ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2"
สร้างหน้าด้วย " ผู้เรียบเรียง : ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิป..." |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
(ไม่แสดง 1 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
ผู้เรียบเรียง : ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว | ผู้เรียบเรียง : ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว | ||
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร | ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร | ||
---- | ---- | ||
<p style="text-align: center;">'''สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ | <p style="text-align: center;">'''สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา)'''</p> | ||
| | ||
บรรทัดที่ 14: | บรรทัดที่ 14: | ||
''โคลงภาพพระราชพงศาวดาร''[[#_ftn1|[1]]] | ''โคลงภาพพระราชพงศาวดาร''[[#_ftn1|[1]]] | ||
“โคลงภาพพระราชพงศาวดาร” เกิดขึ้นจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ให้คัดสรรเหตุการณ์สำคัญเมื่อครั้งอดีตตามพระราชพงศาวดาร มาร้อยเรียงเป็นโคลงสี่สุภาพ และให้จิตรกรชื่อดังในสมัยนั้นเขียนภาพประกอบ เพื่อประดับไว้ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง และพระที่นั่งวโรภาษพิมาน ณ พระราชวังบางปะอิน ซึ่งเหตุการณ์สำคัญในโคลงภาพพระราชพงศาวดารเหตุการณ์หนึ่ง นั่นคือ | “โคลงภาพพระราชพงศาวดาร” เกิดขึ้นจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ให้คัดสรรเหตุการณ์สำคัญเมื่อครั้งอดีตตามพระราชพงศาวดาร มาร้อยเรียงเป็นโคลงสี่สุภาพ และให้จิตรกรชื่อดังในสมัยนั้นเขียนภาพประกอบ เพื่อประดับไว้ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง และพระที่นั่งวโรภาษพิมาน ณ พระราชวังบางปะอิน ซึ่งเหตุการณ์สำคัญในโคลงภาพพระราชพงศาวดารเหตุการณ์หนึ่ง นั่นคือ “[[เจ้าอ้ายเจ้ายี่ชนช้าง|เจ้าอ้ายเจ้ายี่ชนช้าง]]” เพื่อแย่งชิงราชสมบัติกัน กระทั่งทั้ง 2 พระองค์ ต้องพระแสงของ้าวขาดคอช้างสิ้นพระชนม์ด้วยกัน ราชสมบัติของกรุงศรีอยุธยาจึงตกเป็นของ “[[เจ้าสามพระยา|เจ้าสามพระยา]]” พระอนุชา ได้เสด็จเถลิงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งกรุงศรีอยุธยา โดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) อยู่ในไอศูรยราชสมบัติระหว่างปี พ.ศ. 1967 – พ.ศ. 1991 รวมเวลาทั้งสิ้น 24 ปี ในรัชกาลของพระองค์นั้น มีส่วนสำคัญที่ทำให้อำนาจของกรุงศรีอยุธยามีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้น ทั้งอำนาจภายใน คือ อำนาจของพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ และอำนาจภายนอก คือ อำนาจของกรุงศรีอยุธยาที่สามารถแผ่ขยายไปทางตะวันออกยังเมืองพระนครหลวงของเขมร และแผ่ไปทางทิศเหนือยังเมืองสุโขทัยและเชียงใหม่ ขณะที่รัชกาลองค์ก่อน ๆ นั้น ยังไม่มีบทบาทในการขยายอำนาจของพระมหานครแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างชัดเจนเท่ากับรัชกาลของพระองค์เลย | ||
<u>พระราชประวัติ</u> | <u>พระราชประวัติ</u> | ||
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) ผู้สืบเชื้อสายในพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ และเป็นพระญาติวงศ์ในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว)[[#_ftn2|[2]]] ซึ่งเดิมครองเมืองสุพรรณบุรี ผู้ร่วมกับพระราชวงศ์อู่ทองในการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ซึ่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) ผู้สืบเชื้อสายในพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ และเป็นพระญาติวงศ์ในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว)[[#_ftn2|[2]]] ซึ่งเดิมครองเมืองสุพรรณบุรี ผู้ร่วมกับพระราชวงศ์อู่ทองในการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ซึ่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ ขณะที่[[พงศาวดารฉบับพระบริหารเทพธานี|พงศาวดารฉบับพระบริหารเทพธานี]] อธิบายรายละเอียดไว้ว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) เป็นพระปิตุลา (ลุง) ในสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์)[[#_ftn3|[3]]] ดังนั้น สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จึงมีศักดิ์เป็นหลานปู่ในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ต้นวงศ์แห่งพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ | ||
เมื่อสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์มีพระราชโอรสที่ปรากฏพระนาม 3 พระองค์ นั่นคือ เจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา และเจ้าสามพระยา ครั้นถึงปีจุลศักราช 781 กุญศก[[#_ftn4|[4]]] ตรงกับ พ.ศ. 1962 พระมหาธรรมราชาผู้ครองเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก) สิ้นพระชนม์ลง ส่งผลให้หัวเมืองฝ่ายเหนือเกิดการจลาจล สมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) จึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปถึงเมืองพระบาง[[#_ftn5|[5]]] และสามารถระงับจลาจลครั้งนั้นได้ หลังจากนั้น ได้มีการสถาปนาพระโอรสให้ปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ประกอบด้วย เจ้าอ้ายพระยา ครองเมืองสุพรรณบุรี เจ้ายี่พระยา ครองเมืองแพรกศรีราชา (เมืองสรรคบุรี) และเจ้าสามพระยา ครองเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก)[[#_ftn6|[6]]] | เมื่อสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์มีพระราชโอรสที่ปรากฏพระนาม 3 พระองค์ นั่นคือ เจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา และเจ้าสามพระยา ครั้นถึงปีจุลศักราช 781 กุญศก[[#_ftn4|[4]]] ตรงกับ พ.ศ. 1962 พระมหาธรรมราชาผู้ครองเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก) สิ้นพระชนม์ลง ส่งผลให้หัวเมืองฝ่ายเหนือเกิดการจลาจล สมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) จึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปถึงเมืองพระบาง[[#_ftn5|[5]]] และสามารถระงับจลาจลครั้งนั้นได้ หลังจากนั้น ได้มีการสถาปนาพระโอรสให้ปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ประกอบด้วย เจ้าอ้ายพระยา ครองเมืองสุพรรณบุรี เจ้ายี่พระยา ครองเมืองแพรกศรีราชา (เมืองสรรคบุรี) และเจ้าสามพระยา ครองเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก)[[#_ftn6|[6]]] | ||
