มองว่าการทำให้เป็นการเมืองของศาสตร์ (politicization of science) เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้เสมอเนื่องจากกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองมีแรงขับเคลื่อนภายในในการใช้หลักฐานที่ผิด (misuse) บิดเบือนหลักฐาน (manipulation) หรือเลือกหยิบใช้หลักฐานเข้าข้างตนเอง (cherry picking) เพื่อประโยชน์ทางการเมือง รวมไปถึงอคติเชิงเทคนิค (technical bias) อันเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ดีตามหลักการทางวิทยาศาสตร์และการวิจัย จนกระทบต่อความซื่อสัตย์ทางวิชาการ (scientific fidelity) ขณะเดียวกันฝ่ายวิพากษ์การใช้ EBM มองว่าปัญหาเกิดจากการลดทอนความเป็นการเมืองของศาสตร์ (depoliticization of science) จากการเพิกเฉยต่อค่านิยมทางสังคม (social value) หรือขจัดให้ค่านิยมทางสังคมไปอยู่ชายขอบโดยการสถาปนารูปแบบหรือโครงร่างจำเพาะของหลักฐานที่ใช้ใน EBM จนอาจสร้างอคติเชิงประเด็น (issue bias) จากการใช้ประโยชน์จากหลักฐานเพื่อเปลี่ยนข้อถกเถียงทางการเมืองไปสู่คำถามหรือข้อห่วงใยเฉพาะในทางที่ปราศจากความโปร่งใส อันจะกระทบต่อค่านิยมของการเป็นตัวแทนและการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย[12] ทั้งนี้ การเมืองของหลักฐานแสดงให้เห็นปัญหาของการขาดแคลนและการเพิกเฉยต่อการอิงหลักฐานในกระบวนการนโยบายที่พบอยู่เสมอในหลายมิติที่ควรพิจารณาแยกออกจากกัน คือ
1. การขาดแคลนหลักฐานที่น่าเชื่อถือและปราศจากการโต้แย้งเกี่ยวกับธรรมชาติของปัญหาของนโยบาย (the lack of reliable or uncontested evidence on the nature of a policy problem)เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายไม่ได้ตอบสนองต่อหลักฐานที่มีได้อย่างรวดเร็วและได้สัดส่วน และฝ่ายบริหารมีหลักฐานที่กระจัดกระจาย/ไม่เพียงพอ การใช้หลักฐานที่คลุมเครือในกระบวนการทางการเมืองเป็นวงกว้างย่อมส่งผลให้ตัวแสดงในกระบวนการนโยบายต่างแข่งขันกันนำเสนอและความไม่แน่นอนของผู้กำหนดนโยบาย ทำให้เกิดความพยายามครอบงำแนวทางการกำหนดกรอบและวิธีการทำความเข้าใจปัญหานโยบาย
2. ผู้กำหนดนโยบายมีแนวโน้มไม่ให้ความสนใจแม้จะมีหลักฐานของปัญหาที่ดีอยู่แล้วก็ตาม (the tendency of policymakers to pay insufficient attention to pressing, well-evidenced problems) แม้ว่าหลักฐานของปัญหาจะชัดเจนแต่ผู้กำหนดนโยบายไม่สามารถทำความเข้าใจในหลักฐานได้ ไม่เต็มใจที่จะระบุถึงหลักฐาน หรือให้ความสนใจต่อประเด็นปัญหาอื่นมากกว่า จากกรณีดังหล่าวการใช้หลักฐานเพื่อบ่งชี้ปัญหาจึงเป็นเรื่องห่างไกลเกินไปและผู้กำหนดนโยบายจะให้ความสนใจต่อหลักฐานเพียงเล็กน้อยเว้นแต่เสียว่าจะมีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สามารถใช้งานได้จริงเป็นอย่างดีเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว
3. การขาดแคลนหลักฐานที่น่าเชื่อถือและปราศจากการโต้แย้งเกี่ยวกับประสิทธิผลของนโยบายการแก้ปัญหา (the lack of reliable or uncontested evidence on the effectiveness of policy solutions) ตัวอย่างเช่นนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์จะมีความชัดเจนในขนาดและธรรมชาติของปัญหาแต่หลักฐานเพื่อใช้ในนโยบายการแก้ไขปัญหากลับกระจัดกระจายหรือไม่เพียงพอ ผลก็คือผู้กำหนดนโยบายอาจไม่เต็มใจที่จะกระทำหรือลงทุนในนโยบายการแก้ไขปัญหาที่ราคาแพง แม้ว่าผู้กำหนดนโยบายจะตระหนักว่าปัญหาดังกล่าวต้องถูกแก้ไข
4. ผู้กำหนดนโยบายมีแนวโน้มเพิกเฉยหรือปฏิเสธนโยบายการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิผลสูงสุดหรือมีหลักฐานที่ดีที่สุด (the tendency of policymakers to ignore or reject the most effective or best-evidenced policy solutions.) แม้จะมีหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลของการแก้ไขปัญหาทางนโยบายที่ชัดเจนแต่อาจไม่ถูกนำไปใช้แก้ปัญหาจริง ผู้กำหนดนโยบายจะชั่งน้ำหนักระหว่าง
