ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ (policy transfer)"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 2 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 7: บรรทัดที่ 7:
'''<big>การถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ (policy transfer)</big>'''
'''<big>การถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ (policy transfer)</big>'''


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''การถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ''' ความหมายโดยทั่วไป หมายถึง ''กระบวนการที่องค์ความรู้เกี่ยวกับนโยบาย การจัดโครงสร้างการบริหาร สถาบัน และความคิดจากระบบการเมืองหนึ่งที่อาจเคยใช้ในอดีตหรือยังใช้ในปัจจุบันถูกนำไปใช้ในการพัฒนานโยบาย การจัดโครงสร้างการบริหาร สถาบัน และความคิดในอีกระบบการเมืองหนึ่ง นักนโยบายสาธารณะมักอาศัยการถ่ายโอนนโยบายเพื่อเป็นแนวทางของการทำความเข้าใจนโยบายที่ตนในใจหรือศึกษา''<sup>[1]</sup> แนวคิดการถ่ายโอนนโยบายบางด้านให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ระหว่างประเทศโดยเอาแนวทางและประสบการณ์จากประเทศหนึ่ง (หรือหลาย ๆ ประเทศ) ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินนโยบายเรื่องหนึ่ง ๆ มาปรับประยุกต์ใช้ในประเทศของตนเอง อย่างไรก็ตาม บางแนวคิดได้เสนอมุมมองตรงกันข้ามว่าการถ่ายโอนนโยบายสามารถเกิดภายในประเทศได้ด้วยเช่นกัน การถ่ายโอนนโยบายสามารถเป็นกระบวนการที่ความรู้เกี่ยวกับสถาบัน นโยบาย หรือระบบบริการสาธารณะจากภาคส่วนหนึ่งหรือระดับการอภิบาลหนึ่งถูกถ่ายโอนไปยังอีกภาคส่วนหรือระดับการอภิบาลที่แตกต่างกันก็ได้<sup>[2]</sup> กล่าวคือการถ่ายโอนนโยบายเปรียบเสมือนกับการเรียนรู้และการปรับประยุกต์ใช้นโยบายจากที่หนึ่งมาใช้ในบริบทเฉพาะของเวลาและสถานที่อีกที่หนึ่ง
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''การถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ''' ความหมายโดยทั่วไป หมายถึง กระบวนการที่องค์ความรู้เกี่ยวกับนโยบาย การจัดโครงสร้างการบริหาร สถาบัน และความคิดจากระบบการเมืองหนึ่งที่อาจเคยใช้ในอดีตหรือยังใช้ในปัจจุบันถูกนำไปใช้ในการพัฒนานโยบาย การจัดโครงสร้างการบริหาร สถาบัน และความคิดในอีกระบบการเมืองหนึ่ง นักนโยบายสาธารณะมักอาศัยการถ่ายโอนนโยบายเพื่อเป็นแนวทางของการทำความเข้าใจนโยบายที่ตนในใจหรือศึกษา<sup>[1]</sup> แนวคิดการถ่ายโอนนโยบายบางด้านให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ระหว่างประเทศโดยเอาแนวทางและประสบการณ์จากประเทศหนึ่ง (หรือหลาย ๆ ประเทศ) ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินนโยบายเรื่องหนึ่ง ๆ มาปรับประยุกต์ใช้ในประเทศของตนเอง อย่างไรก็ตาม บางแนวคิดได้เสนอมุมมองตรงกันข้ามว่าการถ่ายโอนนโยบายสามารถเกิดภายในประเทศได้ด้วยเช่นกัน การถ่ายโอนนโยบายสามารถเป็นกระบวนการที่ความรู้เกี่ยวกับสถาบัน นโยบาย หรือระบบบริการสาธารณะจากภาคส่วนหนึ่งหรือระดับการอภิบาลหนึ่งถูกถ่ายโอนไปยังอีกภาคส่วนหรือระดับการอภิบาลที่แตกต่างกันก็ได้<sup>[2]</sup> กล่าวคือการถ่ายโอนนโยบายเปรียบเสมือนกับการเรียนรู้และการปรับประยุกต์ใช้นโยบายจากที่หนึ่งมาใช้ในบริบทเฉพาะของเวลาและสถานที่อีกที่หนึ่ง


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่าการถ่ายโอนนโยบายไม่ใช่ปรากฎการณ์ใหม่เพราะการเรียนรู้จากสถานที่หนึ่งมาปรับใช้ในอีกที่หนึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในประวัติศาสตร์การปกครองและการดำเนินนโยบายมาแต่โบราณ ตัวอย่างเช่น อาณาจักรจีนโบราณที่รับเอาความรู้ทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์มาใช้เป็นฐานการสร้างความชอบธรรมของการได้ ‘อาณัติจากสวรรค์’ ขององค์จักรพรรดิจีน การเมืองและโหราศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกขาดจากกัน สำนักโหราศาสตร์ของราชสำนักก็ว่าจ้างนักดาราศาสตร์จากจีนและอินเดียเข้ามาทำงาน ต่อมามีการนำเอาความรู้และเครื่องมือทางดาราศาสตร์จากโลกตะวันตกผ่านนักบวชเยซูอิตด้วย<sup>[3]</sup> แต่ด้วยสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถติดต่อสื่อสารและได้รับข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วมากกว่าแต่ในอดีตจนทำให้การถ่ายโอนนโยบายมีมากขึ้น นโยบายสาธารณะจำนวนมากที่พัฒนาขึ้นก็มาจากการถ่ายโอนนโยบาย ตัวอย่างเช่น การส่งเสริมและกำหนดแนวทางการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (health impact assessment: HIA) ของประเทศไทยก็ได้รับอิทธิพลจากการถ่ายโอนนโยบาย ผ่านข้อเสนอขององค์การระหว่างประเทศและข้อตกลงในระดับระหว่างประเทศหลายฉบับ เช่น กฎบัตรออตตาวาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ (Ottawa Charter for Health Promotion) คำประกาศจาการ์ตา เรื่อง การเสริมสร้างสุขภาพในศตวรรษที่ 21 (Jakarta Declaration on Leading Health Promotion into the 21<sup>st</sup> Century) และรายงานข้อตกลงกอเทนเบิร์ก (WHO Gothenburg Consensus Paper)<sup>[4]</sup>
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่าการถ่ายโอนนโยบายไม่ใช่ปรากฎการณ์ใหม่เพราะการเรียนรู้จากสถานที่หนึ่งมาปรับใช้ในอีกที่หนึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในประวัติศาสตร์การปกครองและการดำเนินนโยบายมาแต่โบราณ ตัวอย่างเช่น อาณาจักรจีนโบราณที่รับเอาความรู้ทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์มาใช้เป็นฐานการสร้างความชอบธรรมของการได้ ‘อาณัติจากสวรรค์’ ขององค์จักรพรรดิจีน การเมืองและโหราศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกขาดจากกัน สำนักโหราศาสตร์ของราชสำนักก็ว่าจ้างนักดาราศาสตร์จากจีนและอินเดียเข้ามาทำงาน ต่อมามีการนำเอาความรู้และเครื่องมือทางดาราศาสตร์จากโลกตะวันตกผ่านนักบวชเยซูอิตด้วย<sup>[3]</sup> แต่ด้วยสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถติดต่อสื่อสารและได้รับข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วมากกว่าแต่ในอดีตจนทำให้การถ่ายโอนนโยบายมีมากขึ้น นโยบายสาธารณะจำนวนมากที่พัฒนาขึ้นก็มาจากการถ่ายโอนนโยบาย ตัวอย่างเช่น การส่งเสริมและกำหนดแนวทางการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (health impact assessment: HIA) ของประเทศไทยก็ได้รับอิทธิพลจากการถ่ายโอนนโยบาย ผ่านข้อเสนอขององค์การระหว่างประเทศและข้อตกลงในระดับระหว่างประเทศหลายฉบับ เช่น กฎบัตรออตตาวาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ (Ottawa Charter for Health Promotion) คำประกาศจาการ์ตา เรื่อง การเสริมสร้างสุขภาพในศตวรรษที่ 21 (Jakarta Declaration on Leading Health Promotion into the 21<sup>st</sup> Century) และรายงานข้อตกลงกอเทนเบิร์ก (WHO Gothenburg Consensus Paper)<sup>[4]</sup>


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ดังนั้น กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการรับเอานโยบายสาธารณะจากประเทศต้นทางที่แตกต่างหลากหลายเพื่อมาปรับประยุกต์ใช้ในแต่ละประเทศแสดงให้เห็นถึงความแพร่หลายของการถ่ายโอนนโยบาย บทบาทของปัจเจกบุคคลและสถาบันในกระบวนการถ่ายโอนนโยบาย และความยากลำบากที่เกี่ยวข้องกับความพยายามนำเอากรณีเฉพาะของการถ่ายโอนนโยบายหนึ่งมาสู่นโยบายอีกประเภทหนึ่งซึ่งมาจากเหตุผล การตัดสินใจ และแรงกดดันที่แตกต่างกัน<sup>[5]</sup> จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ศึกษาในสหสาขาวิชาอย่างการเมืองเปรียบเทียบ นโยบายสาธารณะ สังคมวิทยาองค์การ และการศึกษาว่าด้วยการพัฒนาจึงเริ่มให้ความสนใจต่อกระบวนการถ่ายโอนนโยบายที่เกิดขึ้น แต่งานศึกษาในอดีตมีข้อจำกัดเนื่องจากไม่ได้ศึกษาและวิเคราะห์การถ่ายโอนอย่างเป็นระบบ แต่เน้นเพียงการบรรยายรายละเอียดของการถ่ายโอนแนวคิดหรือนโยบายที่เกิดระหว่างกัน<sup>[6]</sup> ทำให้การพัฒนากรอบแนวคิดการถ่ายโอนนโยบายจึงมีความจำเป็น
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ดังนั้น กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการรับเอานโยบายสาธารณะจากประเทศต้นทางที่แตกต่างหลากหลายเพื่อมาปรับประยุกต์ใช้ในแต่ละประเทศแสดงให้เห็นถึงความแพร่หลายของการถ่ายโอนนโยบาย บทบาทของปัจเจกบุคคลและสถาบันในกระบวนการถ่ายโอนนโยบาย และความยากลำบากที่เกี่ยวข้องกับความพยายามนำเอากรณีเฉพาะของการถ่ายโอนนโยบายหนึ่งมาสู่นโยบายอีกประเภทหนึ่งซึ่งมาจากเหตุผล การตัดสินใจ และแรงกดดันที่แตกต่างกัน<sup>[5]</sup> จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ศึกษาในสหสาขาวิชาอย่างการเมืองเปรียบเทียบ นโยบายสาธารณะ สังคมวิทยาองค์การ และการศึกษาว่าด้วยการพัฒนาจึงเริ่มให้ความสนใจต่อกระบวนการถ่ายโอนนโยบายที่เกิดขึ้น แต่งานศึกษาในอดีตมีข้อจำกัดเนื่องจากไม่ได้ศึกษาและวิเคราะห์การถ่ายโอนอย่างเป็นระบบ แต่เน้นเพียงการบรรยายรายละเอียดของการถ่ายโอนแนวคิดหรือนโยบายที่เกิดระหว่างกัน<sup>[6]</sup> ทำให้การพัฒนากรอบแนวคิดการถ่ายโอนนโยบายจึงมีความจำเป็น