ต่อมาในปีจุลศักราช 786 มะโรงศก[[#_ftn7|[7]]] ตรงกับ พ.ศ. | ต่อมาในปีจุลศักราช 786 มะโรงศก[[#_ftn7|[7]]] ตรงกับ [[พ.ศ._1967_สมเด็จพระอินทราชาธิราช|พ.ศ._1967_สมเด็จพระอินทราชาธิราช]] ([[เจ้านครอินทร์|เจ้านครอินทร์]]) สิ้นพระชนม์ โดยไม่มีการแต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาท เมื่อข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) แพร่ออกไป ส่งผลให้เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา ต่างยกไพร่พลเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา เพื่อเตรียมตัวขึ้นครองราชย์ และทั้ง 2 กองทัพ ได้ทำการต่อสู้เพื่อแย่งชิงราชสมบัติกัน โดยกองทัพของเจ้าอ้ายพระยาตั้งอยู่ ณ ตำบลป่ามะพร้าว บริเวณวัดพลับพลาไชย ขณะที่กองทัพของเจ้ายี่พระยาตั้งอยู่ ณ วัดไชยภูมิ เมื่อทั้ง 2 กองทัพเข้าประจัญบานกัน ช้างต้นของเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยามาปะทะกันที่เชิงสะพานป่าถ่าน และทั้ง 2 พระองค์ ต่างต้องพระแสงของ้าวขาดคอช้างสิ้นพระชนม์ด้วยกัน[[#_ftn8|[8]]] ดังนั้น มุขมนตรีจึงหารือกัน และนำความไปกราบบังคมทูลเจ้าพระยา แล้วถวายราชสมบัติให้ครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามว่า “[[สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า|สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า]]”[[#_ftn9|[9]]] หรือที่เรียกกันภายหลังว่า “'''สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่_2'''” ครองราชย์ในปี พ.ศ. 1967 จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 1991 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 24 ปี[[#_ftn10|[10]]] | ||
| | ||
บรรทัดที่ 28: | บรรทัดที่ 28: | ||
<u>พระราชกรณียกิจที่สำคัญ</u> | <u>พระราชกรณียกิจที่สำคัญ</u> | ||
| ในรัชกาล'''สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่_2''' ([[เจ้าสามพระยา|เจ้าสามพระยา]]) สามารถนำความร่มเย็นมาสู่แผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏในบันทึกของฟาน ฟลีต (วัน วลิต) ว่า | ||
'''''“พระองค์ทรงเป็นนักเสรีนิยม ทรงสร้างและบูรณะวัดหลายแห่ง<br/> ทรงให้ความช่วยเหลือทั้งพระและคนยากจน<br/> พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มีความเมตตามากที่สุดเท่าที่ประเทศสยามเคยมี”[[#_ftn11|[11]]]''''' | '''''“พระองค์ทรงเป็นนักเสรีนิยม ทรงสร้างและบูรณะวัดหลายแห่ง<br/> ทรงให้ความช่วยเหลือทั้งพระและคนยากจน<br/> พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มีความเมตตามากที่สุดเท่าที่ประเทศสยามเคยมี”[[#_ftn11|[11]]]''''' | ||
ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จึงเป็นช่วงเวลาที่มีการก่อร่างสร้างความมั่นคงให้กับกรุงศรีอยุธยา | ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จึงเป็นช่วงเวลาที่มีการก่อร่างสร้างความมั่นคงให้กับกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็น[[ความมั่นคงทั้งในทางของโครงสร้างอำนาจ|ความมั่นคงทั้งในทางของโครงสร้างอำนาจ]]ทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนมีการสร้าง[[ความมั่นคงในการสถาปนาวัฒนธรรมราชสำนักของกรุงศรีอยุธยา|ความมั่นคงในการสถาปนาวัฒนธรรมราชสำนักของกรุงศรีอยุธยา]] นอกจากนี้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ยังมีส่วนสำคัญในการบำรุงพระพุทธศาสนาให้สถาวรยิ่งขึ้น ในการนี้ สามารถแบ่งพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ออกเป็นด้านต่าง ๆ เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยแบ่งออกเป็น “[[พระราชกรณียกิจด้านศาสนา|พระราชกรณียกิจด้านศาสนา]]” “[[พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายใน|พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายใน]]” “[[พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายนอก|พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายนอก]]” และ “[[พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมราชสำนัก|พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมราชสำนัก]]” | ||
| “[[พระราชกรณียกิจด้านศาสนา|พระราชกรณียกิจด้านศาสนา]]” ในเริ่มต้นของรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) นั้น แต่เดิมยังไม่มีธรรมเนียมการบรรจุพระศพลงในโกศ ตลอดจนยังไม่มีพระราชพิธีการถวายพระเพลิงบนพระเมรุมาศ ดังนั้น เมื่อเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาสิ้นพระชนม์[[#_ftn12|[12]]] จึงได้ฝังพระศพไว้ เพื่อรอวันถวายพระเพลิงบนเชิงตะกอน และเมื่อเจ้าสามพระยาเถลิงราชสมบัติขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เรียบร้อยแล้ว จึงได้ได้โปรดให้ขุดพระศพของพระเชษฐาธิราชทั้ง 2 พระองค์ขึ้นมา และให้มีการถวายพระเพลิง จากนั้นได้มีพระราชดำริให้ยกที่บริเวณถวายพระเพลิงสถาปนาพระมหาสถูปและพระวิหาร เป็นพระอาราม แล้วให้นามชื่อว่า “[[วัดราชบูรณะ|วัดราชบูรณะ]]”[[#_ftn13|[13]]] และให้ก่อพระเจดีย์ 2 องค์ ขึ้นที่เชิงสะพานป่าถ่าน บริเวณด้านตะวันออกเฉียงใต้ของวัดราชบูรณะ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พระเชษฐาธิราช[[#_ftn14|[14]]] | ||
สำหรับวัดราชบูรณะนั้น เป็นวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากห่างจากพระราชวังไม่มากนัก อีกทั้งยังมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดมหาธาตุ | สำหรับวัดราชบูรณะนั้น เป็นวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากห่างจากพระราชวังไม่มากนัก อีกทั้งยังมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดมหาธาตุ ซึ่งสร้างในสมัย[[พระบรมราชาธิราชที่_1|พระบรมราชาธิราชที่_1]] ([[ขุนหลวงพะงั่ว|ขุนหลวงพะงั่ว]]) โดยสร้างตามแบบคติความเชื่อจักรวาลไตรภูมิ มีพระปรางค์ประธานเป็นศูนย์กลาง รายล้อมด้วยระเบียงคด และมีพระวิหารวางแนวตะวันออก-ตะวันตก สำหรับพระปรางค์ประธานนั้น ภายในมี “กรุ” โดยกรุที่มีการค้นพบในพระปรางค์ประธานมีด้วยกัน 2 กรุ ซึ่งภายในบรรจุพระบรมสารริกธาตุ พระพุทะรูปศิลปะอยุธยา พระแสงขรรค์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องประดับทองคำของพระมหากษัตริย์ไว้มากมาย[[#_ftn15|[15]]] | ||
