ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การยุบพรรคการเมือง"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Tora (คุย | ส่วนร่วม)
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 3 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
{{รอผู้ทรง}}
'''ผู้เรียบเรียง''' ชาย ไชยชิต


----
----
'''ผู้เรียบเรียง''' ชาย  ไชยชิต และ รศ.ดร. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


----
----


==บทนำ==
==บทนำ==
บรรทัดที่ 20: บรรทัดที่ 19:


:(5) ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 25 มาตรา 26 มาตรา 29 มาตรา 35 หรือ มาตรา 62
:(5) ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 25 มาตรา 26 มาตรา 29 มาตรา 35 หรือ มาตรา 62


==กรณีมีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรคการเมือง==
==กรณีมีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรคการเมือง==
พรรคการเมืองย่อมเลิกเมื่อมีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรคการเมือง เช่น พรรคการเมืองอาจกำหนดไว้ในข้อบังคับว่า พรรคย่อมเลิกไปเมื่อสมาชิกในพรรคเหลืออยู่ไม่ถึง 100 คน หรือกำหนดว่าพรรคย่อมสิ้นสุดลงเมื่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคออกเสียงให้เลิกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 4 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมดทุกประเภท แต่กฎหมายมิได้บังคับว่าพรรคการเมืองต้องกำหนดเหตุที่พรรคการเมืองต้องเลิกไว้ในข้อบังคับพรรคการเมืองเสมอไป พรรคการเมืองใดไม่ได้กำหนดข้อบังคับในลักษณะดังกล่าวไว้ การเลิกพรรคการเมืองย่อมเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้
พรรคการเมืองย่อมเลิกเมื่อมีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรคการเมือง เช่น พรรคการเมืองอาจกำหนดไว้ในข้อบังคับว่า พรรคย่อมเลิกไปเมื่อสมาชิกในพรรคเหลืออยู่ไม่ถึง 100 คน หรือกำหนดว่าพรรคย่อมสิ้นสุดลงเมื่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคออกเสียงให้เลิกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 4 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมดทุกประเภท แต่กฎหมายมิได้บังคับว่าพรรคการเมืองต้องกำหนดเหตุที่พรรคการเมืองต้องเลิกไว้ในข้อบังคับพรรคการเมืองเสมอไป พรรคการเมืองใดไม่ได้กำหนดข้อบังคับในลักษณะดังกล่าวไว้ การเลิกพรรคการเมืองย่อมเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้


==กรณีมีจำนวนสมาชิกเหลืออยู่ไม่ถึง 15 คน==
==กรณีมีจำนวนสมาชิกเหลืออยู่ไม่ถึง 15 คน==
เมื่อกฎหมายกำหนดจำนวนผู้ริเริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองไว้จำนวน 15 คน ดังนั้น เมื่อพรรคการเมืองใดเหลือสมาชิกไม่ถึง 15 คน ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ต้องเลิกพรรคการเมืองนั้นไป ทั้งนี้เหตุผลของการเลิกพรรคการเมืองในข้อนี้ก็เนื่องจากการมีจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยนั้น ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองดังกล่าว ไม่เป็นที่นิยมและไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมากเพียงพอที่จะดำเนินบทบาทในฐานะตัวแทนในเวทีการเมืองระดับชาติ
เมื่อกฎหมายกำหนดจำนวนผู้ริเริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองไว้จำนวน 15 คน ดังนั้น เมื่อพรรคการเมืองใดเหลือสมาชิกไม่ถึง 15 คน ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ต้องเลิกพรรคการเมืองนั้นไป ทั้งนี้เหตุผลของการเลิกพรรคการเมืองในข้อนี้ก็เนื่องจากการมีจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยนั้น ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองดังกล่าว ไม่เป็นที่นิยมและไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมากเพียงพอที่จะดำเนินบทบาทในฐานะตัวแทนในเวทีการเมืองระดับชาติ


==กรณีมีการยุบพรรคการเมืองไปรวมกับพรรคการเมืองอื่น==
==กรณีมีการยุบพรรคการเมืองไปรวมกับพรรคการเมืองอื่น==
บรรทัดที่ 38: บรรทัดที่ 34:
แม้กฎหมายจะให้เสรีภาพในการรวมตัวเป็นพรรคการเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการวางกลไกในการกำกับควบคุมการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองให้ดำเนินไปภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยกฎหมายได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและตัดสินสั่งยุบพรรคการเมืองได้ หากกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้  
แม้กฎหมายจะให้เสรีภาพในการรวมตัวเป็นพรรคการเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการวางกลไกในการกำกับควบคุมการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองให้ดำเนินไปภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยกฎหมายได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและตัดสินสั่งยุบพรรคการเมืองได้ หากกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้  