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; องค์ความรู้การถ่ายโอนนโยบายมีรากจากการศึกษาการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะเปรียบเทียบ (comparative policy analysis) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มให้ความสนใจต่อการแพร่กระจายของนโยบาย (policy diffusion) เกี่ยวกับนวัตกรรมทางนโยบาย (policy innovation) ภายใน/ระหว่างมลรัฐและเมืองในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามแนวการวิเคราะห์แบบดั้งเดิมมีข้อบกพร่องจากการละเลยต่อความทวีคูณในกระบวนการถ่ายโอนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความแพร่หลายของกิจกรรม กล่าวคือ แนวคิดการแพร่กระจายของนโยบายยังมีข้อจำกัดในการนำเอาปัจจัยภายในระบบของประเทศอย่างพลวัตรของกลุ่มผลประโยชน์และการก่อร่างทางสังคมและประวัติศาสตร์ที่ส่งผลต่อระบอบการเมือง ทำให้แนวคิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นกลางและปราศจากการเมืองแต่ละเลยการเข้าใจเหตุผลทางสังคมเศรษฐกิจ พื้นที่ และประวัติศาสตร์ที่เข้าไปกำหนดแบบแผนของการประยุกต์ใช้นโยบาย<sup>[7]</sup> แม้ในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาแนวคิดบทเรียนฐานราก (lesson-drawing) ที่ให้ความสำคัญกับการนำเอานโยบายมาใช้โดยความสมัครใจโดยตัวแสดงที่มีเหตุมีผล (rational actors) ที่ปฏิบัติงานภายใต้บริบททางการเมืองเฉพาะ กล่าวคือตัวแสดงเหล่านี้เลือกรับเอานโยบายเนื่องจากการเกิดขึ้นของปัญหาหรือมาจากความไม่พอใจในสถานะของตัวแสดงที่เป็นอยู่ ทำให้พวกเขาพยายามหาแนวคิดใหม่ที่เป็นวิธีการที่ประหยัดสำหรับการแก้ไขปัญหาด้วยพวกเขามีเป้าหมายเชิงประเมินค่าอนาคตที่คาดหวัง (prospective evaluation) ว่าหากนำนโยบายจากที่หนึ่งมาใช้ยังผลประโยชน์อะไรในอนาคตบ้าง<sup>[8]</sup> อย่างไรก็ตามแนวคิดบทเรียนฐานรากก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการเน้นสมมติฐานบนฐานความเป็นเหตุผลและความสมัครใจของตัวแสดงในการนำเอานโยบายมาใช้ ต่อมานักวิชาการอย่าง David Dolowitz และ David Marsh ได้เสนอคำว่าการถ่ายโอนนโยบาย (policy transfer) เพื่อแสดงทั้งรูปแบบของความสมัครใจและการถูกบังคับของแนวปฏิบัติการถ่ายโอนนโยบาย เนื่องจากการถูกบังคับสามารถเกิดขึ้นได้โดยรัฐบาลหรือองค์กรข้ามชาติสามารถผลักดันหรือบังคับให้อีกฝ่ายปรับประยุกต์นวัตกรรมทางนโยบายได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะใช้คำว่าการแพร่กระจายของนโยบาย แนวคิดบทเรียนฐานราก หรือการถ่ายโอนนโยบายทั้งสามคำดังกล่าวจะให้ความสนใจต่อการศึกษาเรื่องการถ่ายโอนนโยบายด้วยกันทั้งสิ้น<sup>[9]</sup>   
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;องค์ความรู้การถ่ายโอนนโยบายมีรากจากการศึกษาการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะเปรียบเทียบ (comparative policy analysis) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มให้ความสนใจต่อการแพร่กระจายของนโยบาย (policy diffusion) เกี่ยวกับนวัตกรรมทางนโยบาย (policy innovation) ภายใน/ระหว่างมลรัฐและเมืองในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามแนวการวิเคราะห์แบบดั้งเดิมมีข้อบกพร่องจากการละเลยต่อความทวีคูณในกระบวนการถ่ายโอนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความแพร่หลายของกิจกรรม กล่าวคือ แนวคิดการแพร่กระจายของนโยบายยังมีข้อจำกัดในการนำเอาปัจจัยภายในระบบของประเทศอย่างพลวัตรของกลุ่มผลประโยชน์และการก่อร่างทางสังคมและประวัติศาสตร์ที่ส่งผลต่อระบอบการเมือง ทำให้แนวคิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นกลางและปราศจากการเมืองแต่ละเลยการเข้าใจเหตุผลทางสังคมเศรษฐกิจ พื้นที่ และประวัติศาสตร์ที่เข้าไปกำหนดแบบแผนของการประยุกต์ใช้นโยบาย<sup>[7]</sup> แม้ในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาแนวคิดบทเรียนฐานราก (lesson-drawing) ที่ให้ความสำคัญกับการนำเอานโยบายมาใช้โดยความสมัครใจโดยตัวแสดงที่มีเหตุมีผล (rational actors) ที่ปฏิบัติงานภายใต้บริบททางการเมืองเฉพาะ กล่าวคือตัวแสดงเหล่านี้เลือกรับเอานโยบายเนื่องจากการเกิดขึ้นของปัญหาหรือมาจากความไม่พอใจในสถานะของตัวแสดงที่เป็นอยู่ ทำให้พวกเขาพยายามหาแนวคิดใหม่ที่เป็นวิธีการที่ประหยัดสำหรับการแก้ไขปัญหาด้วยพวกเขามีเป้าหมายเชิงประเมินค่าอนาคตที่คาดหวัง (prospective evaluation) ว่าหากนำนโยบายจากที่หนึ่งมาใช้ยังผลประโยชน์อะไรในอนาคตบ้าง<sup>[8]</sup> อย่างไรก็ตามแนวคิดบทเรียนฐานรากก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการเน้นสมมติฐานบนฐานความเป็นเหตุผลและความสมัครใจของตัวแสดงในการนำเอานโยบายมาใช้ ต่อมานักวิชาการอย่าง David Dolowitz และ David Marsh ได้เสนอคำว่าการถ่ายโอนนโยบาย (policy transfer) เพื่อแสดงทั้งรูปแบบของความสมัครใจและการถูกบังคับของแนวปฏิบัติการถ่ายโอนนโยบาย เนื่องจากการถูกบังคับสามารถเกิดขึ้นได้โดยรัฐบาลหรือองค์กรข้ามชาติสามารถผลักดันหรือบังคับให้อีกฝ่ายปรับประยุกต์นวัตกรรมทางนโยบายได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะใช้คำว่าการแพร่กระจายของนโยบาย แนวคิดบทเรียนฐานราก หรือการถ่ายโอนนโยบายทั้งสามคำดังกล่าวจะให้ความสนใจต่อการศึกษาเรื่องการถ่ายโอนนโยบายด้วยกันทั้งสิ้น<sup>[9]</sup>   


