ผลต่างระหว่างรุ่นของ "รัฐบาลพรรคเดียว"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " '''ผู้เรียบเรียง '''เอกวีร์ มีสุข '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทค..."
 
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 3 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:


'''ผู้เรียบเรียง '''เอกวีร์ มีสุข
'''ผู้เรียบเรียง''' ''':''' เอกวีร์ มีสุข


'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ '''รศ. ดร. นิยม รัฐอมฤต  
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' ''':''' รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต  


 
 


'''รัฐบาลพรรคเดียว'''
<span style="font-size:x-large;">'''รัฐบาลพรรคเดียว'''</span>


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การทำความเข้าใจความหมายของรัฐบาลพรรคเดียวแบ่งการอธิบายออกเป็นสามส่วน คือ หนึ่ง การนิยามความหมายทั่วไปของรัฐบาลพรรคเดียว สอง รัฐบาลพรรคเดียวในการปกครองระบบรัฐสภา และ สามระบบพรรคการเมืองในการเกิดรัฐบาลพรรคเดียว
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การทำความเข้าใจความหมายของรัฐบาลพรรคเดียวแบ่งการอธิบายออกเป็นสามส่วน คือ หนึ่ง การนิยามความหมายทั่วไปของรัฐบาลพรรคเดียว สอง รัฐบาลพรรคเดียวในการปกครองระบบรัฐสภา และ สามระบบพรรคการเมืองในการเกิดรัฐบาลพรรคเดียว


&nbsp;
= <span style="font-size:x-large;">'''นิยามทั่วไปของรัฐบาลพรรคเดียว'''</span> =
 
'''นิยามทั่วไปของรัฐบาลพรรคเดียว'''
 
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; รัฐบาลพรรคเดียวหรือรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก (Single-Party Majoritarian Government) หมายถึง รูปแบบรัฐบาลที่จัดตั้งโดยพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา (หรือในกรณีของประเทศที่ใช้ระบบสภาคู่จะต้องมีเสียงข้างมากในสภาล่างหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร)[[#_ftn1|[1]]] การเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในกรณีนี้พบในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภา (parliamentary government) ตัวอย่างเช่น รัฐบาลพรรคเดียวของพรรคไทยรักไทยภายหลังการชนะการเลือกตั้งในพ.ศ.2548 การสลับกันเป็นรัฐบาลพรรคเดียวระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) และพรรคแรงงาน (Labour Party) ในประเทศอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน หรือการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวของพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party: LDP) ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยความหมายของรัฐบาลพรรคเดียวที่ในที่นี้จะแตกต่างจากระบบพรรคการเมืองพรรคเดียว (Single-Party System หรือ One-party state) ที่ประเทศกำหนดให้พรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวมีอำนาจทางการเมืองในการปกครองประเทศภายใต้ระบอบปกครองแบบเบ็ดเสร็จ (totalitarianism)


&nbsp;
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; รัฐบาลพรรคเดียวหรือรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก (Single-Party Majoritarian Government) หมายถึง รูปแบบรัฐบาลที่จัดตั้งโดยพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา (หรือในกรณีของประเทศที่ใช้ระบบสภาคู่จะต้องมีเสียงข้างมากในสภาล่างหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร)[[#_ftn1|[1]]] การเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในกรณีนี้พบในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภา (parliamentary government) ตัวอย่างเช่น รัฐบาลพรรคเดียวของพรรคไทยรักไทยภายหลังการชนะการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2548 การสลับกันเป็นรัฐบาลพรรคเดียวระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) และพรรคแรงงาน (Labour Party) ในประเทศอังกฤษหลัง[[สงครามโลกครั้งที่_2|สงครามโลกครั้งที่_2]] จนถึงปัจจุบัน หรือการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวของพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party: LDP) ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยความหมายของรัฐบาลพรรคเดียวที่ในที่นี้จะแตกต่างจาก[[ระบบพรรคการเมืองพรรคเดียว|ระบบพรรคการเมืองพรรคเดียว]] (Single-Party System หรือ One-party state) ที่ประเทศกำหนดให้พรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวมีอำนาจทางการเมืองในการปกครองประเทศภายใต้ระบอบปกครองแบบเบ็ดเสร็จ (totalitarianism)