:'''ประการที่หนึ่ง''' กระทำการล้มล้างการปกครอง[[ระบอบประชาธิปไตย]]อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ  
:'''ประการที่หนึ่ง''' กระทำการล้มล้างการปกครอง[[ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข]] หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ  


:'''ประการที่สอง''' กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  
:'''ประการที่สอง''' กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  
บรรทัดที่ 52: บรรทัดที่ 48:
<p>(3) พรรคการเมืองรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดเพื่อดำเนินกิจการของพรรคการเมือง หรือดำเนินกิจการในทางการเมืองจากบุคคลบางจำพวกที่กฎหมายกำหนด
<p>(3) พรรคการเมืองรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดเพื่อดำเนินกิจการของพรรคการเมือง หรือดำเนินกิจการในทางการเมืองจากบุคคลบางจำพวกที่กฎหมายกำหนด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎหมายจะกำหนดให้[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]มีอำนาจหน้าที่ในการสั่งยุบพรรคการเมืองที่เข้าข่ายการกระทำความผิดดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกันแม้ว่าจะมีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็สามารถใช้ดุลยพินิจที่จะสั่งยุบหรือไม่ยุบพรรคการเมืองก็ได้หากเห็นว่ามีเหตุอันควร เช่น กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าพรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามจริง แต่เป็นการกระทำครั้งแรก และไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ศาลอาจไม่สั่งยุบพรรคการเมืองก็ได้</p>
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎหมายจะกำหนดให้[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]มีอำนาจหน้าที่ในการสั่งยุบพรรคการเมืองที่เข้าข่ายการกระทำความผิดดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกันแม้ว่าจะมีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็สามารถใช้ดุลยพินิจที่จะสั่งยุบหรือไม่ยุบพรรคการเมืองก็ได้หากเห็นว่ามีเหตุอันควร เช่น กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าพรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามจริง แต่เป็นการกระทำครั้งแรก และไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ศาลอาจไม่สั่งยุบพรรคการเมืองก็ได้</p>


==กรณีไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย==
==กรณีไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย==
บรรทัดที่ 66: บรรทัดที่ 61:


(5) ไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด  
(5) ไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด  


==ขั้นตอนในการเลิกหรือยุบพรรคการเมือง==
==ขั้นตอนในการเลิกหรือยุบพรรคการเมือง==
เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองพบว่าพรรคการเมืองหนึ่ง ๆ มีเหตุอันหนึ่งอันใดให้ต้องเลิกหรือยุบพรรคตามเงื่อนไขที่กล่าวมาข้างต้น นายทะเบียนจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภาย 15 วัน นับแต่วันที่มีเหตุปรากฎต่อนายทะเบียน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองตามคำร้องของนายทะเบียน ศาลรัฐธรรมนูญจึงดำเนินการวินิจฉัยออกคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองจะประการคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นใน[[ราชกิจจานุเบกษา]]
เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองพบว่าพรรคการเมืองหนึ่ง ๆ มีเหตุอันหนึ่งอันใดให้ต้องเลิกหรือยุบพรรคตามเงื่อนไขที่กล่าวมาข้างต้น นายทะเบียนจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภาย 15 วัน นับแต่วันที่มีเหตุปรากฎต่อนายทะเบียน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองตามคำร้องของนายทะเบียน ศาลรัฐธรรมนูญจึงดำเนินการวินิจฉัยออกคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองจะประการคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นใน[[ราชกิจจานุเบกษา]]