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การทำความเข้าใจต่อการถ่ายโอนนโยบายสามารถกระทำผ่านรูปแบบการถ่ายโอนนโยบายระหว่าง''การถ่ายโอนแบบความสมัครใจ (voluntary transfer)'' และ''การถ่ายโอนแบบถูกบังคับ (coercive transfer)'' ที่เกิดขึ้นในระดับโครงการ นโยบาย หรือการจัดโครงสร้างเชิงสถาบันในระบบการเมืองหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากอีกระบบการเมืองหนึ่ง David Dolowitz และ David Marsh ได้เสนอตัวแบบจำลองการทำความเข้าใจรูปแบบการถ่ายโอนในลักษณะต่อเนื่อง (continuum) เพื่อเป็นเค้าโครงเบื้องต้นช่วยสำหรับการพิจารณาการถ่ายโอนอย่างเป็นระบบสำหรับการจัดประเภทของการถ่ายโอนเพื่อใช้ในการศึกษาเชิงประจักษ์ และช่วยในการทำความเข้าใจกระบวนการถ่ายโอนนโยบายที่อาจมีทั้งองค์ประกอบแบบสมัครใจและแบบบังคับในนโยบายหนึ่ง ซึ่งอาจเปลี่ยนไปในทางใดทางหนึ่งตามช่วงเวลาหรือเปลี่ยนไปตามหน่วย/สถาบันทางการเมืองที่แตกต่างกันภายในประเทศหรือระบอบการเมืองของประเทศเดียวกันก็ได้<sup>[10]</sup> ตามแผนภาพที่ 1                                                                           
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การทำความเข้าใจต่อการถ่ายโอนนโยบายสามารถกระทำผ่านรูปแบบการถ่ายโอนนโยบายระหว่าง''การถ่ายโอนแบบความสมัครใจ (voluntary transfer)'' และ''การถ่ายโอนแบบถูกบังคับ (coercive transfer)'' ที่เกิดขึ้นในระดับโครงการ นโยบาย หรือการจัดโครงสร้างเชิงสถาบันในระบบการเมืองหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากอีกระบบการเมืองหนึ่ง David Dolowitz และ David Marsh ได้เสนอตัวแบบจำลองการทำความเข้าใจรูปแบบการถ่ายโอนในลักษณะต่อเนื่อง (continuum) เพื่อเป็นเค้าโครงเบื้องต้นช่วยสำหรับการพิจารณาการถ่ายโอนอย่างเป็นระบบสำหรับการจัดประเภทของการถ่ายโอนเพื่อใช้ในการศึกษาเชิงประจักษ์ และช่วยในการทำความเข้าใจกระบวนการถ่ายโอนนโยบายที่อาจมีทั้งองค์ประกอบแบบสมัครใจและแบบบังคับในนโยบายหนึ่ง ซึ่งอาจเปลี่ยนไปในทางใดทางหนึ่งตามช่วงเวลาหรือเปลี่ยนไปตามหน่วย/สถาบันทางการเมืองที่แตกต่างกันภายในประเทศหรือระบอบการเมืองของประเทศเดียวกันก็ได้<sup>[10]</sup> ตามแผนภาพที่ 1                                                                           


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''แผนภาพที่ 1''' ''':''' ความต่อเนื่องในการถ่ายโอนนโยบาย
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;'''แผนภาพที่ 1''' ''':''' ความต่อเนื่องในการถ่ายโอนนโยบาย
[[ไฟล์:การถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ (policy transfer).jpg|center|frameless|792x792px]]
[[ไฟล์:การถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ (policy transfer).jpg|center|frameless|792x792px]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''ที่มา''' ''':''' ดัดแปลงจาก Dolowitz, and Marsh 13.
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;'''ที่มา''' ''':''' ดัดแปลงจาก Dolowitz, and Marsh 13.








&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สำหรับระดับการถ่ายโอนนโยบายมีงานหลายชิ้นที่ชี้ถึงคุณลักษณะแตกต่างกันของแต่ละระดับ อย่างงานของ Richard Rose ชื่อ ''Lesson-Drawing in Public Policy (1993)'' นำเสนอระดับการถ่ายโอนว่าแบ่งเป็นการคัดลอก (copying) การเลียนแบบ (emulation) การผสมข้ามพันธุ์ (hybridisation) การสังเคราะห์ (synthesis) และ การได้รับแรงบันดาลใจ (inspiration) แต่ต่อมาในงานของ Rose ชื่อ Learning from Comparative Public Policy: A Practical Guide (2005)  ได้แบ่งระดับการถ่ายโอนออกเป็น การสำเนาทุกรายละเอียด (photocopying) การคัดลอก (copying) การปรับประยุกต์ (adaptation) การผสมพันธ์ (hybrid) การสังเคราะห์ (synthesis) การได้รับแรงบันดาลใจทางวิชาการ (disciplined inspiration) และการลอกเลียนแบบคัดสรร (selective imitation)<sup>[11]</sup> ในงานของ Diane Stone เสนอคำอธิบายการจัดระดับการถ่ายโอนไว้ 4 ระดับ ทั้งที่เกิดโดยประเทศ/สถาบันได้ถ่ายโอนลงมาในระดับประเทศอย่างการแทรกซึมและการเลียนแบบ กับการขับเคลื่อนอันเกิดจากปฏิสัมพันธ์ในระดับระหว่างประเทศที่เป็นปัจจัยสาเหตุของการถ่ายโอนนโยบายในระดับประเทศอย่างการสร้างความกลมกลืนและชุมชนนโยบายข้ามชาติ


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''1) การแทรกซึม (penetration)''' คือ การถ่ายโอนนโยบายโดยใช้อำนาจอย่างชัดแจ้งและใช้กำลังบังคับให้อีกฝ่ายยินยอมปฏิบัติตาม ตัวอย่างเช่น การถ่ายโอนนโยบายขององค์การระหว่างประเทศที่บังคับต่อประเทศยากจนในฐานะผู้ให้กู้หรือให้เงินช่วยเหลือว่าเป็นนโยบายหรือการปฏิรูปต่าง ๆ เป็นเงื่อนไขอนุมัติเงินดังกล่าว หรือการใช้กำลังทางการทหารของประเทศหนึ่งที่ยึดครองประเทศหนึ่งแล้วนำเอานโยบายของผู้ยึดครองไปบังคับใช้
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สำหรับระดับการถ่ายโอนนโยบายมีงานหลายชิ้นที่ชี้ถึงคุณลักษณะแตกต่างกันของแต่ละระดับ อย่างงานของ Richard Rose ชื่อ ''Lesson-Drawing in Public Policy (1993)'' นำเสนอระดับการถ่ายโอนว่าแบ่งเป็นการคัดลอก (copying) การเลียนแบบ (emulation) การผสมข้ามพันธุ์ (hybridisation) การสังเคราะห์ (synthesis) และ การได้รับแรงบันดาลใจ (inspiration) แต่ต่อมาในงานของ Rose ชื่อ Learning from Comparative Public Policy: A Practical Guide (2005)  ได้แบ่งระดับการถ่ายโอนออกเป็น การสำเนาทุกรายละเอียด (photocopying) การคัดลอก (copying) การปรับประยุกต์ (adaptation) การผสมพันธ์ (hybrid) การสังเคราะห์ (synthesis) การได้รับแรงบันดาลใจทางวิชาการ (disciplined inspiration) และการลอกเลียนแบบคัดสรร (selective imitation)<sup>[11]</sup> ในงานของ Diane Stone เสนอคำอธิบายการจัดระดับการถ่ายโอนไว้ 4 ระดับ ทั้งที่เกิดโดยประเทศ/สถาบันได้ถ่ายโอนลงมาในระดับประเทศอย่างการแทรกซึมและการเลียนแบบ กับการขับเคลื่อนอันเกิดจากปฏิสัมพันธ์ในระดับระหว่างประเทศที่เป็นปัจจัยสาเหตุของการถ่ายโอนนโยบายในระดับประเทศอย่างการสร้างความกลมกลืนและชุมชนนโยบายข้ามชาติ


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''2) การเลียนแบบ (emulation)''' คือ การยืมเอาแนวคิดและประยุกต์แนวการวิเคราะห์นโยบาย เครื่องมือ หรือโครงสร้างไปใช้ในระดับท้องถิ่น ชนชั้นนำและนักวิเคราะห์ทางนโยบายจะติดตามว่านวัตกรรมทางนโยบายและแบบอย่างทางนโยบายที่ควรเป็นแนวคิดและแนวปฏิบัติทางนโยบายจากประเทศหรือขอบเขตอำนาจหนึ่ง ว่าจะสามารถนำเข้ามาเป็นบทเรียนและลงลึกเพื่อกำหนดนโยบายในประเทศของตนได้
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;'''1) การแทรกซึม (penetration)''' คือ การถ่ายโอนนโยบายโดยใช้อำนาจอย่างชัดแจ้งและใช้กำลังบังคับให้อีกฝ่ายยินยอมปฏิบัติตาม ตัวอย่างเช่น การถ่ายโอนนโยบายขององค์การระหว่างประเทศที่บังคับต่อประเทศยากจนในฐานะผู้ให้กู้หรือให้เงินช่วยเหลือว่าเป็นนโยบายหรือการปฏิรูปต่าง ๆ เป็นเงื่อนไขอนุมัติเงินดังกล่าว หรือการใช้กำลังทางการทหารของประเทศหนึ่งที่ยึดครองประเทศหนึ่งแล้วนำเอานโยบายของผู้ยึดครองไปบังคับใช้


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''3) การสร้างความกลมกลืน (harmonization)''' คือ การส่งเสริมให้เกิดการบรรจบกัน (convergence) อันเกิดจากผลของการตระหนักรู้ทางการเมืองของตัวแสดงที่อิสระต่อกัน และตระหนักถึงปัญหาต้นทุนอันเกิดจากการไม่บรรจบเข้าหากันทางนโยบาย (divergence) การสร้างความกลมกลืนอาจปรากฎเป็นมาตรการผ่านระบอบระหว่างประเทศ (international regime) ที่มีการกำหนดบรรทัดฐาน หลักการ กฎ และกระบวนการตัดสินใจที่คล้ายคลึงกันเพื่อให้ความคาดหวังของตัวแสดงต่าง ๆ บรรจบเข้าหากันจนเกิดการสร้างความกลมกลืนขึ้น โดยที่พยายามหลีกเลี่ยงความคลาดเคลื่อนในนโยบายหรือการพยายามลอกเลียนทางนโยบาย การสร้างความกลมกลืนดังกล่าวมักดำเนินการโดยสถาบันแบบเหนือรัฐ (supranational institutions) อาทิ สหภาพยุโรป องค์การสหประชาชาติ เป็นต้น
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;'''2) การเลียนแบบ (emulation)''' คือ การยืมเอาแนวคิดและประยุกต์แนวการวิเคราะห์นโยบาย เครื่องมือ หรือโครงสร้างไปใช้ในระดับท้องถิ่น ชนชั้นนำและนักวิเคราะห์ทางนโยบายจะติดตามว่านวัตกรรมทางนโยบายและแบบอย่างทางนโยบายที่ควรเป็นแนวคิดและแนวปฏิบัติทางนโยบายจากประเทศหรือขอบเขตอำนาจหนึ่ง ว่าจะสามารถนำเข้ามาเป็นบทเรียนและลงลึกเพื่อกำหนดนโยบายในประเทศของตนได้