นอกจากนี้ในปีจุลศักราช 800 มะเมียศก[[#_ftn16|[16]]] ตรงกับ พ.ศ. 1981 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) โปรดให้มีการสร้าง | นอกจากนี้ในปีจุลศักราช 800 มะเมียศก[[#_ftn16|[16]]] ตรงกับ พ.ศ. 1981 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) โปรดให้มีการสร้าง “[[วัดมเหยงคณ์|วัดมเหยงคณ์]]” ขึ้น ในเมืองอโยธยาเก่า ซึ่งอยู่ทางเหนือของกรุงศรีอยุธยา[[#_ftn17|[17]]] รูปแบบสำคัญของวัดมเหยงคณ์คือการสร้างเจดีย์ทรงลังกาและมีช้างล้อม ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสำคัญของศิลปะแบบสุโขทัย ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนี้พระราชวงศ์สุพรรณภูมิเริ่มผนวกรวมกับพระราชวงศ์พระร่วง และมีการรับศิลปกรรมของสุโขทัยเข้ามาในช่วงเวลานี้[[#_ftn18|[18]]] | ||
“[[พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายใน|พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายใน]]” สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะด้านความมั่นคงภายใน ซึ่งในช่วงรัชกาลของพระองค์นั้น เป็นช่วงเวลาที่สามารถรวม 3 พระราชวงศ์ เข้าด้วยกันอย่างเป็นเอกภาพ นั่นคือ “[[สุพรรณภูมิ-อู่ทอง-พระร่วง|สุพรรณภูมิ-อู่ทอง-พระร่วง]]” ซึ่งแต่เดิมนั้น ปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดทุกรัชกาลก่อนหน้า เนื่องจากการสถาปนากรุงศรีอยุธยานั้น มาจากการรวมกันของ 2 พระราชวงศ์ นั่นคือ พระราชวงศ์อู่ทอง ซึ่งมาจาก[[ฝ่ายละโว้|ฝ่ายละโว้]] และ[[พระราชวงศ์สุพรรณภูมิ|พระราชวงศ์สุพรรณภูมิ]] ทาง[[ฝ่ายเมืองสุพรรณบุรี|ฝ่ายเมืองสุพรรณบุรี]][[#_ftn19|[19]]] และเมื่อถึงรัชสมัยของสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) ยังสามารถขยายอำนาจไปถึงเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก) จนสามารถส่งพระราชโอรส นั่นคือ เจ้าสามพระยาไปปกครองเมืองได้ กระทั่งเมื่อเจ้าสามพระยาขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พระองค์ได้สถาปนาพระอัครมเหสี 4 พระองค์ อันมาจาก 4 พระราชวงศ์ ประกอบด้วย [[พระราชวงศ์สุพรรณภูมิ|พระราชวงศ์สุพรรณภูมิ]] [[พระราชวงศ์พระร่วง|พระราชวงศ์พระร่วง]] [[พระราชวงศ์อู่ทอง|พระราชวงศ์อู่ทอง]] และ[[พระราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช|พระราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช]][[#_ftn20|[20]]] | |||
ดังนั้น เมื่อถึงปีจุลศักราช 825 มะแมศก[[#_ftn21|[21]]] ตรงกับ พ.ศ. 2006 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ที่ประสูติกับพระอัครมเหสีจากพระราชวงศ์พระร่วงได้เสด็จไปครองเมืองชัยนาท (พิษณุโลก) โดยอ้างสิทธิในพระราชวงศ์พระร่วง ซึ่งถือเป็นการปิดฉากอำนาจของพระราชวงศ์พระร่วงและอาณาจักรสุโขทัยอย่างเป็นทางการ กล่าวได้ว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เริ่มธรรมเนียมการอภิเษกพระมเหสีจาก 4 พระราชวงศ์ ซึ่งส่งผลให้อำนาจของพระราชวงศ์สุพรรณภูมิมั่นคงยาวนานจนถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2112[[#_ftn22|[22]]] | ดังนั้น เมื่อถึงปีจุลศักราช 825 มะแมศก[[#_ftn21|[21]]] ตรงกับ พ.ศ. 2006 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ที่ประสูติกับพระอัครมเหสีจากพระราชวงศ์พระร่วงได้เสด็จไปครองเมืองชัยนาท (พิษณุโลก) โดยอ้างสิทธิในพระราชวงศ์พระร่วง ซึ่งถือเป็นการปิดฉากอำนาจของพระราชวงศ์พระร่วงและอาณาจักรสุโขทัยอย่างเป็นทางการ กล่าวได้ว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เริ่มธรรมเนียมการอภิเษกพระมเหสีจาก 4 พระราชวงศ์ ซึ่งส่งผลให้อำนาจของพระราชวงศ์สุพรรณภูมิมั่นคงยาวนานจนถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2112[[#_ftn22|[22]]] | ||
“[[พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายนอก|พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายนอก]]” ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้แผ่พระราชอำนาจออกไปยังดินแดนด้านตะวันออก นั่นคือ อาณาจักรเขมร โดยได้ยกทัพไปตีเมืองพระนครหลวง ของเขมร ในปี พ.ศ. 1974 และให้พระราชโอรส คือ พระนครอินทร์เจ้าขึ้นเสวยราชสมบัติในเมืองพระนครหลวง และให้กวาดต้อน[[พระยาแก้ว|พระยาแก้ว]] และ[[พระยาไทย|พระยาไทย]] พร้อมเชลยชาวเขมรมายังกรุงศรีอยุธยา[[#_ftn23|[23]]] ชัยชนะของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้อาณาจักรเขมรต้องย้ายศูนย์กลางไปอยู่ที่[[เมืองปาสาน|เมืองปาสาน]] [[เมืองละแวก|เมืองละแวก]] [[เมืองอุดงมีไชย|เมืองอุดงมีไชย]] และ[[เมืองพนมเปญ|เมืองพนมเปญ]]ในที่สุด เพื่อให้ห่างจากการโจมตีของกรุงศรีอยุธยา ขณะเดียวกันก็ทำให้อาณาจักรเขมรไม่ยกทัพมารุกรานกรุงศรีอยุธยาประมาณ 100 ปี[[#_ftn24|[24]]] | |||
นอกจากนี้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้เสด็จยกทัพหลวงไปตีเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1985 แต่ไม่สามารถตีเอาเมืองเชียงใหม่ได้ เนื่องจากสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ทรงประชวร จึงต้องยกทัพหลวงกลับมายังกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในปี พ.ศ. 1987 ได้เสด็จยกทัพหลวงไปตีเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง และไม่สามารถตีเมืองเชียงใหม่ได้อีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ทัพหลวงของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) สามารถกวาดต้อนเชลยชาวล้านนามายังกรุงศรีอยุธยาได้จำนวนมาก[[#_ftn25|[25]]] | นอกจากนี้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้เสด็จยกทัพหลวงไปตีเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1985 แต่ไม่สามารถตีเอาเมืองเชียงใหม่ได้ เนื่องจากสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ทรงประชวร จึงต้องยกทัพหลวงกลับมายังกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในปี พ.ศ. 1987 ได้เสด็จยกทัพหลวงไปตีเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง และไม่สามารถตีเมืองเชียงใหม่ได้อีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ทัพหลวงของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) สามารถกวาดต้อนเชลยชาวล้านนามายังกรุงศรีอยุธยาได้จำนวนมาก[[#_ftn25|[25]]] | ||
