ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เหรียญที่ระลึกในงานยืนชิงช้า พ.ศ. 2470"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอ...
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 3 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 12: บรรทัดที่ 12:
== ประวัติความเป็นมา ==
== ประวัติความเป็นมา ==


ในงานพระราชพิธียืนชิงช้าหรือพระราชพิธีตรียัมปวาย พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลือกพระยาอิศระพัลลภ (สนิท  จารุจินดา) ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นพานทอง ผู้รั้งปลัดทูลฉลองกระทรวงวัง ให้เป็นพระยายืนชิงช้า การพระราชพิธีกำหนดไว้ในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2470 ในวโรกาสสำคัญเช่นนี้ คงเป็นธรรมเนียมนิยมที่จะสร้างเหรียญเพื่อเป็นที่ระลึกและเป็นเกียรติคุณให้แก่พระยายืนชิงช้าในปีนั้นๆ เนื่องจากโอกาสที่จะได้รับเลือกเป็นพระยายืนชิงช้ามีเพียงปีละครั้งเท่านั้น และจะหมุนเวียนกันไป  
ในงานพระราชพิธียืนชิงช้าหรือพระราชพิธีตรียัมปวาย พ.ศ. 2470 [[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลือกพระยาอิศระพัลลภ (สนิท  จารุจินดา) ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นพานทอง ผู้รั้งปลัดทูลฉลอง[[กระทรวงวัง]] ให้เป็นพระยายืนชิงช้า การพระราชพิธีกำหนดไว้ในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2470 ในวโรกาสสำคัญเช่นนี้ คงเป็นธรรมเนียมนิยมที่จะสร้างเหรียญเพื่อเป็นที่ระลึกและเป็นเกียรติคุณให้แก่พระยายืนชิงช้าในปีนั้นๆ เนื่องจากโอกาสที่จะได้รับเลือกเป็นพระยายืนชิงช้ามีเพียงปีละครั้งเท่านั้น และจะหมุนเวียนกันไป <ref>วิสันธนี โพธิสุนทร และประพิศ พงศ์มาศ, รายงานการวิจัย เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยเครื่องราชภัณฑ์และโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, เอกสารอัดสำเนา, ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า, 2547, หน้า 71.</ref>


พิธีตรียัมปวายหรือพิธีโล้ชิงช้านั้นคือ พิธีปีใหม่ของพราหมณ์ และเป็นพิธีอัญเชิญพระอิศวรมาเยี่ยมโลกเป็นเวลา 10 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 7 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันเสด็จลง และวันแรม 1 ค่ำ เป็นวันเสด็จกลับ ในระหว่างที่เสด็จอยู่ในโลกนี้ พราหมณ์จะต้องทำพิธีต้อนรับและรับรองพระอิศวรเป็นที่สนุกสนานครึกครื้น มีเทพยดามาเฝ้าประชุมกัน เป็นต้นว่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระนางคงคา ซึ่งพราหมณ์จะนำแผ่นจำลองมาไว้หน้าชมรม โลกบาลทั้ง 4 ก็มาโล้ชิงช้าถวาย พญานาคและเทพธิดาก็มารำเสนงพ่นน้ำ หรือสาดน้ำถวายเป็นการครึกครื้น มีผู้คนไปรับแจกข้าวตอก ข้าวเม่า ที่เหลือจากบวงสรวงสังเวยเพื่อเป็นสวัสดิมงคล
พิธีตรียัมปวายหรือพิธีโล้ชิงช้านั้นคือ พิธีปีใหม่ของพราหมณ์ และเป็นพิธีอัญเชิญพระอิศวรมาเยี่ยมโลกเป็นเวลา 10 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 7 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันเสด็จลง และวันแรม 1 ค่ำ เป็นวันเสด็จกลับ ในระหว่างที่เสด็จอยู่ในโลกนี้ พราหมณ์จะต้องทำพิธีต้อนรับและรับรองพระอิศวรเป็นที่สนุกสนานครึกครื้น มีเทพยดามาเฝ้าประชุมกัน เป็นต้นว่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระนางคงคา ซึ่งพราหมณ์จะนำแผ่นจำลองมาไว้หน้าชมรม โลกบาลทั้ง 4 ก็มาโล้ชิงช้าถวาย พญานาคและเทพธิดาก็มารำเสนงพ่นน้ำ หรือสาดน้ำถวายเป็นการครึกครื้น มีผู้คนไปรับแจกข้าวตอก ข้าวเม่า ที่เหลือจากบวงสรวงสังเวยเพื่อเป็นสวัสดิมงคล