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''4) ชุมชนทางนโยบายข้ามชาติ (transnational policy communities)''' คือ ชุมชนทางนโยบายข้ามชาติของเหล่าผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาชีพที่เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์และข้อมูลเพื่อมากำหนดแบบแผนร่วมกันในการทำความเข้าใจประเด็นทางนโยบายโดยใช้วิธีการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันผ่านการประชุมนานาชาติ การเป็นผู้แทนของรัฐบาล หรือการรักษาความต่อเนื่องในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันเพื่อทำให้เกิดการบันจบกันทางนโยบาย ชุมชนทางนโยบายข้ามชาติจึงแตกต่างจากการเลียนแบบเพราะเกี่ยวข้องกับการแบ่งปันประสบการณ์จากการเรียนรู้ปัญหาและพัฒนาสู่การมีมุมมองร่วมกันหรือสร้าง '''‘วัฒนธรรมทางนโยบายระหว่างประเทศ’''' (international policy culture) ทั้งนี้บทบาทของผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาชีพจะเป็นปัจจัยสาเหตุที่สำคัญในการสร้างการบรรจบกันทางนโยบาย หากพวกเขาแสดงบทบาทการเป็นผู้ประกอบการทางนโยบาย (policy entrepreneurs)<sup>[12]</sup>   
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;'''3) การสร้างความกลมกลืน (harmonization)''' คือ การส่งเสริมให้เกิดการบรรจบกัน (convergence) อันเกิดจากผลของการตระหนักรู้ทางการเมืองของตัวแสดงที่อิสระต่อกัน และตระหนักถึงปัญหาต้นทุนอันเกิดจากการไม่บรรจบเข้าหากันทางนโยบาย (divergence) การสร้างความกลมกลืนอาจปรากฎเป็นมาตรการผ่านระบอบระหว่างประเทศ (international regime) ที่มีการกำหนดบรรทัดฐาน หลักการ กฎ และกระบวนการตัดสินใจที่คล้ายคลึงกันเพื่อให้ความคาดหวังของตัวแสดงต่าง ๆ บรรจบเข้าหากันจนเกิดการสร้างความกลมกลืนขึ้น โดยที่พยายามหลีกเลี่ยงความคลาดเคลื่อนในนโยบายหรือการพยายามลอกเลียนทางนโยบาย การสร้างความกลมกลืนดังกล่าวมักดำเนินการโดยสถาบันแบบเหนือรัฐ (supranational institutions) อาทิ สหภาพยุโรป องค์การสหประชาชาติ เป็นต้น


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ส่วนตัวแสดงที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนนโยบายจะประกอบด้วย 9 ตัวแสดงทางการเมืองในกระบวนการถ่ายโอน คือ  
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;'''4) ชุมชนทางนโยบายข้ามชาติ (transnational policy communities)''' คือ ชุมชนทางนโยบายข้ามชาติของเหล่าผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาชีพที่เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์และข้อมูลเพื่อมากำหนดแบบแผนร่วมกันในการทำความเข้าใจประเด็นทางนโยบายโดยใช้วิธีการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันผ่านการประชุมนานาชาติ การเป็นผู้แทนของรัฐบาล หรือการรักษาความต่อเนื่องในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันเพื่อทำให้เกิดการบันจบกันทางนโยบาย ชุมชนทางนโยบายข้ามชาติจึงแตกต่างจากการเลียนแบบเพราะเกี่ยวข้องกับการแบ่งปันประสบการณ์จากการเรียนรู้ปัญหาและพัฒนาสู่การมีมุมมองร่วมกันหรือสร้าง '''‘วัฒนธรรมทางนโยบายระหว่างประเทศ’''' (international policy culture) ทั้งนี้บทบาทของผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาชีพจะเป็นปัจจัยสาเหตุที่สำคัญในการสร้างการบรรจบกันทางนโยบาย หากพวกเขาแสดงบทบาทการเป็นผู้ประกอบการทางนโยบาย (policy entrepreneurs)<sup>[12]</sup>   


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''1) นักการเมืองจากการเลือกตั้ง (elected officials)''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ส่วนตัวแสดงที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนนโยบายจะประกอบด้วย 9 ตัวแสดงทางการเมืองในกระบวนการถ่ายโอน คือ


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''2) พรรคการเมือง (political parties)''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''1) นักการเมืองจากการเลือกตั้ง (elected officials)''


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''3) ข้าราชการ/เจ้าหน้าที่รัฐ (bureaucrats/civil servants)''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''2) พรรคการเมือง (political parties)''


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''4) กลุ่มกดดัน (pressure groups)''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''3) ข้าราชการ/เจ้าหน้าที่รัฐ (bureaucrats/civil servants)''


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''5) ผู้ประกอบการทางนโยบายและผู้เชี่ยวชาญ (policy entrepreneurs and experts)''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''4) กลุ่มกดดัน (pressure groups)''


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''6) องค์การความร่วมมือข้ามชาติ (transnational corporations)''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''5) ผู้ประกอบการทางนโยบายและผู้เชี่ยวชาญ (policy entrepreneurs and experts)''


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''7) องค์กรคลังสมอง (think tanks)''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''6) องค์การความร่วมมือข้ามชาติ (transnational corporations)''


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''8) สถาบันแบบเหนือชาติและสถาบันนอกภาครัฐ (supra-national governmental and nongovernmental institutions) และ''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''7) องค์กรคลังสมอง (think tanks)''


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''9) กลุ่มที่ปรึกษา (consultants)<sup>[13]</sup>''  
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''8) สถาบันแบบเหนือชาติและสถาบันนอกภาครัฐ (supra-national governmental and nongovernmental institutions) และ''


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การชี้ถึงตัวแสดงสำคัญที่เข้ามาถ่ายโอนเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การจัดกลุ่มตัวแสดงจะขึ้นอยู่กับประเด็นทางนโยบายที่นำมาศึกษาซึ่งตัวแสดงแต่ละฝ่ายมีบทบาทผลักดันและการเรียนรู้นโยบายที่คิดจะถ่ายโอนจากต้นทางต่างกัน ตัวแสดงที่เข้ามาเกี่ยวข้องจึงไม่จำเป็นต้องมีครบทั้ง 9 กลุ่ม ตัวอย่างเช่น งานของธีรพัฒน์ อังศุชวาลที่ศึกษาการถ่ายโอนนโยบายของการตั้งองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ TPBS เสนอว่ามีตัวแสดงสี่กลุ่มในการริเริมผลักดันถ่ายโอนนโยบาย คือ หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มนักวิชาการ หน่วยงานอื่นที่มิใช่ภาครัฐ และสถาบัน/องค์การระหว่างประเทศ แต่งานของธีรพัฒน์ก็ลงรายละเอียดถึงบุคคลสำคัญที่แสดงบทบาทเป็นผู้ประกอบการทางนโยบายอย่างกลุ่มนักวิชาการที่มี ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และกลุ่มหน่วยงานภาครัฐที่มีคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำหนดนโยบาย<sup>[14]</sup>
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''9) กลุ่มที่ปรึกษา (consultants)<sup>[13]</sup>''
 
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ อนาคตของการศึกษาการถ่ายโอนนโยบายมีประเด็นสำคัญใน 3 เรื่อง คือ <u>หนึ่ง</u> ''การศึกษาการถ่ายโอนนโยบายสามารถเป็นตัวแปรอิสระ (an independent variable)'' ที่นำไปสู่การบรรจบกันของนโยบายที่ตัดข้ามจากหลายชาติอันเกิดจากกระบวนการโลกาภิวัตน์ และตัวแปรตาม (a dependent variable) ที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยเชิงสถาบันหรือประเภทของสถาบันผู้ทำหน้าที่ถ่ายโอนนโยบาย <u>สอง</u> ''การศึกษาถ่ายโอนนโยบายให้ความสำคัญกับการสร้างคำอธิบายทางทฤษฎีเชิงมหภาคที่มุ่งศึกษาบทบาทของโครงสร้างทางการเมืองที่กำหนดทิศทางการถ่ายโอนนโยบาย'' เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของการทำความเข้าใจปัจจัยเชิงโครงสร้างเพราะความเชื่อในความเป็นเหตุเห็นผลของการถ่ายโอนนโยบายโดยความสมัครใจ และ <u>สาม</u> ''เพิ่มมิติพิจารณาการถ่ายโอนนโยบายผ่านมุมมองแบบอัตวิสัย (subjective perception) ด้วยวิธีการศึกษาแบบการประกอบสร้าง (constructivist approach)'' ที่มองว่าปัญหาเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นมาจากการประกอบสร้างทางสังคม และช่วยทำความเข้าใจวิธีการ (ที่เป็นอัตวิสัย) ว่าได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อช่วยเติมเต็มการศึกษานอกเหนือจากการพิจารณาการถ่ายโอนนโยบายในแบบปฏิฐานนิยม<sup>[15]</sup> รวมถึงการผสานเอาแนวคิดและวิธีการศึกษาอื่นมาใช้เป็นเครื่องมือทางทฤษฎีเพื่อศึกษาการถ่ายโอนนโยบาย อาทิ การเรียนรู้ทางสังคม (social learning) การประกอบสร้าง (constructivism) เครือข่ายนโยบาย (policy network) การอภิบาล (governance) และสถาบันนิยมใหม่ (new institutionalism) เป็นต้น<sup>[16]</sup> การศึกษาการถ่ายโอนนโยบายในกรณีประเทศไทยก็มีการนำเอาแนวคิดอื่นมาประกอบด้วย ตัวอย่างเช่น วิทยานิพนธ์ของพีรดา ภูมิสวัสดิ์ (2020) ได้ศึกษาการถ่ายโอนทางนโยบายการผลักดันเรื่องเพศให้เป็นกระแสหลักในการพัฒนา (gender mainstreaming) ที่เป็นหนึ่งในนโยบายสาธารณะในบริบทโลกและเป็นประเด็นนโยบายและยุทธศาสตร์ขององค์การระหว่างประเทศที่ผลักดันลงสู่การปฏิบัติให้เกิดขึ้นในระดับประเทศ งานชิ้นนี้ได้ศึกษากรณีของประเทศไทยที่รับการถ่ายโอนนโยบาย gender mainstreaming มาสู่การตั้งหน่วยงานและกำหนดนโยบายในประเทศ แต่ได้นำเอาแนวคิดสตรีนิยมหลังอาณานิคม (postcolonial feminism) มาใช้ประกอบการอธิบายเนื่องจากแนวคิดนี้ให้ความสำคัญกับบทบาทและประสบการณ์ของผู้หญิงที่อยู่นอกโลกตะวันตกที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนาทางซีกโลกใต้ (global south) ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดสตรีนิยมในแบบดั้งเดิมที่ถูกวิจารณ์ว่าใช้มุมมองและประสบการณ์ของผู้หญิงชนชั้นกลางในโลกตะวันตกและมีอคติแบบเอายุโรปเป็นศูนย์กลาง (eurocentrism) ที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วทางซีกโลกเหนือ (global north) ดังนั้น นโยบาย gender mainstreaming ที่ได้รับอิทธิพลสตรีนิยมแบบตะวันตก อาจส่งผลกระทบหรือถูกปรับเปลี่ยนเมื่อนำมาใช้ในประเทศไทยที่ผู้หญิงมีบทบาทและประสบการณ์แบบนอกโลกตะวันตก<sup>[17]</sup> ด้วยเหตุนี้ การถ่ายโอนนโยบายจึงยังมีที่ทางและโอกาสการพัฒนางานศึกษาวิจัยได้อย่างกว้างขวางจากการโอบรับเอามุมมองใหม่ในทางวิธีการวิจัย (methodology) และกรอบแนวคิด (conceptual framework) อื่นมาใช้ประกอบกัน