“[[พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมราชสำนัก|พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมราชสำนัก]]” สามารถวัฒนธรรมราชสำนักของกรุงศรีอยุธยาขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้รับอิทธิพลจากอาณาสุโขทัย เมื่อครั้งครองเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก) อันเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรสุโขทัยในช่วงเวลานั้น ดังนั้น จึงได้รับเอา[[ศิลปะแบบสุโขทัยเข้าไปในกรุงศรีอยุธยา|ศิลปะแบบสุโขทัยเข้าไปในกรุงศรีอยุธยา]] อาทิเช่น การสร้างเจดีย์ทรงลังกาแบบมีช้างล้อม ณ [[วัดมเหยงคณ์|วัดมเหยงคณ์]] เป็นต้น[[#_ftn26|[26]]] ขณะเดียวกัน เมื่อเสวยราชสมบัติแล้ว สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้บุกไปโจมตีเมืองพระนครหลวงของอาณาจักรเขมร ส่งผลให้รับเอาศิลปะแบบเขมรเข้ามาในกรุงศรีอยุธยาด้วยเช่นกัน ดังที่ปรากฏ ณ [[วัดมหาธาตุ|วัดมหาธาตุ]] [[วัดราชบูรณะ|วัดราชบูรณะ]] และ[[วัดพระศรีสรรเพชญ์|วัดพระศรีสรรเพชญ์]][[#_ftn27|[27]]] นอกจากนี้ในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เกิดไฟไหม้พระราชมณเฑียร และพระที่นั่งตรีมุข ในปี พ.ศ. 1983 และปี พ.ศ. 1984[[#_ftn28|[28]]] และได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่ จึงได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบเขมรไปด้วยเช่นกัน | |||
นอกจากด้านศิลปกรรมแล้ว ยังมีการรับเอาแนวคิดด้าน | นอกจากด้านศิลปกรรมแล้ว ยังมีการรับเอาแนวคิดด้าน “[[เทวราชา|เทวราชา]]” จากอาณาจักรเขมรเข้ามาอีกด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เริ่มมีการใช้คำราชาศัพท์อย่างแพร่หลายยิ่งกว่าในสมัยก่อนหน้า และทำให้ราชสำนักกรุงศรีอยุธยามีภาษาหลัก 2 ภาษา นั่นคือ ภาษาไทย และภาษาเขมร ตลอดจนการจัดพิธีกรรมเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น[[#_ftn29|[29]]] | ||
| | ||
บรรทัดที่ 56: | บรรทัดที่ 56: | ||
<u>บรรณานุกรม</u> | <u>บรรณานุกรม</u> | ||
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, '''พระนครศรีอยุธยา : มรดกโลก''', (กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์, 2543). | การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, '''พระนครศรีอยุธยา : มรดกโลก''', (กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์, 2543). | ||
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, '''อยุธยา : Discovering Ayutthaya''', (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำรา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2546). | ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, '''อยุธยา : Discovering Ayutthaya''', (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำรา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2546). | ||
พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), '''พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม 1''', (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา,2541). | พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), '''พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม 1''', (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา,2541). | ||
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม, '''โคลงภาพพระราชพงศาวดาร''', (กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2526). | พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม, '''โคลงภาพพระราชพงศาวดาร''', (กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2526). | ||
พระบริหารเทพธานี, '''พงศาวดารชาติไทย สมัยศรีอยุธยา ภาคแรก''', (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บพิธ, 2514). | พระบริหารเทพธานี, '''พงศาวดารชาติไทย สมัยศรีอยุธยา ภาคแรก''', (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บพิธ, 2514). | ||
พันจันทนุมาศ (เจิม), '''พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา''', (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คลังวิทยา, 2507). | พันจันทนุมาศ (เจิม), '''พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา''', (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คลังวิทยา, 2507). | ||
ฟาน ฟลีต (นันทา วรเนติวงศ์ และ วนาศรี สามนเสน แปล), '''รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟาน ฟลีต (วัน วลิต)''', (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2548). | ฟาน ฟลีต (นันทา วรเนติวงศ์ และ วนาศรี สามนเสน แปล), '''รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟาน ฟลีต (วัน วลิต)''', (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2548). | ||
ศรีศักร วัลลิโภดม, '''กรุงศรีอยุธยาของเรา''', (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2546). | ศรีศักร วัลลิโภดม, '''กรุงศรีอยุธยาของเรา''', (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2546). | ||
สมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว), '''พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ภาษามคธ แล คำแปล กับจุลยุทธการวงศ์ผูก 2 เรื่องพงศาวดารไทย''', (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2550). | สมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว), '''พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ภาษามคธ แล คำแปล กับจุลยุทธการวงศ์ผูก 2 เรื่องพงศาวดารไทย''', (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2550). | ||
หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, '''พระราชพงศาวดาร กรุงเก่า''', (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2540). | หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, '''พระราชพงศาวดาร กรุงเก่า''', (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2540). | ||
| | ||
<div><u>อ้างอิง</u> <div id="ftn1"> | <div><u>อ้างอิง</u> <div id="ftn1"> | ||
[[#_ftnref1|[1]]] พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม, โคลงภาพพระราชพงศาวดาร, (กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2526), น. 9. | [[#_ftnref1|[1]]] พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม, โคลงภาพพระราชพงศาวดาร, (กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2526), น. 9. | ||