นอกจากการดำเนินการยื่นคำร้องให้มีการพิจารณายุบพรรคการเมืองโดยนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว การเสนอให้มีการพิจารณายุบพรรคการเมืองยังอาจดำเนินการได้ในอีกลักษณะหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียน หรือเมื่อนายทะเบียนได้รับแจ้งจากคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอันเข้าข่ายความผิดซึ่งเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้ นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องแจ้งต่อ[[อัยการสูงสุด]]พร้อมด้วยหลักฐาน ถ้าอัยการสูงสุดเห็นสมควรจึงยื่นคำร้องเพื่อให้[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าว ถ้าอัยการสูงสุดไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีผู้แทนจากนายทะเบียนและผู้แทนจากอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ในกรณีที่คณะทำงานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติเกี่ยวกับการดำเนินการยื่นคำร้องได้ นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจยื่นคำร้องเอง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องประกาศคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นในราชกิจจานุเบกษา  
นอกจากการดำเนินการยื่นคำร้องให้มีการพิจารณายุบพรรคการเมืองโดยนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว การเสนอให้มีการพิจารณายุบพรรคการเมืองยังอาจดำเนินการได้ในอีกลักษณะหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียน หรือเมื่อนายทะเบียนได้รับแจ้งจากคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอันเข้าข่ายความผิดซึ่งเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้ นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องแจ้งต่อ[[อัยการสูงสุด]]พร้อมด้วยหลักฐาน ถ้าอัยการสูงสุดเห็นสมควรจึงยื่นคำร้องเพื่อให้[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าว ถ้าอัยการสูงสุดไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีผู้แทนจากนายทะเบียนและผู้แทนจากอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ในกรณีที่คณะทำงานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติเกี่ยวกับการดำเนินการยื่นคำร้องได้ นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจยื่นคำร้องเอง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องประกาศคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นในราชกิจจานุเบกษา  


ในกรณีที่พรรคการเมืองเลิกหรือยุบอันเนื่องมาจากการกระทำที่เข้าข่ายละเมิดข้อห้ามของกฎหมาย หัวหน้าพรรคการเมืองดังกล่าวจะต้องส่งบัญชีและงบดุล รวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองเลิกหรือยุบ และให้[[สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน]]เป็นผู้ชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน ถ้าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินชำระบัญชีไม่เสร็จภายในเวลาดังกล่าว สามารถขอขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 6 เดือน
ในกรณีที่พรรคการเมืองเลิกหรือยุบอันเนื่องมาจากการกระทำที่เข้าข่ายละเมิดข้อห้ามของกฎหมาย หัวหน้าพรรคการเมืองดังกล่าวจะต้องส่งบัญชีและงบดุล รวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองเลิกหรือยุบ และให้[[สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน]]เป็นผู้ชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน ถ้าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินชำระบัญชีไม่เสร็จภายในเวลาดังกล่าว สามารถขอขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 6 เดือน


 
ในการชำระบัญชี เมื่อได้หักหนี้สินและค่าใช้จ่ายแล้ว พบว่ายังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใด ต้องโอนให้แก่[[องค์กรสาธารณกุศล]]ตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับพรรคการเมือง หากในข้อบังคับพรรคการเมืองไม่ได้ระบุไว้ ทรัพย์สินที่เหลือนั้นต้องตกเป็นของกองทุน อนึ่ง กฎหมายให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 22 หมวด 5 ว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัดมาใช้บังคับการชำระบัญชีของพรรคการเมืองโดยอนุโลม
ในการชำระบัญชี เมื่อได้หักหนี้สินและค่าใช้จ่ายแล้ว พบว่ายังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใด ต้องโอนให้แก่[[องค์กรสาธารณกุศล]]ตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับพรรคการเมือง หากในข้อบังคับพรรคการเมืองไม่ได้ระบุไว้ ทรัพย์สินที่เหลือนั้นต้องตกเป็นของกองทุน อนึ่ง กฎหมายให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ลักษณะ ๒๒ หมวด ว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัดมาใช้บังคับการชำระบัญชีของพรรคการเมืองโดยอนุโลม
 


สำหรับข้อห้ามเกี่ยวกับ[[กรรมการบริหารของพรรคการเมือง]]ที่ถูกยุบ ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องถูกยุบไปด้วยเหตุ ดังต่อไปนี้
สำหรับข้อห้ามเกี่ยวกับ[[กรรมการบริหารของพรรคการเมือง]]ที่ถูกยุบ ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องถูกยุบไปด้วยเหตุ ดังต่อไปนี้
บรรทัดที่ 95: บรรทัดที่ 85:
มานิตย์  จุมปา, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) เรื่อง ๑๓ พรรคการเมือง, กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๔๔
มานิตย์  จุมปา, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) เรื่อง ๑๓ พรรคการเมือง, กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๔๔