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การชี้ถึงตัวแสดงสำคัญที่เข้ามาถ่ายโอนเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การจัดกลุ่มตัวแสดงจะขึ้นอยู่กับประเด็นทางนโยบายที่นำมาศึกษาซึ่งตัวแสดงแต่ละฝ่ายมีบทบาทผลักดันและการเรียนรู้นโยบายที่คิดจะถ่ายโอนจากต้นทางต่างกัน ตัวแสดงที่เข้ามาเกี่ยวข้องจึงไม่จำเป็นต้องมีครบทั้ง 9 กลุ่ม ตัวอย่างเช่น งานของธีรพัฒน์ อังศุชวาลที่ศึกษาการถ่ายโอนนโยบายของการตั้งองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ TPBS เสนอว่ามีตัวแสดงสี่กลุ่มในการริเริมผลักดันถ่ายโอนนโยบาย คือ หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มนักวิชาการ หน่วยงานอื่นที่มิใช่ภาครัฐ และสถาบัน/องค์การระหว่างประเทศ แต่งานของธีรพัฒน์ก็ลงรายละเอียดถึงบุคคลสำคัญที่แสดงบทบาทเป็นผู้ประกอบการทางนโยบายอย่างกลุ่มนักวิชาการที่มี ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และกลุ่มหน่วยงานภาครัฐที่มีคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำหนดนโยบาย<sup>[14]</sup>


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ทั้งนี้ อนาคตของการศึกษาการถ่ายโอนนโยบายมีประเด็นสำคัญใน 3 เรื่อง คือ <u>หนึ่ง</u> ''การศึกษาการถ่ายโอนนโยบายสามารถเป็นตัวแปรอิสระ (an independent variable)'' ที่นำไปสู่การบรรจบกันของนโยบายที่ตัดข้ามจากหลายชาติอันเกิดจากกระบวนการโลกาภิวัตน์ และตัวแปรตาม (a dependent variable) ที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยเชิงสถาบันหรือประเภทของสถาบันผู้ทำหน้าที่ถ่ายโอนนโยบาย <u>สอง</u> ''การศึกษาถ่ายโอนนโยบายให้ความสำคัญกับการสร้างคำอธิบายทางทฤษฎีเชิงมหภาคที่มุ่งศึกษาบทบาทของโครงสร้างทางการเมืองที่กำหนดทิศทางการถ่ายโอนนโยบาย'' เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของการทำความเข้าใจปัจจัยเชิงโครงสร้างเพราะความเชื่อในความเป็นเหตุเห็นผลของการถ่ายโอนนโยบายโดยความสมัครใจ และ <u>สาม</u> ''เพิ่มมิติพิจารณาการถ่ายโอนนโยบายผ่านมุมมองแบบอัตวิสัย (subjective perception) ด้วยวิธีการศึกษาแบบการประกอบสร้าง (constructivist approach)'' ที่มองว่าปัญหาเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นมาจากการประกอบสร้างทางสังคม และช่วยทำความเข้าใจวิธีการ (ที่เป็นอัตวิสัย) ว่าได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อช่วยเติมเต็มการศึกษานอกเหนือจากการพิจารณาการถ่ายโอนนโยบายในแบบปฏิฐานนิยม<sup>[15]</sup> รวมถึงการผสานเอาแนวคิดและวิธีการศึกษาอื่นมาใช้เป็นเครื่องมือทางทฤษฎีเพื่อศึกษาการถ่ายโอนนโยบาย อาทิ การเรียนรู้ทางสังคม (social learning) การประกอบสร้าง (constructivism) เครือข่ายนโยบาย (policy network) การอภิบาล (governance) และสถาบันนิยมใหม่ (new institutionalism) เป็นต้น<sup>[16]</sup> การศึกษาการถ่ายโอนนโยบายในกรณีประเทศไทยก็มีการนำเอาแนวคิดอื่นมาประกอบด้วย ตัวอย่างเช่น วิทยานิพนธ์ของพีรดา ภูมิสวัสดิ์ (2020) ได้ศึกษาการถ่ายโอนทางนโยบายการผลักดันเรื่องเพศให้เป็นกระแสหลักในการพัฒนา (gender mainstreaming) ที่เป็นหนึ่งในนโยบายสาธารณะในบริบทโลกและเป็นประเด็นนโยบายและยุทธศาสตร์ขององค์การระหว่างประเทศที่ผลักดันลงสู่การปฏิบัติให้เกิดขึ้นในระดับประเทศ งานชิ้นนี้ได้ศึกษากรณีของประเทศไทยที่รับการถ่ายโอนนโยบาย gender mainstreaming มาสู่การตั้งหน่วยงานและกำหนดนโยบายในประเทศ แต่ได้นำเอาแนวคิดสตรีนิยมหลังอาณานิคม (postcolonial feminism) มาใช้ประกอบการอธิบายเนื่องจากแนวคิดนี้ให้ความสำคัญกับบทบาทและประสบการณ์ของผู้หญิงที่อยู่นอกโลกตะวันตกที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนาทางซีกโลกใต้ (global south) ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดสตรีนิยมในแบบดั้งเดิมที่ถูกวิจารณ์ว่าใช้มุมมองและประสบการณ์ของผู้หญิงชนชั้นกลางในโลกตะวันตกและมีอคติแบบเอายุโรปเป็นศูนย์กลาง (eurocentrism) ที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วทางซีกโลกเหนือ (global north) ดังนั้น นโยบาย gender mainstreaming ที่ได้รับอิทธิพลสตรีนิยมแบบตะวันตก อาจส่งผลกระทบหรือถูกปรับเปลี่ยนเมื่อนำมาใช้ในประเทศไทยที่ผู้หญิงมีบทบาทและประสบการณ์แบบนอกโลกตะวันตก<sup>[17]</sup> ด้วยเหตุนี้ การถ่ายโอนนโยบายจึงยังมีที่ทางและโอกาสการพัฒนางานศึกษาวิจัยได้อย่างกว้างขวางจากการโอบรับเอามุมมองใหม่ในทางวิธีการวิจัย (methodology) และกรอบแนวคิด (conceptual framework) อื่นมาใช้ประกอบกัน


'''<big>บรรณานุกรม</big>'''
'''<big>บรรณานุกรม</big>'''
บรรทัดที่ 112: บรรทัดที่ 111:
[[index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน]]
[[index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน]]
[[index.php?title=หมวดหมู่:การปกครองท้องถิ่น]]
[[index.php?title=หมวดหมู่:การปกครองท้องถิ่น]]
[[index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน]]
[[index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 12:52, 19 มิถุนายน 2568

ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอกวีร์ มีสุข

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี


การถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ (policy transfer)

                    การถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ ความหมายโดยทั่วไป หมายถึง กระบวนการที่องค์ความรู้เกี่ยวกับนโยบาย การจัดโครงสร้างการบริหาร สถาบัน และความคิดจากระบบการเมืองหนึ่งที่อาจเคยใช้ในอดีตหรือยังใช้ในปัจจุบันถูกนำไปใช้ในการพัฒนานโยบาย การจัดโครงสร้างการบริหาร สถาบัน และความคิดในอีกระบบการเมืองหนึ่ง นักนโยบายสาธารณะมักอาศัยการถ่ายโอนนโยบายเพื่อเป็นแนวทางของการทำความเข้าใจนโยบายที่ตนในใจหรือศึกษา[1] แนวคิดการถ่ายโอนนโยบายบางด้านให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ระหว่างประเทศโดยเอาแนวทางและประสบการณ์จากประเทศหนึ่ง (หรือหลาย ๆ ประเทศ) ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินนโยบายเรื่องหนึ่ง ๆ มาปรับประยุกต์ใช้ในประเทศของตนเอง อย่างไรก็ตาม บางแนวคิดได้เสนอมุมมองตรงกันข้ามว่าการถ่ายโอนนโยบายสามารถเกิดภายในประเทศได้ด้วยเช่นกัน การถ่ายโอนนโยบายสามารถเป็นกระบวนการที่ความรู้เกี่ยวกับสถาบัน นโยบาย หรือระบบบริการสาธารณะจากภาคส่วนหนึ่งหรือระดับการอภิบาลหนึ่งถูกถ่ายโอนไปยังอีกภาคส่วนหรือระดับการอภิบาลที่แตกต่างกันก็ได้[2] กล่าวคือการถ่ายโอนนโยบายเปรียบเสมือนกับการเรียนรู้และการปรับประยุกต์ใช้นโยบายจากที่หนึ่งมาใช้ในบริบทเฉพาะของเวลาและสถานที่อีกที่หนึ่ง