</div> <div id="ftn2"> | </div> <div id="ftn2"> | ||
[[#_ftnref2|[2]]] สมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว), พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ภาษามคธ แล คำแปล กับจุลยุทธการวงศ์ ผูก 2 เรื่องพงศาวดารไทย, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2550), น. 29. | [[#_ftnref2|[2]]] สมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว), พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ภาษามคธ แล คำแปล กับจุลยุทธการวงศ์ ผูก 2 เรื่องพงศาวดารไทย, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2550), น. 29. | ||
</div> <div id="ftn3"> | </div> <div id="ftn3"> | ||
[[#_ftnref3|[3]]] พระบริหารเทพธานี, พงศาวดารชาติไทย สมัยศรีอยุธยา ภาคแรก, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บพิธ, 2514), น. 58. | [[#_ftnref3|[3]]] พระบริหารเทพธานี, พงศาวดารชาติไทย สมัยศรีอยุธยา ภาคแรก, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บพิธ, 2514), น. 58. | ||
</div> <div id="ftn4"> | </div> <div id="ftn4"> | ||
[[#_ftnref4|[4]]] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, พระราชพงศาวดาร กรุงเก่า , (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2540), น. 3. | [[#_ftnref4|[4]]] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, พระราชพงศาวดาร กรุงเก่า , (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2540), น. 3. | ||
</div> <div id="ftn5"> | </div> <div id="ftn5"> | ||
[[#_ftnref5|[5]]] เพิ่งอ้าง. | [[#_ftnref5|[5]]] เพิ่งอ้าง. | ||
</div> <div id="ftn6"> | </div> <div id="ftn6"> | ||
[[#_ftnref6|[6]]] พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม 1, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2541), น. 10. | [[#_ftnref6|[6]]] พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม 1, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2541), น. 10. | ||
</div> <div id="ftn7"> | </div> <div id="ftn7"> | ||
[[#_ftnref7|[7]]] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, อ้างแล้ว, น. 3. | [[#_ftnref7|[7]]] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, อ้างแล้ว, น. 3. | ||
บรรทัดที่ 96: | บรรทัดที่ 96: | ||
[[#_ftnref9|[9]]] พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), อ้างแล้ว, น. 10. | [[#_ftnref9|[9]]] พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), อ้างแล้ว, น. 10. | ||
</div> <div id="ftn10"> | </div> <div id="ftn10"> | ||
[[#_ftnref10|[10]]] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา : Discovering Ayutthaya, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2546), น. 182. | [[#_ftnref10|[10]]] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา : Discovering Ayutthaya, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2546), น. 182. | ||
</div> <div id="ftn11"> | </div> <div id="ftn11"> | ||
[[#_ftnref11|[11]]] ฟาน ฟลีต (นันทา วรเนติวงศ์ และ วนาศรี สามนเสน แปล), รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟาน ฟลีต (วัน วลิต), (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2548), น. 187. | [[#_ftnref11|[11]]] ฟาน ฟลีต (นันทา วรเนติวงศ์ และ วนาศรี สามนเสน แปล), รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟาน ฟลีต (วัน วลิต), (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2548), น. 187. | ||
</div> <div id="ftn12"> | </div> <div id="ftn12"> | ||
[[#_ftnref12|[12]]] พระบริหารเทพธานี, อ้างแล้ว, น. 63. | [[#_ftnref12|[12]]] พระบริหารเทพธานี, อ้างแล้ว, น. 63. | ||
</div> <div id="ftn13"> | </div> <div id="ftn13"> | ||
[[#_ftnref13|[13]]] พันจันทนุมาศ (เจิม), พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คลังวิทยา, 2507), น. 11. | [[#_ftnref13|[13]]] พันจันทนุมาศ (เจิม), พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คลังวิทยา, 2507), น. 11. | ||
</div> <div id="ftn14"> | </div> <div id="ftn14"> | ||
[[#_ftnref14|[14]]] เพิ่งอ้าง. | [[#_ftnref14|[14]]] เพิ่งอ้าง. | ||
บรรทัดที่ 112: | บรรทัดที่ 112: | ||
[[#_ftnref17|[17]]] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อ้างแล้ว, น. 104-105. | [[#_ftnref17|[17]]] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อ้างแล้ว, น. 104-105. | ||
</div> <div id="ftn18"> | </div> <div id="ftn18"> | ||
[[#_ftnref18|[18]]] การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, พระนครศรีอยุธยา : มรดกโลก, (กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์, 2543), น. 108. | [[#_ftnref18|[18]]] การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, พระนครศรีอยุธยา : มรดกโลก, (กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์, 2543), น. 108. | ||
</div> <div id="ftn19"> | </div> <div id="ftn19"> | ||
[[#_ftnref19|[19]]] ศรีศักร วัลลิโภดม, กรุงศรีอยุธยาของเรา, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2546), น. 19. | [[#_ftnref19|[19]]] ศรีศักร วัลลิโภดม, กรุงศรีอยุธยาของเรา, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2546), น. 19. | ||
</div> <div id="ftn20"> | </div> <div id="ftn20"> | ||
[[#_ftnref20|[20]]] พระบริหารเทพธานี, อ้างแล้ว, น. 65. | [[#_ftnref20|[20]]] พระบริหารเทพธานี, อ้างแล้ว, น. 65. | ||
บรรทัดที่ 136: | บรรทัดที่ 136: | ||
[[#_ftnref29|[29]]] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อ้างแล้ว, น. 183-184. | [[#_ftnref29|[29]]] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อ้างแล้ว, น. 183-184. | ||
</div> </div> | </div> </div> | ||
[[Category: | | ||
