ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สหศีนิมา"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
ในระยะเวลาที่กำลังสร้าง[[ศาลาเฉลิมกรุง]]ขึ้นนั้น สภาพเศรษฐกิจตกต่ำได้ส่งผลให้บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของเอกชนประสบภาวะขาดทุนและมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงได้พึ่งพระบารมีโดยการขายกิจการให้แก่[[บริษัท สหศีนิมา จำกัด]] ซึ่ง[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดตั้งขึ้นในปลาย พุทธศักราช ๒๔๗๔ โดยมีสำนักงานพระคลังข้างที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ | |||
พระราชทานชื่อว่า บริษัท สหศีนิมา จำกัด ซึ่งหมายถึง มีความแข็งแรงขึ้นร่วมกัน โดยทรงเลือกจากชื่อต่างๆ ที่พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) คิดถวาย | พระราชทานชื่อว่า บริษัท สหศีนิมา จำกัด ซึ่งหมายถึง มีความแข็งแรงขึ้นร่วมกัน โดยทรงเลือกจากชื่อต่างๆ ที่พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) คิดถวาย | ||
นอกจากการบริหารกิจการโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงแล้ว บริษัทสหศีนิมายังมีโรงภาพยนตร์ซึ่งปรับปรุงจากโรงภาพยนตร์ต่างๆ ในเครือ พระราชทานชื่อในทำนองเดียวกันกับศาลาเฉลิมกรุง ได้แก่ ศาลาเฉลิมบุรี หรือ โรงสิงคโปร์เดิม เฉลิมธานี หรือโรงนางเลิ้งเดิม เฉลิมเวียง เฉลิมนคร เฉลิมรัฐ ศาลาเฉลิมราษฎร์ | นอกจากการบริหารกิจการโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงแล้ว บริษัทสหศีนิมายังมีโรงภาพยนตร์ซึ่งปรับปรุงจากโรงภาพยนตร์ต่างๆ ในเครือ พระราชทานชื่อในทำนองเดียวกันกับศาลาเฉลิมกรุง ได้แก่ [[ศาลาเฉลิมบุรี]] หรือ โรงสิงคโปร์เดิม [[เฉลิมธานี]] หรือโรงนางเลิ้งเดิม [[เฉลิมเวียง]] [[เฉลิมนคร]] [[เฉลิมรัฐ]] [[ศาลาเฉลิมราษฎร์]] | ||
บริษัทสหศีนิมาจำกัด ดำเนินกิจการด้านภาพยนตร์เกือบจะครบวงจร คือ นำเข้า จัดฉาย จัดจำหน่าย เพียงแต่ไม่ได้ทำธุรกิจจัดสร้าง | บริษัทสหศีนิมาจำกัด ดำเนินกิจการด้านภาพยนตร์เกือบจะครบวงจร คือ นำเข้า จัดฉาย จัดจำหน่าย เพียงแต่ไม่ได้ทำธุรกิจจัดสร้าง หลัง[[สงครามโลกครั้งที่ ๒]] บทบาทของบริษัทลดลงไปเพราะบริษัทสร้างและจัดจำหน่ายภาพยนตร์รายใหญ่ๆของฮอลลีวู้ดได้เข้ามาตั้งสาขาของตนเองโดยตรงในกรุงเทพฯ ทั้งยังสร้างโรงภาพยนตร์ของตนเอง | ||
หลังสละราชสมบัติ รัฐบาลในขณะนั้นได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่องทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ยุบเลิกสำนักงานพระคลังข้างที่ แล้วตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้น บริษัท สหศีนิมา จำกัด จึงโอนมาสังกัดอยู่กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตั้งแต่บัดนั้น | หลังสละราชสมบัติ รัฐบาลในขณะนั้นได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่องทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ยุบเลิกสำนักงานพระคลังข้างที่ แล้วตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้น บริษัท สหศีนิมา จำกัด จึงโอนมาสังกัดอยู่กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตั้งแต่บัดนั้น |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 16:21, 9 กุมภาพันธ์ 2559
ในระยะเวลาที่กำลังสร้างศาลาเฉลิมกรุงขึ้นนั้น สภาพเศรษฐกิจตกต่ำได้ส่งผลให้บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของเอกชนประสบภาวะขาดทุนและมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงได้พึ่งพระบารมีโดยการขายกิจการให้แก่บริษัท สหศีนิมา จำกัด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดตั้งขึ้นในปลาย พุทธศักราช ๒๔๗๔ โดยมีสำนักงานพระคลังข้างที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
พระราชทานชื่อว่า บริษัท สหศีนิมา จำกัด ซึ่งหมายถึง มีความแข็งแรงขึ้นร่วมกัน โดยทรงเลือกจากชื่อต่างๆ ที่พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) คิดถวาย
นอกจากการบริหารกิจการโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงแล้ว บริษัทสหศีนิมายังมีโรงภาพยนตร์ซึ่งปรับปรุงจากโรงภาพยนตร์ต่างๆ ในเครือ พระราชทานชื่อในทำนองเดียวกันกับศาลาเฉลิมกรุง ได้แก่ ศาลาเฉลิมบุรี หรือ โรงสิงคโปร์เดิม เฉลิมธานี หรือโรงนางเลิ้งเดิม เฉลิมเวียง เฉลิมนคร เฉลิมรัฐ ศาลาเฉลิมราษฎร์
บริษัทสหศีนิมาจำกัด ดำเนินกิจการด้านภาพยนตร์เกือบจะครบวงจร คือ นำเข้า จัดฉาย จัดจำหน่าย เพียงแต่ไม่ได้ทำธุรกิจจัดสร้าง หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ บทบาทของบริษัทลดลงไปเพราะบริษัทสร้างและจัดจำหน่ายภาพยนตร์รายใหญ่ๆของฮอลลีวู้ดได้เข้ามาตั้งสาขาของตนเองโดยตรงในกรุงเทพฯ ทั้งยังสร้างโรงภาพยนตร์ของตนเอง
หลังสละราชสมบัติ รัฐบาลในขณะนั้นได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่องทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ยุบเลิกสำนักงานพระคลังข้างที่ แล้วตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้น บริษัท สหศีนิมา จำกัด จึงโอนมาสังกัดอยู่กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตั้งแต่บัดนั้น
ที่มา
บทสารคดี “ปกเกล้าธรรมราชา” สารคดีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ในวโรกาสครบ ๑๒๐ ปี แห่งวันพระบรมราชสมภพและเป็นบุคคลสำคัญของโลก โดยองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ประจำปี ๒๕๕๖