                   ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่าการถ่ายโอนนโยบายไม่ใช่ปรากฎการณ์ใหม่เพราะการเรียนรู้จากสถานที่หนึ่งมาปรับใช้ในอีกที่หนึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในประวัติศาสตร์การปกครองและการดำเนินนโยบายมาแต่โบราณ ตัวอย่างเช่น อาณาจักรจีนโบราณที่รับเอาความรู้ทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์มาใช้เป็นฐานการสร้างความชอบธรรมของการได้ ‘อาณัติจากสวรรค์’ ขององค์จักรพรรดิจีน การเมืองและโหราศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกขาดจากกัน สำนักโหราศาสตร์ของราชสำนักก็ว่าจ้างนักดาราศาสตร์จากจีนและอินเดียเข้ามาทำงาน ต่อมามีการนำเอาความรู้และเครื่องมือทางดาราศาสตร์จากโลกตะวันตกผ่านนักบวชเยซูอิตด้วย[3] แต่ด้วยสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถติดต่อสื่อสารและได้รับข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วมากกว่าแต่ในอดีตจนทำให้การถ่ายโอนนโยบายมีมากขึ้น นโยบายสาธารณะจำนวนมากที่พัฒนาขึ้นก็มาจากการถ่ายโอนนโยบาย ตัวอย่างเช่น การส่งเสริมและกำหนดแนวทางการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (health impact assessment: HIA) ของประเทศไทยก็ได้รับอิทธิพลจากการถ่ายโอนนโยบาย ผ่านข้อเสนอขององค์การระหว่างประเทศและข้อตกลงในระดับระหว่างประเทศหลายฉบับ เช่น กฎบัตรออตตาวาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ (Ottawa Charter for Health Promotion) คำประกาศจาการ์ตา เรื่อง การเสริมสร้างสุขภาพในศตวรรษที่ 21 (Jakarta Declaration on Leading Health Promotion into the 21st Century) และรายงานข้อตกลงกอเทนเบิร์ก (WHO Gothenburg Consensus Paper)[4]

                   ดังนั้น กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการรับเอานโยบายสาธารณะจากประเทศต้นทางที่แตกต่างหลากหลายเพื่อมาปรับประยุกต์ใช้ในแต่ละประเทศแสดงให้เห็นถึงความแพร่หลายของการถ่ายโอนนโยบาย บทบาทของปัจเจกบุคคลและสถาบันในกระบวนการถ่ายโอนนโยบาย และความยากลำบากที่เกี่ยวข้องกับความพยายามนำเอากรณีเฉพาะของการถ่ายโอนนโยบายหนึ่งมาสู่นโยบายอีกประเภทหนึ่งซึ่งมาจากเหตุผล การตัดสินใจ และแรงกดดันที่แตกต่างกัน[5] จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ศึกษาในสหสาขาวิชาอย่างการเมืองเปรียบเทียบ นโยบายสาธารณะ สังคมวิทยาองค์การ และการศึกษาว่าด้วยการพัฒนาจึงเริ่มให้ความสนใจต่อกระบวนการถ่ายโอนนโยบายที่เกิดขึ้น แต่งานศึกษาในอดีตมีข้อจำกัดเนื่องจากไม่ได้ศึกษาและวิเคราะห์การถ่ายโอนอย่างเป็นระบบ แต่เน้นเพียงการบรรยายรายละเอียดของการถ่ายโอนแนวคิดหรือนโยบายที่เกิดระหว่างกัน[6] ทำให้การพัฒนากรอบแนวคิดการถ่ายโอนนโยบายจึงมีความจำเป็น

                   องค์ความรู้การถ่ายโอนนโยบายมีรากจากการศึกษาการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะเปรียบเทียบ (comparative policy analysis) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มให้ความสนใจต่อการแพร่กระจายของนโยบาย (policy diffusion) เกี่ยวกับนวัตกรรมทางนโยบาย (policy innovation) ภายใน/ระหว่างมลรัฐและเมืองในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามแนวการวิเคราะห์แบบดั้งเดิมมีข้อบกพร่องจากการละเลยต่อความทวีคูณในกระบวนการถ่ายโอนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความแพร่หลายของกิจกรรม กล่าวคือ แนวคิดการแพร่กระจายของนโยบายยังมีข้อจำกัดในการนำเอาปัจจัยภายในระบบของประเทศอย่างพลวัตรของกลุ่มผลประโยชน์และการก่อร่างทางสังคมและประวัติศาสตร์ที่ส่งผลต่อระบอบการเมือง ทำให้แนวคิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นกลางและปราศจากการเมืองแต่ละเลยการเข้าใจเหตุผลทางสังคมเศรษฐกิจ พื้นที่ และประวัติศาสตร์ที่เข้าไปกำหนดแบบแผนของการประยุกต์ใช้นโยบาย[7] แม้ในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาแนวคิดบทเรียนฐานราก (lesson-drawing) ที่ให้ความสำคัญกับการนำเอานโยบายมาใช้โดยความสมัครใจโดยตัวแสดงที่มีเหตุมีผล (rational actors) ที่ปฏิบัติงานภายใต้บริบททางการเมืองเฉพาะ กล่าวคือตัวแสดงเหล่านี้เลือกรับเอานโยบายเนื่องจากการเกิดขึ้นของปัญหาหรือมาจากความไม่พอใจในสถานะของตัวแสดงที่เป็นอยู่ ทำให้พวกเขาพยายามหาแนวคิดใหม่ที่เป็นวิธีการที่ประหยัดสำหรับการแก้ไขปัญหาด้วยพวกเขามีเป้าหมายเชิงประเมินค่าอนาคตที่คาดหวัง (prospective evaluation) ว่าหากนำนโยบายจากที่หนึ่งมาใช้ยังผลประโยชน์อะไรในอนาคตบ้าง[8] อย่างไรก็ตามแนวคิดบทเรียนฐานรากก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการเน้นสมมติฐานบนฐานความเป็นเหตุผลและความสมัครใจของตัวแสดงในการนำเอานโยบายมาใช้ ต่อมานักวิชาการอย่าง David Dolowitz และ David Marsh ได้เสนอคำว่าการถ่ายโอนนโยบาย (policy transfer) เพื่อแสดงทั้งรูปแบบของความสมัครใจและการถูกบังคับของแนวปฏิบัติการถ่ายโอนนโยบาย เนื่องจากการถูกบังคับสามารถเกิดขึ้นได้โดยรัฐบาลหรือองค์กรข้ามชาติสามารถผลักดันหรือบังคับให้อีกฝ่ายปรับประยุกต์นวัตกรรมทางนโยบายได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะใช้คำว่าการแพร่กระจายของนโยบาย แนวคิดบทเรียนฐานราก หรือการถ่ายโอนนโยบายทั้งสามคำดังกล่าวจะให้ความสนใจต่อการศึกษาเรื่องการถ่ายโอนนโยบายด้วยกันทั้งสิ้น[9] 

                   การทำความเข้าใจต่อการถ่ายโอนนโยบายสามารถกระทำผ่านรูปแบบการถ่ายโอนนโยบายระหว่างการถ่ายโอนแบบความสมัครใจ (voluntary transfer) และการถ่ายโอนแบบถูกบังคับ (coercive transfer) ที่เกิดขึ้นในระดับโครงการ นโยบาย หรือการจัดโครงสร้างเชิงสถาบันในระบบการเมืองหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากอีกระบบการเมืองหนึ่ง David Dolowitz และ David Marsh ได้เสนอตัวแบบจำลองการทำความเข้าใจรูปแบบการถ่ายโอนในลักษณะต่อเนื่อง (continuum) เพื่อเป็นเค้าโครงเบื้องต้นช่วยสำหรับการพิจารณาการถ่ายโอนอย่างเป็นระบบสำหรับการจัดประเภทของการถ่ายโอนเพื่อใช้ในการศึกษาเชิงประจักษ์ และช่วยในการทำความเข้าใจกระบวนการถ่ายโอนนโยบายที่อาจมีทั้งองค์ประกอบแบบสมัครใจและแบบบังคับในนโยบายหนึ่ง ซึ่งอาจเปลี่ยนไปในทางใดทางหนึ่งตามช่วงเวลาหรือเปลี่ยนไปตามหน่วย/สถาบันทางการเมืองที่แตกต่างกันภายในประเทศหรือระบอบการเมืองของประเทศเดียวกันก็ได้[10] ตามแผนภาพที่ 1

                                                 แผนภาพที่ 1 : ความต่อเนื่องในการถ่ายโอนนโยบาย

                                                 ที่มา : ดัดแปลงจาก Dolowitz, and Marsh 13.