[[Category:บุคคลสำคัญด้านอื่นๆ]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:48, 13 พฤศจิกายน 2561
ผู้เรียบเรียง : ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา)
๐ สององค์ทรงเงือดเงื้อ ง้าวขอ
สองฟาดสบสองสอ ขาดม้วย
สองบุญไม่มีภอ ผ่านภพ แลพ่อ
สองจึ่งสิ้นชีพด้วย บาปกี้กอบผล ฯ
๐ มนตรียินข่าวเจ้า มรณา
ต่างตริตรึกปฤกษา เสร็จแล้ว
เชิญพระบาทสามพระยา นุชนารถ น้องเฮย
มาครอบครองกรุงแก้ว ปกเผ้าเหล่าประชา ฯ
โคลงภาพพระราชพงศาวดาร[1]
“โคลงภาพพระราชพงศาวดาร” เกิดขึ้นจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ให้คัดสรรเหตุการณ์สำคัญเมื่อครั้งอดีตตามพระราชพงศาวดาร มาร้อยเรียงเป็นโคลงสี่สุภาพ และให้จิตรกรชื่อดังในสมัยนั้นเขียนภาพประกอบ เพื่อประดับไว้ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง และพระที่นั่งวโรภาษพิมาน ณ พระราชวังบางปะอิน ซึ่งเหตุการณ์สำคัญในโคลงภาพพระราชพงศาวดารเหตุการณ์หนึ่ง นั่นคือ “เจ้าอ้ายเจ้ายี่ชนช้าง” เพื่อแย่งชิงราชสมบัติกัน กระทั่งทั้ง 2 พระองค์ ต้องพระแสงของ้าวขาดคอช้างสิ้นพระชนม์ด้วยกัน ราชสมบัติของกรุงศรีอยุธยาจึงตกเป็นของ “เจ้าสามพระยา” พระอนุชา ได้เสด็จเถลิงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งกรุงศรีอยุธยา โดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) อยู่ในไอศูรยราชสมบัติระหว่างปี พ.ศ. 1967 – พ.ศ. 1991 รวมเวลาทั้งสิ้น 24 ปี ในรัชกาลของพระองค์นั้น มีส่วนสำคัญที่ทำให้อำนาจของกรุงศรีอยุธยามีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้น ทั้งอำนาจภายใน คือ อำนาจของพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ และอำนาจภายนอก คือ อำนาจของกรุงศรีอยุธยาที่สามารถแผ่ขยายไปทางตะวันออกยังเมืองพระนครหลวงของเขมร และแผ่ไปทางทิศเหนือยังเมืองสุโขทัยและเชียงใหม่ ขณะที่รัชกาลองค์ก่อน ๆ นั้น ยังไม่มีบทบาทในการขยายอำนาจของพระมหานครแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างชัดเจนเท่ากับรัชกาลของพระองค์เลย
พระราชประวัติ
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) ผู้สืบเชื้อสายในพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ และเป็นพระญาติวงศ์ในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว)[2] ซึ่งเดิมครองเมืองสุพรรณบุรี ผู้ร่วมกับพระราชวงศ์อู่ทองในการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ซึ่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ทรงเป็นต้นวงศ์ของพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ ขณะที่พงศาวดารฉบับพระบริหารเทพธานี อธิบายรายละเอียดไว้ว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) เป็นพระปิตุลา (ลุง) ในสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์)[3] ดังนั้น สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จึงมีศักดิ์เป็นหลานปู่ในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ต้นวงศ์แห่งพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ
เมื่อสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์มีพระราชโอรสที่ปรากฏพระนาม 3 พระองค์ นั่นคือ เจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา และเจ้าสามพระยา ครั้นถึงปีจุลศักราช 781 กุญศก[4] ตรงกับ พ.ศ. 1962 พระมหาธรรมราชาผู้ครองเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก) สิ้นพระชนม์ลง ส่งผลให้หัวเมืองฝ่ายเหนือเกิดการจลาจล สมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) จึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปถึงเมืองพระบาง[5] และสามารถระงับจลาจลครั้งนั้นได้ หลังจากนั้น ได้มีการสถาปนาพระโอรสให้ปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ประกอบด้วย เจ้าอ้ายพระยา ครองเมืองสุพรรณบุรี เจ้ายี่พระยา ครองเมืองแพรกศรีราชา (เมืองสรรคบุรี) และเจ้าสามพระยา ครองเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก)[6]
ต่อมาในปีจุลศักราช 786 มะโรงศก[7] ตรงกับ พ.ศ._1967_สมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) สิ้นพระชนม์ โดยไม่มีการแต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาท เมื่อข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) แพร่ออกไป ส่งผลให้เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา ต่างยกไพร่พลเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา เพื่อเตรียมตัวขึ้นครองราชย์ และทั้ง 2 กองทัพ ได้ทำการต่อสู้เพื่อแย่งชิงราชสมบัติกัน โดยกองทัพของเจ้าอ้ายพระยาตั้งอยู่ ณ ตำบลป่ามะพร้าว บริเวณวัดพลับพลาไชย ขณะที่กองทัพของเจ้ายี่พระยาตั้งอยู่ ณ วัดไชยภูมิ เมื่อทั้ง 2 กองทัพเข้าประจัญบานกัน ช้างต้นของเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยามาปะทะกันที่เชิงสะพานป่าถ่าน และทั้ง 2 พระองค์ ต่างต้องพระแสงของ้าวขาดคอช้างสิ้นพระชนม์ด้วยกัน[8] ดังนั้น มุขมนตรีจึงหารือกัน และนำความไปกราบบังคมทูลเจ้าพระยา แล้วถวายราชสมบัติให้ครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามว่า “สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า”[9] หรือที่เรียกกันภายหลังว่า “สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่_2” ครองราชย์ในปี พ.ศ. 1967 จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 1991 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 24 ปี[10]
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่_2 (เจ้าสามพระยา) สามารถนำความร่มเย็นมาสู่แผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏในบันทึกของฟาน ฟลีต (วัน วลิต) ว่า
“พระองค์ทรงเป็นนักเสรีนิยม ทรงสร้างและบูรณะวัดหลายแห่ง
ทรงให้ความช่วยเหลือทั้งพระและคนยากจน
พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มีความเมตตามากที่สุดเท่าที่ประเทศสยามเคยมี”[11]
ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จึงเป็นช่วงเวลาที่มีการก่อร่างสร้างความมั่นคงให้กับกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นความมั่นคงทั้งในทางของโครงสร้างอำนาจทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนมีการสร้างความมั่นคงในการสถาปนาวัฒนธรรมราชสำนักของกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ยังมีส่วนสำคัญในการบำรุงพระพุทธศาสนาให้สถาวรยิ่งขึ้น ในการนี้ สามารถแบ่งพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ออกเป็นด้านต่าง ๆ เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยแบ่งออกเป็น “พระราชกรณียกิจด้านศาสนา” “พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายใน” “พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายนอก” และ “พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมราชสำนัก”