ตามหลักฐานพบว่าพระราชพิธีนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แต่เดิมผู้ทำหน้าที่พระยายืนชิงช้านั้น คือ ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งเกษตราธิบดีแต่เพียงผู้เดียว จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้เปลี่ยนให้ข้าราชการผู้ใหญ่ที่ได้รับพระราชทานพานทองเป็นผู้ยืนชิงช้า หรือเป็นผู้ที่สมมุติว่าเป็นพระอิศวร และถือเป็นพระราชพิธีสืบต่อมา
ตามหลักฐานพบว่าพระราชพิธีนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แต่เดิมผู้ทำหน้าที่พระยายืนชิงช้านั้น คือ ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งเกษตราธิบดีแต่เพียงผู้เดียว จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้เปลี่ยนให้ข้าราชการผู้ใหญ่ที่ได้รับพระราชทานพานทองเป็นผู้ยืนชิงช้า หรือเป็นผู้ที่สมมุติว่าเป็นพระอิศวร และถือเป็นพระราชพิธีสืบต่อมา <ref>ประวัติเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ พระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย, อนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพ พระครูอัษฎาจารย์ (พราหมณ์ละมัย รัตนพราหมณ์), (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาฯ, 2531), หน้า 17.</ref>


==อ้างอิง==
==อ้างอิง==
<references/>
<references/>
[[หมวดหมู่:วัตถุชิ้นเอก]]
[[หมวดหมู่:วัตถุชิ้นเอก|หเหรียญที่ระลึกในงานยืนชิงช้า พ.ศ. 2470]]
[[หมวดหมู่:พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว|ห]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 16:47, 6 ตุลาคม 2554

ผู้เรียบเรียง พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


ลักษณะ

ทองแดง

1.6 X 2.4 เซนติเมตร

เป็นเหรียญรูปวงรี แบน ด้านหน้าเป็นรูปเสาชิงช้า ซึ่งหมายถึงขุนเขาทั้ง 2 ฝั่งของมหาสมุทร บนชิงช้ามีพระยายืนชิงช้า หรือนาลิวันนั่งหันหลังห้อยเท้าอยู่บนชิงช้า และพราหมณ์ที่ทำพิธีตามลำดับ ที่ขอบเหรียญมีข้อความเขียนตามโค้งของขอบเหรียญว่า ในงานยืนชิงช้า พ.ศ. ๒๔๗๐ ส่วนด้านหลังมีข้อความว่า พระยาอิศระพัลลภ

ประวัติความเป็นมา

ในงานพระราชพิธียืนชิงช้าหรือพระราชพิธีตรียัมปวาย พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลือกพระยาอิศระพัลลภ (สนิท จารุจินดา) ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นพานทอง ผู้รั้งปลัดทูลฉลองกระทรวงวัง ให้เป็นพระยายืนชิงช้า การพระราชพิธีกำหนดไว้ในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2470 ในวโรกาสสำคัญเช่นนี้ คงเป็นธรรมเนียมนิยมที่จะสร้างเหรียญเพื่อเป็นที่ระลึกและเป็นเกียรติคุณให้แก่พระยายืนชิงช้าในปีนั้นๆ เนื่องจากโอกาสที่จะได้รับเลือกเป็นพระยายืนชิงช้ามีเพียงปีละครั้งเท่านั้น และจะหมุนเวียนกันไป [1]

พิธีตรียัมปวายหรือพิธีโล้ชิงช้านั้นคือ พิธีปีใหม่ของพราหมณ์ และเป็นพิธีอัญเชิญพระอิศวรมาเยี่ยมโลกเป็นเวลา 10 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 7 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันเสด็จลง และวันแรม 1 ค่ำ เป็นวันเสด็จกลับ ในระหว่างที่เสด็จอยู่ในโลกนี้ พราหมณ์จะต้องทำพิธีต้อนรับและรับรองพระอิศวรเป็นที่สนุกสนานครึกครื้น มีเทพยดามาเฝ้าประชุมกัน เป็นต้นว่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระนางคงคา ซึ่งพราหมณ์จะนำแผ่นจำลองมาไว้หน้าชมรม โลกบาลทั้ง 4 ก็มาโล้ชิงช้าถวาย พญานาคและเทพธิดาก็มารำเสนงพ่นน้ำ หรือสาดน้ำถวายเป็นการครึกครื้น มีผู้คนไปรับแจกข้าวตอก ข้าวเม่า ที่เหลือจากบวงสรวงสังเวยเพื่อเป็นสวัสดิมงคล

ตามหลักฐานพบว่าพระราชพิธีนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แต่เดิมผู้ทำหน้าที่พระยายืนชิงช้านั้น คือ ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งเกษตราธิบดีแต่เพียงผู้เดียว จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้เปลี่ยนให้ข้าราชการผู้ใหญ่ที่ได้รับพระราชทานพานทองเป็นผู้ยืนชิงช้า หรือเป็นผู้ที่สมมุติว่าเป็นพระอิศวร และถือเป็นพระราชพิธีสืบต่อมา [2]

อ้างอิง

  1. วิสันธนี โพธิสุนทร และประพิศ พงศ์มาศ, รายงานการวิจัย เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยเครื่องราชภัณฑ์และโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, เอกสารอัดสำเนา, ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า, 2547, หน้า 71.
  2. ประวัติเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ พระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย, อนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพ พระครูอัษฎาจารย์ (พราหมณ์ละมัย รัตนพราหมณ์), (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาฯ, 2531), หน้า 17.