 
[[category:แนวคิดและการก่อตั้งพรรคการเมือง]]
[[category:แนวความคิดทางการเมืองเรื่องพรรคและระบบพรรคการเมือง]]
[[หมวดหมู่:ชาย ไชยชิต]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 11:02, 4 ตุลาคม 2554

ผู้เรียบเรียง ชาย ไชยชิต


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


บทนำ

เมื่อพรรคการเมืองที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว มีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดให้ต้องเลิกหรือยุบพรรคการเมืองนั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาเหตุของการร้องขอให้มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรเดียวที่มีอำนาจในการเลิกหรือยุบพรรคการเมือง ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ระบุเงื่อนไขอันเป็นเหตุให้ต้องมีการเลิกหรือยุบพรรคการเมือง ดังต่อไปนี้

(1) มีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรคการเมือง
(2) มีจำนวนสมาชิกเหลือไม่ถึง 15 คน
(3) มีการยุบพรรคการเมืองไปรวมกับพรรคการเมืองอื่นตามหมวด 5
(4) มีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมือง
(5) ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 25 มาตรา 26 มาตรา 29 มาตรา 35 หรือ มาตรา 62

กรณีมีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรคการเมือง

พรรคการเมืองย่อมเลิกเมื่อมีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรคการเมือง เช่น พรรคการเมืองอาจกำหนดไว้ในข้อบังคับว่า พรรคย่อมเลิกไปเมื่อสมาชิกในพรรคเหลืออยู่ไม่ถึง 100 คน หรือกำหนดว่าพรรคย่อมสิ้นสุดลงเมื่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคออกเสียงให้เลิกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 4 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมดทุกประเภท แต่กฎหมายมิได้บังคับว่าพรรคการเมืองต้องกำหนดเหตุที่พรรคการเมืองต้องเลิกไว้ในข้อบังคับพรรคการเมืองเสมอไป พรรคการเมืองใดไม่ได้กำหนดข้อบังคับในลักษณะดังกล่าวไว้ การเลิกพรรคการเมืองย่อมเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้

กรณีมีจำนวนสมาชิกเหลืออยู่ไม่ถึง 15 คน

เมื่อกฎหมายกำหนดจำนวนผู้ริเริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองไว้จำนวน 15 คน ดังนั้น เมื่อพรรคการเมืองใดเหลือสมาชิกไม่ถึง 15 คน ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ต้องเลิกพรรคการเมืองนั้นไป ทั้งนี้เหตุผลของการเลิกพรรคการเมืองในข้อนี้ก็เนื่องจากการมีจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยนั้น ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองดังกล่าว ไม่เป็นที่นิยมและไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมากเพียงพอที่จะดำเนินบทบาทในฐานะตัวแทนในเวทีการเมืองระดับชาติ

กรณีมีการยุบพรรคการเมืองไปรวมกับพรรคการเมืองอื่น

กรณีมีการรวมพรรคการเมืองเข้าด้วยกัน อาจจำแนกได้ 2 เงื่อนไข ได้แก่ เงื่อนไขแรก เป็นการรวมพรรคการเมืองหลายพรรคเข้าด้วยกัน เพื่อร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งเป็นเหตุให้พรรคการเมืองที่เข้ามารวมกันต้องเลิกไป และเงื่อนไขที่สอง เป็นการรวมพรรคการเมืองเข้ากับพรรคการเมืองอื่นที่เป็นหลัก ซึ่งทำให้พรรคการเมืองที่เข้ามารวมกับพรรคการเมืองหลักต้องเลิกไป โดยพรรคการเมืองหลักยังคงมีสภาพพรรคการเมืองอยู่

กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง

แม้กฎหมายจะให้เสรีภาพในการรวมตัวเป็นพรรคการเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการวางกลไกในการกำกับควบคุมการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองให้ดำเนินไปภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยกฎหมายได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและตัดสินสั่งยุบพรรคการเมืองได้ หากกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้

ประการที่หนึ่ง กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ประการที่สอง กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประการที่สาม กระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ประการที่สี่ กระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) พรรคการเมืองรับบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยโดยกำเนิดเข้าเป็นสมาชิกหรือดำรงตำแหน่งใด ๆ ในพรรคการเมือง หรือยอมให้กระทำการอย่างใดเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง

(2) พรรคการเมืองรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ใดเพื่อกระทำการหรือสนับสนุนการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน หรือกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการอันเป็นการทำลายทรัพยากรของประเทศ หรือเป็นการบั่นทอนสุขภาพอนามัยของประชาชน