“พระราชกรณียกิจด้านศาสนา” ในเริ่มต้นของรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) นั้น แต่เดิมยังไม่มีธรรมเนียมการบรรจุพระศพลงในโกศ ตลอดจนยังไม่มีพระราชพิธีการถวายพระเพลิงบนพระเมรุมาศ ดังนั้น เมื่อเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาสิ้นพระชนม์[12] จึงได้ฝังพระศพไว้ เพื่อรอวันถวายพระเพลิงบนเชิงตะกอน และเมื่อเจ้าสามพระยาเถลิงราชสมบัติขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เรียบร้อยแล้ว จึงได้ได้โปรดให้ขุดพระศพของพระเชษฐาธิราชทั้ง 2 พระองค์ขึ้นมา และให้มีการถวายพระเพลิง จากนั้นได้มีพระราชดำริให้ยกที่บริเวณถวายพระเพลิงสถาปนาพระมหาสถูปและพระวิหาร เป็นพระอาราม แล้วให้นามชื่อว่า “วัดราชบูรณะ”[13] และให้ก่อพระเจดีย์ 2 องค์ ขึ้นที่เชิงสะพานป่าถ่าน บริเวณด้านตะวันออกเฉียงใต้ของวัดราชบูรณะ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พระเชษฐาธิราช[14]
สำหรับวัดราชบูรณะนั้น เป็นวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากห่างจากพระราชวังไม่มากนัก อีกทั้งยังมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดมหาธาตุ ซึ่งสร้างในสมัยพระบรมราชาธิราชที่_1 (ขุนหลวงพะงั่ว) โดยสร้างตามแบบคติความเชื่อจักรวาลไตรภูมิ มีพระปรางค์ประธานเป็นศูนย์กลาง รายล้อมด้วยระเบียงคด และมีพระวิหารวางแนวตะวันออก-ตะวันตก สำหรับพระปรางค์ประธานนั้น ภายในมี “กรุ” โดยกรุที่มีการค้นพบในพระปรางค์ประธานมีด้วยกัน 2 กรุ ซึ่งภายในบรรจุพระบรมสารริกธาตุ พระพุทะรูปศิลปะอยุธยา พระแสงขรรค์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องประดับทองคำของพระมหากษัตริย์ไว้มากมาย[15]
นอกจากนี้ในปีจุลศักราช 800 มะเมียศก[16] ตรงกับ พ.ศ. 1981 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) โปรดให้มีการสร้าง “วัดมเหยงคณ์” ขึ้น ในเมืองอโยธยาเก่า ซึ่งอยู่ทางเหนือของกรุงศรีอยุธยา[17] รูปแบบสำคัญของวัดมเหยงคณ์คือการสร้างเจดีย์ทรงลังกาและมีช้างล้อม ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสำคัญของศิลปะแบบสุโขทัย ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนี้พระราชวงศ์สุพรรณภูมิเริ่มผนวกรวมกับพระราชวงศ์พระร่วง และมีการรับศิลปกรรมของสุโขทัยเข้ามาในช่วงเวลานี้[18]
“พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายใน” สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะด้านความมั่นคงภายใน ซึ่งในช่วงรัชกาลของพระองค์นั้น เป็นช่วงเวลาที่สามารถรวม 3 พระราชวงศ์ เข้าด้วยกันอย่างเป็นเอกภาพ นั่นคือ “สุพรรณภูมิ-อู่ทอง-พระร่วง” ซึ่งแต่เดิมนั้น ปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดทุกรัชกาลก่อนหน้า เนื่องจากการสถาปนากรุงศรีอยุธยานั้น มาจากการรวมกันของ 2 พระราชวงศ์ นั่นคือ พระราชวงศ์อู่ทอง ซึ่งมาจากฝ่ายละโว้ และพระราชวงศ์สุพรรณภูมิ ทางฝ่ายเมืองสุพรรณบุรี[19] และเมื่อถึงรัชสมัยของสมเด็จพระอินทราชาธิราช (เจ้านครอินทร์) ยังสามารถขยายอำนาจไปถึงเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก) จนสามารถส่งพระราชโอรส นั่นคือ เจ้าสามพระยาไปปกครองเมืองได้ กระทั่งเมื่อเจ้าสามพระยาขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พระองค์ได้สถาปนาพระอัครมเหสี 4 พระองค์ อันมาจาก 4 พระราชวงศ์ ประกอบด้วย พระราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระราชวงศ์พระร่วง พระราชวงศ์อู่ทอง และพระราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช[20]
ดังนั้น เมื่อถึงปีจุลศักราช 825 มะแมศก[21] ตรงกับ พ.ศ. 2006 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ที่ประสูติกับพระอัครมเหสีจากพระราชวงศ์พระร่วงได้เสด็จไปครองเมืองชัยนาท (พิษณุโลก) โดยอ้างสิทธิในพระราชวงศ์พระร่วง ซึ่งถือเป็นการปิดฉากอำนาจของพระราชวงศ์พระร่วงและอาณาจักรสุโขทัยอย่างเป็นทางการ กล่าวได้ว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เริ่มธรรมเนียมการอภิเษกพระมเหสีจาก 4 พระราชวงศ์ ซึ่งส่งผลให้อำนาจของพระราชวงศ์สุพรรณภูมิมั่นคงยาวนานจนถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2112[22]
“พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายนอก” ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้แผ่พระราชอำนาจออกไปยังดินแดนด้านตะวันออก นั่นคือ อาณาจักรเขมร โดยได้ยกทัพไปตีเมืองพระนครหลวง ของเขมร ในปี พ.ศ. 1974 และให้พระราชโอรส คือ พระนครอินทร์เจ้าขึ้นเสวยราชสมบัติในเมืองพระนครหลวง และให้กวาดต้อนพระยาแก้ว และพระยาไทย พร้อมเชลยชาวเขมรมายังกรุงศรีอยุธยา[23] ชัยชนะของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้อาณาจักรเขมรต้องย้ายศูนย์กลางไปอยู่ที่เมืองปาสาน เมืองละแวก เมืองอุดงมีไชย และเมืองพนมเปญในที่สุด เพื่อให้ห่างจากการโจมตีของกรุงศรีอยุธยา ขณะเดียวกันก็ทำให้อาณาจักรเขมรไม่ยกทัพมารุกรานกรุงศรีอยุธยาประมาณ 100 ปี[24]
นอกจากนี้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้เสด็จยกทัพหลวงไปตีเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1985 แต่ไม่สามารถตีเอาเมืองเชียงใหม่ได้ เนื่องจากสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ทรงประชวร จึงต้องยกทัพหลวงกลับมายังกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในปี พ.ศ. 1987 ได้เสด็จยกทัพหลวงไปตีเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง และไม่สามารถตีเมืองเชียงใหม่ได้อีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้ทัพหลวงของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) สามารถกวาดต้อนเชลยชาวล้านนามายังกรุงศรีอยุธยาได้จำนวนมาก[25]