1) ผลกระทบตามหลักฐานที่ปรากฎ
2) ต้นทุน/มูลค่าของเงินรวมถึงต้นทุนค่าเสียโอกาส และ
3) ความเป็นไปได้ในทางการเมือง ทำให้หลักฐานที่เกี่ยวกับหนทางแก้ปัญหาอาจถูกใช้เพียงบางส่วนสำหรับการตัดสินใจ
5. ผู้กำหนดนโยบายมีแนวโน้มตัดสินใจในเรื่องที่ตนอยากทำ พวกเขาจึงอาจพยายามหาหลักฐานให้เพียงพอหรืออาจบิดเบือนหลักฐานก็ได้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของพวกเขา (the tendency of policymakers to decide what they want to do, then seek enough evidence, or distort that evidence, to support their decision.) เนื่องจากการตัดสินใจที่ชอบธรรมของผู้กำหนดนโยบายขึ้นอยู่กับการให้ความสนใจต่อหลักฐานที่มีรูปแบบแตกต่างกัน และผู้กำหนดนโยบายไม่เต็มใจที่จะกระทำการบนพื้นฐานของการพึ่งงานเพียงชิ้นเดียวหรือเพียงชิ้นส่วนหลักฐาน นอกจากนี้ การบิดเบือนหลักฐานสัมพันธ์กับความต้องการของผู้กำหนดนโยบายที่ต้องกระทำการต่าง ๆ อย่างรวดเร็วแต่อาจปราศจากข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ผู้กำหนดนโยบายจึงต้องการเพียงข้อมูลเพื่อให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ตนต้องการ แต่แนวปฏิบัติเช่นนี้จึงแปลกแยกจากนักวิจัยที่ต้องอาศัยเวลาและการรอคอยเพื่อให้ได้หลักฐานที่ชัดเจนแน่นนอนกว่านี้[13]
บรรณานุกรม
Cairney, Paul. The Politics of Evidence-Based Policy Making. Palgrave Macmillan, 2016.
Head, Brian W. "Three Lenses of Evidence-Based Policy." Australian Journal of Public Administration 67, no. 1 (2008): 1-11. https://dx.doi.org/https://doi.org/10.1111/j.1467-8500.2007.00564.x.
Parkhurst, Justin. The Politics of Evidence: From Evidence-Based Policy to the Good Governance of Evidence. New York: Routledge, 2017.
Pew-MacArthur Results First Initiative. Evidence-Based Policymaking: A Guide for Effective Government. The Pew Charitable Trusts and John D. and Catherine T. MacArthur Foundation, 2014.
[1] งานชิ้นนี้จะเรียกว่า ‘นโยบายสาธารณะที่อิงกับหลักฐาน’ และ ‘EBM’ ตลอดบทความ
[2] Pew-MacArthur Results First Initiative, Evidence-Based Policymaking: A Guide for Effective Government (The Pew Charitable Trusts and John D. and Catherine T. MacArthur Foundation, 2014), 2.
[3] Brian W. Head, "Three Lenses of Evidence-Based Policy," Australian Journal of Public Administration 67, no. 1 (2008): 4, https://dx.doi.org/https://doi.org/10.1111/j.1467-8500.2007.00564.x.
[4] Paul Cairney, The Politics of Evidence-Based Policy Making (Palgrave Macmillan 2016), 4.
[5] Head 2.
[6] กระบวนการนโยบาย (policy process) แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก คือ การกำหนดนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ และกาประเมินผลนโยบาย แต่บางงานอาจแบ่งขั้นตอนมากกว่านั้น อาทิ Paul Cairney แบ่งกระบวนการนโยบายออกเป็น 6 ขั้น คือ การกำหนดวาระ (Agenda setting) การก่อตัวทางนโยบาย (Policy formulation) การสร้างความชอบธรรม (Legitimation) การนำไปปฏิบัติ (Implementation) การประเมิน (Evaluation) การรักษา สืบทอด หรือยกเลิกนโยบาย (Policy maintenance, succession, or termination) ดูใน Cairney, 17.
[7] Pew-MacArthur Results First Initiative, 4-16.
[8] Cairney, 39-40.
[9] Head 1.
[10] Head 1.
[11] Pew-MacArthur Results First Initiative, 2.
[12] Justin Parkhurst, The Politics of Evidence: From Evidence-Based Policy to the Good Governance of Evidence (New York: Routledge, 2017), 7-8.
[13] Cairney, 120-21. index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