(3) พรรคการเมืองรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดเพื่อดำเนินกิจการของพรรคการเมือง หรือดำเนินกิจการในทางการเมืองจากบุคคลบางจำพวกที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎหมายจะกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ในการสั่งยุบพรรคการเมืองที่เข้าข่ายการกระทำความผิดดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกันแม้ว่าจะมีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็สามารถใช้ดุลยพินิจที่จะสั่งยุบหรือไม่ยุบพรรคการเมืองก็ได้หากเห็นว่ามีเหตุอันควร เช่น กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าพรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามจริง แต่เป็นการกระทำครั้งแรก และไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ศาลอาจไม่สั่งยุบพรรคการเมืองก็ได้

กรณีไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย

เหตุในการเลิกหรือยุบพรรคการเมืองเกิดขึ้นในกรณีที่พรรคการเมืองไม่ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดในเรื่องต่อไปนี้

(1) เมื่อพรรคการเมืองได้รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง แล้วไม่ดำเนินการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง

(2) องค์ประกอบของที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองไม่ครบ

(3) ไม่หาสมาชิกให้ได้ 5,000 คน ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง

(4) ไม่จัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมือง

(5) ไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด

ขั้นตอนในการเลิกหรือยุบพรรคการเมือง

เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองพบว่าพรรคการเมืองหนึ่ง ๆ มีเหตุอันหนึ่งอันใดให้ต้องเลิกหรือยุบพรรคตามเงื่อนไขที่กล่าวมาข้างต้น นายทะเบียนจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภาย 15 วัน นับแต่วันที่มีเหตุปรากฎต่อนายทะเบียน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองตามคำร้องของนายทะเบียน ศาลรัฐธรรมนูญจึงดำเนินการวินิจฉัยออกคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองจะประการคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นในราชกิจจานุเบกษา

นอกจากการดำเนินการยื่นคำร้องให้มีการพิจารณายุบพรรคการเมืองโดยนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว การเสนอให้มีการพิจารณายุบพรรคการเมืองยังอาจดำเนินการได้ในอีกลักษณะหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียน หรือเมื่อนายทะเบียนได้รับแจ้งจากคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอันเข้าข่ายความผิดซึ่งเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้ นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องแจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐาน ถ้าอัยการสูงสุดเห็นสมควรจึงยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าว ถ้าอัยการสูงสุดไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีผู้แทนจากนายทะเบียนและผู้แทนจากอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ในกรณีที่คณะทำงานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติเกี่ยวกับการดำเนินการยื่นคำร้องได้ นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจยื่นคำร้องเอง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องประกาศคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นในราชกิจจานุเบกษา

ในกรณีที่พรรคการเมืองเลิกหรือยุบอันเนื่องมาจากการกระทำที่เข้าข่ายละเมิดข้อห้ามของกฎหมาย หัวหน้าพรรคการเมืองดังกล่าวจะต้องส่งบัญชีและงบดุล รวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองเลิกหรือยุบ และให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน ถ้าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินชำระบัญชีไม่เสร็จภายในเวลาดังกล่าว สามารถขอขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 6 เดือน

ในการชำระบัญชี เมื่อได้หักหนี้สินและค่าใช้จ่ายแล้ว พบว่ายังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใด ต้องโอนให้แก่องค์กรสาธารณกุศลตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับพรรคการเมือง หากในข้อบังคับพรรคการเมืองไม่ได้ระบุไว้ ทรัพย์สินที่เหลือนั้นต้องตกเป็นของกองทุน อนึ่ง กฎหมายให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 22 หมวด 5 ว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัดมาใช้บังคับการชำระบัญชีของพรรคการเมืองโดยอนุโลม

สำหรับข้อห้ามเกี่ยวกับกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบ ในกรณีที่พรรคการเมืองต้องถูกยุบไปด้วยเหตุ ดังต่อไปนี้

(1) ไม่จัดทำรายงานการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง

(2) ไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด

(3) กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง กฎหมายกำหนดห้ามผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบไป ไม่ให้มีสิทธิขอจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารของพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการขอจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ไม่ได้ ภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นต้องยุบไป


ที่มา

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑

มานิตย์ จุมปา, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) เรื่อง ๑๓ พรรคการเมือง, กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๔๔