“พระราชกรณียกิจด้านวัฒนธรรมราชสำนัก” สามารถวัฒนธรรมราชสำนักของกรุงศรีอยุธยาขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้รับอิทธิพลจากอาณาสุโขทัย เมื่อครั้งครองเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก) อันเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรสุโขทัยในช่วงเวลานั้น ดังนั้น จึงได้รับเอาศิลปะแบบสุโขทัยเข้าไปในกรุงศรีอยุธยา อาทิเช่น การสร้างเจดีย์ทรงลังกาแบบมีช้างล้อม ณ วัดมเหยงคณ์ เป็นต้น[26] ขณะเดียวกัน เมื่อเสวยราชสมบัติแล้ว สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้บุกไปโจมตีเมืองพระนครหลวงของอาณาจักรเขมร ส่งผลให้รับเอาศิลปะแบบเขมรเข้ามาในกรุงศรีอยุธยาด้วยเช่นกัน ดังที่ปรากฏ ณ วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดพระศรีสรรเพชญ์[27] นอกจากนี้ในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เกิดไฟไหม้พระราชมณเฑียร และพระที่นั่งตรีมุข ในปี พ.ศ. 1983 และปี พ.ศ. 1984[28] และได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่ จึงได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบเขมรไปด้วยเช่นกัน
นอกจากด้านศิลปกรรมแล้ว ยังมีการรับเอาแนวคิดด้าน “เทวราชา” จากอาณาจักรเขมรเข้ามาอีกด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เริ่มมีการใช้คำราชาศัพท์อย่างแพร่หลายยิ่งกว่าในสมัยก่อนหน้า และทำให้ราชสำนักกรุงศรีอยุธยามีภาษาหลัก 2 ภาษา นั่นคือ ภาษาไทย และภาษาเขมร ตลอดจนการจัดพิธีกรรมเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น[29]
บรรณานุกรม
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, พระนครศรีอยุธยา : มรดกโลก, (กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์, 2543).
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา : Discovering Ayutthaya, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำรา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2546).
พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม 1, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา,2541).
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม, โคลงภาพพระราชพงศาวดาร, (กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2526).
พระบริหารเทพธานี, พงศาวดารชาติไทย สมัยศรีอยุธยา ภาคแรก, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บพิธ, 2514).
พันจันทนุมาศ (เจิม), พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คลังวิทยา, 2507).
ฟาน ฟลีต (นันทา วรเนติวงศ์ และ วนาศรี สามนเสน แปล), รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟาน ฟลีต (วัน วลิต), (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2548).
ศรีศักร วัลลิโภดม, กรุงศรีอยุธยาของเรา, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2546).
สมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว), พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ภาษามคธ แล คำแปล กับจุลยุทธการวงศ์ผูก 2 เรื่องพงศาวดารไทย, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2550).
หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, พระราชพงศาวดาร กรุงเก่า, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2540).
[1] พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม, โคลงภาพพระราชพงศาวดาร, (กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2526), น. 9.
[2] สมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว), พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ภาษามคธ แล คำแปล กับจุลยุทธการวงศ์ ผูก 2 เรื่องพงศาวดารไทย, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2550), น. 29.
[3] พระบริหารเทพธานี, พงศาวดารชาติไทย สมัยศรีอยุธยา ภาคแรก, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บพิธ, 2514), น. 58.
[4] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, พระราชพงศาวดาร กรุงเก่า , (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2540), น. 3.
[5] เพิ่งอ้าง.
[6] พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม 1, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2541), น. 10.
[7] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, อ้างแล้ว, น. 3.
[8] พระบริหารเทพธานี, อ้างแล้ว, น. 63.
[9] พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), อ้างแล้ว, น. 10.
[10] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา : Discovering Ayutthaya, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2546), น. 182.
[11] ฟาน ฟลีต (นันทา วรเนติวงศ์ และ วนาศรี สามนเสน แปล), รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟาน ฟลีต (วัน วลิต), (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2548), น. 187.
[12] พระบริหารเทพธานี, อ้างแล้ว, น. 63.
[13] พันจันทนุมาศ (เจิม), พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คลังวิทยา, 2507), น. 11.
[14] เพิ่งอ้าง.
[15] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อ้างแล้ว, น. 86-87.
[16] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, อ้างแล้ว, น. 4.
[17] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อ้างแล้ว, น. 104-105.
[18] การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, พระนครศรีอยุธยา : มรดกโลก, (กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์, 2543), น. 108.
[19] ศรีศักร วัลลิโภดม, กรุงศรีอยุธยาของเรา, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2546), น. 19.
[20] พระบริหารเทพธานี, อ้างแล้ว, น. 65.
[21] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, อ้างแล้ว, น. 5.
[22] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อ้างแล้ว, น. 182.
[23] พระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), อ้างแล้ว, น. 11.
[24] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อ้างแล้ว, น. 183.
[25] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, อ้างแล้ว, น. 4.
[26] ศรีศักร วัลลิโภดม, น. 36.
[27] การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, อ้างแล้ว, น. 92-106.
[28] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์, อ้างแล้ว, น. 4.
[29] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อ้างแล้ว, น. 183-184.