                   สำหรับระดับการถ่ายโอนนโยบายมีงานหลายชิ้นที่ชี้ถึงคุณลักษณะแตกต่างกันของแต่ละระดับ อย่างงานของ Richard Rose ชื่อ Lesson-Drawing in Public Policy (1993) นำเสนอระดับการถ่ายโอนว่าแบ่งเป็นการคัดลอก (copying) การเลียนแบบ (emulation) การผสมข้ามพันธุ์ (hybridisation) การสังเคราะห์ (synthesis) และ การได้รับแรงบันดาลใจ (inspiration) แต่ต่อมาในงานของ Rose ชื่อ Learning from Comparative Public Policy: A Practical Guide (2005)  ได้แบ่งระดับการถ่ายโอนออกเป็น การสำเนาทุกรายละเอียด (photocopying) การคัดลอก (copying) การปรับประยุกต์ (adaptation) การผสมพันธ์ (hybrid) การสังเคราะห์ (synthesis) การได้รับแรงบันดาลใจทางวิชาการ (disciplined inspiration) และการลอกเลียนแบบคัดสรร (selective imitation)[11] ในงานของ Diane Stone เสนอคำอธิบายการจัดระดับการถ่ายโอนไว้ 4 ระดับ ทั้งที่เกิดโดยประเทศ/สถาบันได้ถ่ายโอนลงมาในระดับประเทศอย่างการแทรกซึมและการเลียนแบบ กับการขับเคลื่อนอันเกิดจากปฏิสัมพันธ์ในระดับระหว่างประเทศที่เป็นปัจจัยสาเหตุของการถ่ายโอนนโยบายในระดับประเทศอย่างการสร้างความกลมกลืนและชุมชนนโยบายข้ามชาติ

                   1) การแทรกซึม (penetration) คือ การถ่ายโอนนโยบายโดยใช้อำนาจอย่างชัดแจ้งและใช้กำลังบังคับให้อีกฝ่ายยินยอมปฏิบัติตาม ตัวอย่างเช่น การถ่ายโอนนโยบายขององค์การระหว่างประเทศที่บังคับต่อประเทศยากจนในฐานะผู้ให้กู้หรือให้เงินช่วยเหลือว่าเป็นนโยบายหรือการปฏิรูปต่าง ๆ เป็นเงื่อนไขอนุมัติเงินดังกล่าว หรือการใช้กำลังทางการทหารของประเทศหนึ่งที่ยึดครองประเทศหนึ่งแล้วนำเอานโยบายของผู้ยึดครองไปบังคับใช้

                   2) การเลียนแบบ (emulation) คือ การยืมเอาแนวคิดและประยุกต์แนวการวิเคราะห์นโยบาย เครื่องมือ หรือโครงสร้างไปใช้ในระดับท้องถิ่น ชนชั้นนำและนักวิเคราะห์ทางนโยบายจะติดตามว่านวัตกรรมทางนโยบายและแบบอย่างทางนโยบายที่ควรเป็นแนวคิดและแนวปฏิบัติทางนโยบายจากประเทศหรือขอบเขตอำนาจหนึ่ง ว่าจะสามารถนำเข้ามาเป็นบทเรียนและลงลึกเพื่อกำหนดนโยบายในประเทศของตนได้

                   3) การสร้างความกลมกลืน (harmonization) คือ การส่งเสริมให้เกิดการบรรจบกัน (convergence) อันเกิดจากผลของการตระหนักรู้ทางการเมืองของตัวแสดงที่อิสระต่อกัน และตระหนักถึงปัญหาต้นทุนอันเกิดจากการไม่บรรจบเข้าหากันทางนโยบาย (divergence) การสร้างความกลมกลืนอาจปรากฎเป็นมาตรการผ่านระบอบระหว่างประเทศ (international regime) ที่มีการกำหนดบรรทัดฐาน หลักการ กฎ และกระบวนการตัดสินใจที่คล้ายคลึงกันเพื่อให้ความคาดหวังของตัวแสดงต่าง ๆ บรรจบเข้าหากันจนเกิดการสร้างความกลมกลืนขึ้น โดยที่พยายามหลีกเลี่ยงความคลาดเคลื่อนในนโยบายหรือการพยายามลอกเลียนทางนโยบาย การสร้างความกลมกลืนดังกล่าวมักดำเนินการโดยสถาบันแบบเหนือรัฐ (supranational institutions) อาทิ สหภาพยุโรป องค์การสหประชาชาติ เป็นต้น

                   4) ชุมชนทางนโยบายข้ามชาติ (transnational policy communities) คือ ชุมชนทางนโยบายข้ามชาติของเหล่าผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาชีพที่เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์และข้อมูลเพื่อมากำหนดแบบแผนร่วมกันในการทำความเข้าใจประเด็นทางนโยบายโดยใช้วิธีการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันผ่านการประชุมนานาชาติ การเป็นผู้แทนของรัฐบาล หรือการรักษาความต่อเนื่องในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันเพื่อทำให้เกิดการบันจบกันทางนโยบาย ชุมชนทางนโยบายข้ามชาติจึงแตกต่างจากการเลียนแบบเพราะเกี่ยวข้องกับการแบ่งปันประสบการณ์จากการเรียนรู้ปัญหาและพัฒนาสู่การมีมุมมองร่วมกันหรือสร้าง ‘วัฒนธรรมทางนโยบายระหว่างประเทศ’ (international policy culture) ทั้งนี้บทบาทของผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาชีพจะเป็นปัจจัยสาเหตุที่สำคัญในการสร้างการบรรจบกันทางนโยบาย หากพวกเขาแสดงบทบาทการเป็นผู้ประกอบการทางนโยบาย (policy entrepreneurs)[12]   

                   ส่วนตัวแสดงที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนนโยบายจะประกอบด้วย 9 ตัวแสดงทางการเมืองในกระบวนการถ่ายโอน คือ

                   1) นักการเมืองจากการเลือกตั้ง (elected officials)

                   2) พรรคการเมือง (political parties)

                   3) ข้าราชการ/เจ้าหน้าที่รัฐ (bureaucrats/civil servants)

                   4) กลุ่มกดดัน (pressure groups)

                   5) ผู้ประกอบการทางนโยบายและผู้เชี่ยวชาญ (policy entrepreneurs and experts)

                   6) องค์การความร่วมมือข้ามชาติ (transnational corporations)

                   7) องค์กรคลังสมอง (think tanks)

                   8) สถาบันแบบเหนือชาติและสถาบันนอกภาครัฐ (supra-national governmental and nongovernmental institutions) และ

                   9) กลุ่มที่ปรึกษา (consultants)[13]

                   การชี้ถึงตัวแสดงสำคัญที่เข้ามาถ่ายโอนเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การจัดกลุ่มตัวแสดงจะขึ้นอยู่กับประเด็นทางนโยบายที่นำมาศึกษาซึ่งตัวแสดงแต่ละฝ่ายมีบทบาทผลักดันและการเรียนรู้นโยบายที่คิดจะถ่ายโอนจากต้นทางต่างกัน ตัวแสดงที่เข้ามาเกี่ยวข้องจึงไม่จำเป็นต้องมีครบทั้ง 9 กลุ่ม ตัวอย่างเช่น งานของธีรพัฒน์ อังศุชวาลที่ศึกษาการถ่ายโอนนโยบายของการตั้งองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ TPBS เสนอว่ามีตัวแสดงสี่กลุ่มในการริเริมผลักดันถ่ายโอนนโยบาย คือ หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มนักวิชาการ หน่วยงานอื่นที่มิใช่ภาครัฐ และสถาบัน/องค์การระหว่างประเทศ แต่งานของธีรพัฒน์ก็ลงรายละเอียดถึงบุคคลสำคัญที่แสดงบทบาทเป็นผู้ประกอบการทางนโยบายอย่างกลุ่มนักวิชาการที่มี ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และกลุ่มหน่วยงานภาครัฐที่มีคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำหนดนโยบาย[14]

                   ทั้งนี้ อนาคตของการศึกษาการถ่ายโอนนโยบายมีประเด็นสำคัญใน 3 เรื่อง คือ หนึ่ง การศึกษาการถ่ายโอนนโยบายสามารถเป็นตัวแปรอิสระ (an independent variable) ที่นำไปสู่การบรรจบกันของนโยบายที่ตัดข้ามจากหลายชาติอันเกิดจากกระบวนการโลกาภิวัตน์ และตัวแปรตาม (a dependent variable) ที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยเชิงสถาบันหรือประเภทของสถาบันผู้ทำหน้าที่ถ่ายโอนนโยบาย สอง การศึกษาถ่ายโอนนโยบายให้ความสำคัญกับการสร้างคำอธิบายทางทฤษฎีเชิงมหภาคที่มุ่งศึกษาบทบาทของโครงสร้างทางการเมืองที่กำหนดทิศทางการถ่ายโอนนโยบาย เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของการทำความเข้าใจปัจจัยเชิงโครงสร้างเพราะความเชื่อในความเป็นเหตุเห็นผลของการถ่ายโอนนโยบายโดยความสมัครใจ และ สาม เพิ่มมิติพิจารณาการถ่ายโอนนโยบายผ่านมุมมองแบบอัตวิสัย (subjective perception) ด้วยวิธีการศึกษาแบบการประกอบสร้าง (constructivist approach) ที่มองว่าปัญหาเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นมาจากการประกอบสร้างทางสังคม และช่วยทำความเข้าใจวิธีการ (ที่เป็นอัตวิสัย) ว่าได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อช่วยเติมเต็มการศึกษานอกเหนือจากการพิจารณาการถ่ายโอนนโยบายในแบบปฏิฐานนิยม[15] รวมถึงการผสานเอาแนวคิดและวิธีการศึกษาอื่นมาใช้เป็นเครื่องมือทางทฤษฎีเพื่อศึกษาการถ่ายโอนนโยบาย อาทิ การเรียนรู้ทางสังคม (social learning) การประกอบสร้าง (constructivism) เครือข่ายนโยบาย (policy network) การอภิบาล (governance) และสถาบันนิยมใหม่ (new institutionalism) เป็นต้น[16] การศึกษาการถ่ายโอนนโยบายในกรณีประเทศไทยก็มีการนำเอาแนวคิดอื่นมาประกอบด้วย ตัวอย่างเช่น วิทยานิพนธ์ของพีรดา ภูมิสวัสดิ์ (2020) ได้ศึกษาการถ่ายโอนทางนโยบายการผลักดันเรื่องเพศให้เป็นกระแสหลักในการพัฒนา (gender mainstreaming) ที่เป็นหนึ่งในนโยบายสาธารณะในบริบทโลกและเป็นประเด็นนโยบายและยุทธศาสตร์ขององค์การระหว่างประเทศที่ผลักดันลงสู่การปฏิบัติให้เกิดขึ้นในระดับประเทศ งานชิ้นนี้ได้ศึกษากรณีของประเทศไทยที่รับการถ่ายโอนนโยบาย gender mainstreaming มาสู่การตั้งหน่วยงานและกำหนดนโยบายในประเทศ แต่ได้นำเอาแนวคิดสตรีนิยมหลังอาณานิคม (postcolonial feminism) มาใช้ประกอบการอธิบายเนื่องจากแนวคิดนี้ให้ความสำคัญกับบทบาทและประสบการณ์ของผู้หญิงที่อยู่นอกโลกตะวันตกที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนาทางซีกโลกใต้ (global south) ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดสตรีนิยมในแบบดั้งเดิมที่ถูกวิจารณ์ว่าใช้มุมมองและประสบการณ์ของผู้หญิงชนชั้นกลางในโลกตะวันตกและมีอคติแบบเอายุโรปเป็นศูนย์กลาง (eurocentrism) ที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วทางซีกโลกเหนือ (global north) ดังนั้น นโยบาย gender mainstreaming ที่ได้รับอิทธิพลสตรีนิยมแบบตะวันตก อาจส่งผลกระทบหรือถูกปรับเปลี่ยนเมื่อนำมาใช้ในประเทศไทยที่ผู้หญิงมีบทบาทและประสบการณ์แบบนอกโลกตะวันตก[17] ด้วยเหตุนี้ การถ่ายโอนนโยบายจึงยังมีที่ทางและโอกาสการพัฒนางานศึกษาวิจัยได้อย่างกว้างขวางจากการโอบรับเอามุมมองใหม่ในทางวิธีการวิจัย (methodology) และกรอบแนวคิด (conceptual framework) อื่นมาใช้ประกอบกัน

บรรณานุกรม

Benson, David, and Andrew Jordan. "What Have We Learned from Policy Transfer Research? Dolowitz and Marsh Revisited." Political Studies Review 9, no. 3 (2011): 366-78. https://dx.doi.org/10.1111/j.1478-9302.2011.00240.x.

Burns, W.E. Knowledge and Power: Science in World History: Routledge, 2018.

Dolowitz, David P., and David Marsh. "Learning from Abroad: The Role of Policy Transfer in Contemporary Policy-Making." Governance 13, no. 1 (2000): 5-23. https://dx.doi.org/https://doi.org/10.1111/0952-1895.00121.

Phumessawatdi, Perada. "Policy Movement through the Lens of Postcolonial Feminism, Policy Transfer, and Policy Translation: The Case of Gender Mainstreaming in Thailand." University of Bristol, 2020.

Stone, Diane. Learning Lessons, Policy Transfer and the International Diffusion of Policy Ideas. Coventry: Centre for the Study of Globalisation and Regionalisation, University of Warwick, 2001.

Stone, Diane, Osmany Porto de Oliveira, and Leslie A Pal. "Transnational Policy Transfer: The Circulation of Ideas, Power and Development Models." Policy and Society 39, no. 1 (2019): 1-18. Accessed 7/9/2024. https://dx.doi.org/10.1080/14494035.2019.1619325.

ชัชวาลย์ จันทรวิจิตร. การประเมินผลกระทบทางสุขภาพ: หลักการและเครื่องมือ. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2559.

ธีรพัฒน์ อังศุชวาล. "ทำความเข้าใจการถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ: แนวคิด การวิเคราะห์เบื้องต้น และการนำมาใช้." ใน เปิดกล่องนโยบายสาธารณะ: หลากมุมมองในการศึกษานโยบายสาธารณะร่วมสมัย. วสันต์ เหลืองประภัสร์, พัชราภา ตันตราจิน, และ ธีรพัฒน์ อังศุชวาล (บรรณาธิการ). กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (โครงการตำราและสิ่งพิมพ์), 2558.


[1] David P. Dolowitz, and David Marsh, "Learning from Abroad: The Role of Policy Transfer in Contemporary Policy-Making," Governance 13, no. 1 (2000): 5, https://dx.doi.org/https://doi.org/10.1111/0952-1895.00121.

[2] ธีรพัฒน์ อังศุชวาล, "ทำความเข้าใจการถ่ายโอนนโยบายสาธารณะ: แนวคิด การวิเคราะห์เบื้องต้น และการนำมาใช้," ใน เปิดกล่องนโยบายสาธารณะ: หลากมุมมองในการศึกษานโยบายสาธารณะร่วมสมัย, วสันต์ เหลืองประภัสร์, พัชราภา ตันตราจิน, และ ธีรพัฒน์ อังศุชวาล (บรรณาธิการ) (กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (โครงการตำราและสิ่งพิมพ์), 2558), 157-58.

[3] W.E. Burns, Knowledge and Power: Science in World History (Routledge, 2018), 53-54. การนำเข้าองค์ความรู้จากโลกตะวันตกมาใช้ในการออกแบบรูปแบบและระบบการปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน และนโยบายสาธารณะดูจะมีมาตั้งแต่การก่อตั้งรัฐสมัยใหม่ของประเทศไทย ผู้ปกครองของไทยในอดีตสมัยยุคสมบูรณาญาสิทธิ์ก็นำรูปแบบบริหารราชการแบบตะวันตกมาก่อตั้งระบบกระทรวงและมณฑลเทศาภิบาล เช่นเดียวกับองค์ความรู้เฉพาะด้านไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย การศาล การคลัง การเกษตร หรือแม้แต่ชลประทานก็นำความรู้และวิทยาการที่ได้จากโลกตะวันตกผ่านที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญที่ว่าจ้างจากต่างประเทศ ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าการนำแนวคิดการถ่ายโอนนโยบายมาทำความเข้าใจประเด็นทางประวัติศาสตร์อาจช่วยเปิดมุมมองเชิงวิเคราะห์ใหม่ที่นอกเหนือจากการศึกษาด้วยศาสตร์ของวิชาประวัติศาสตร์

[4] ชัชวาลย์ จันทรวิจิตร, การประเมินผลกระทบทางสุขภาพ: หลักการและเครื่องมือ (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2559).

[5] Dolowitz, and Marsh 6.

[6] Dolowitz, and Marsh 7.

[7] Diane Stone, Learning Lessons, Policy Transfer and the International Diffusion of Policy Ideas (Coventry: Centre for the Study of Globalisation and Regionalisation, University of Warwick, 2001), 5, https://wrap.warwick.ac.uk/id/eprint/2056/1/WRAP_Stone_wp6901.pdf.

[8] Dolowitz, and Marsh 14.

[9] David Benson, and Andrew Jordan, "What Have We Learned from Policy Transfer Research? Dolowitz and Marsh Revisited," Political Studies Review 9, no. 3 (2011): 366-67, https://dx.doi.org/10.1111/j.1478-9302.2011.00240.x.

[10] Dolowitz, and Marsh 13-14.

[11] Benson, and Jordan 370-71.

[12] Stone, 7-8.

[13] Dolowitz, and Marsh 10.

[14] ธีรพัฒน์ อังศุชวาล,  ใน เปิดกล่องนโยบายสาธารณะ: หลากมุมมองในการศึกษานโยบายสาธารณะร่วมสมัย, 200-01. มีข้อสังเกตว่าผลการวิเคราะห์ของธีรพัฒน์ไม่ได้นำเอา ‘นักการเมืองจากการเลือกตั้ง’ และ ‘พรรคการเมือง’ ว่ามีบทบาทในการถ่ายโอนนโยบายนี้ เนื่องจากการตั้ง TPBS เกิดในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุฬานนท์ภายหลังจากการรัฐประหารเดือนกันยายน พ.ศ.2549 รัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายจึงไม่ใช่นักการเมืองจากการเลือกตั้งหรือสังกัดพรรคการเมืองและมีภูมิหลังที่มาจากระบบราชการ แต่ควรตระหนักว่าตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีถือเป็นข้าราชการการเมืองที่ควรมาจากการเลือกตั้งหรือยึดโยงกับประชาชนในระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยปกติ

[15] Benson, and Jordan 374.

[16] Benson, and Jordan 374-75.

[17] Perada Phumessawatdi, “Policy Movement through the Lens of Postcolonial Feminism, Policy Transfer, and Policy Translation: The Case of Gender Mainstreaming in Thailand” (University of Bristol, 2020), 23-25. และในงานของ Diana Stone ก็ชี้ถึงตัวแบบเชิงจารีต (conventional approach) ของการถ่ายโอนนโยบายว่ามักนำเอานโยบายจากรัฐพัฒนาแล้วมาใช้ และการถ่ายโอนมักอยู่ในรูปของการถ่ายโอนระหว่างกันเองของประเทศพัฒนาแล้ว (หรือที่เรียกว่าประเทศซีกโลกเหนือ) และการถ่ายโอนโดยตรงจากประเทศซีกโลกเหนือลงสู่ซีกโลกใต้ ว่าเป็นการแพร่กระจายของแนวปฏิบัติที่ดี (best practices) ประเทศซีกโลกใต้จะได้รับคำแนะนำที่ดีและให้วางโมเดลการถ่ายโอนนโยบายบนบริบทแวดล้อมอันชวนปรารถนาที่ดีที่สุด Diane Stone, Osmany Porto de Oliveira, and Leslie A Pal, "Transnational Policy Transfer: The Circulation of Ideas, Power and Development Models," Policy and Society 39, no. 1 (2019): 1, accessed 7/9/2024, https://dx.doi.org/10.1080/14494035.2019.1619325. index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน index.php?title=หมวดหมู่:การปกครองท้องถิ่น index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