'''รัฐบาลพรรคเดียวในการปกครองระบบรัฐสภา'''
= <span style="font-size:x-large;">'''รัฐบาลพรรคเดียวในการปกครองระบบรัฐสภา'''</span> =


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การปกครองระบบรัฐสภา (parliamentary government) ในระบอบประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองของประเทศประชาธิปไตยที่นิยมใช้กันมากที่สุด การปกครองระบบรัฐสภาจะมีรัฐบาล (government) ที่ประกอบด้วยหัวหน้ารัฐบาล (head of government) ที่เรียกว่านายกรัฐมนตรี (prime minister) เป็นผู้นำของรัฐบาล และมีคณะรัฐมนตรี (cabinet) ทำหน้าที่ในการตัดสินใจในการบริหารงานรัฐและกำกับการทำงานของระบบราชการ โดยกระบวนการเลือกรัฐบาลในระบบรัฐสภาดำเนินการในสองขั้นตอนหลัก คือ หนึ่ง ประชาชนจะเป็นผู้เลือกสมาชิกรัฐสภา และ สอง สมาชิกรัฐสภาจะเป็นผู้เลือกหรือรับรองหัวหน้ารัฐบาลรัฐบาล[[#_ftn2|[2]]] การจัดตั้งรัฐบาลจะทำได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลได้รับการเลือกหรือรับรองโดยเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกรัฐสภา โดยผู้นำของพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากในรัฐสภาจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีจะเลือกสมาชิกพรรคหรือบุคคลที่เห็นว่าสมควรเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี[[#_ftn3|[3]]] แต่พรรคการเมืองคู่แข่งที่มีจำนวนที่นั่งในรัฐสภาน้อยกว่าพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากมีความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคการเมืองอื่นแข่งขันกับพรรคเสียงข้างมาก[[#_ftn4|[4]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การปกครองระบบรัฐสภา (parliamentary government) ในระบอบประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองของประเทศประชาธิปไตยที่นิยมใช้กันมากที่สุด การปกครองระบบรัฐสภาจะมีรัฐบาล (government) ที่ประกอบด้วยหัวหน้ารัฐบาล (head of government) ที่เรียกว่านายกรัฐมนตรี (prime minister) เป็นผู้นำของรัฐบาลและมีคณะรัฐมนตรี (cabinet) ทำหน้าที่ในการตัดสินใจในการบริหารงานรัฐและกำกับการทำงานของระบบราชการ โดยกระบวนการเลือกรัฐบาลในระบบรัฐสภาดำเนินการในสองขั้นตอนหลัก คือ หนึ่ง ประชาชนจะเป็นผู้เลือกสมาชิกรัฐสภา และ สอง สมาชิกรัฐสภาจะเป็นผู้เลือกหรือรับรองหัวหน้ารัฐบาลรัฐบาล[[#_ftn2|[2]]] การจัดตั้งรัฐบาลจะทำได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลได้รับการเลือกหรือรับรองโดยเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกรัฐสภา โดยผู้นำของพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากในรัฐสภาจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีจะเลือกสมาชิกพรรคหรือบุคคลที่เห็นว่าสมควรเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี[[#_ftn3|[3]]] แต่พรรคการเมืองคู่แข่งที่มีจำนวนที่นั่งในรัฐสภาน้อยกว่าพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากมีความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคการเมืองอื่นแข่งขันกับพรรคเสียงข้างมาก[[#_ftn4|[4]]]


สำหรับรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก (Single-Party Majoritarian Government) '''จะเกิดขึ้นได้เมื่อพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ชนะการเลือกตั้งโดยได้เสียงข้างมากเด็ดขาดหรือได้จำนวนเสียงข้างมากกว่ากึ่งหนึ่ง (หรือมากกว่าร้อยละ ''''''50) ของจำนวนที่นั่งในรัฐสภา''' '''(หรือจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้'''[[#_ftn5|[5]]] ตัวอย่างเช่น หากมีพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งและได้ที่นั่งในรัฐสภาจำนวน 4 พรรค ประกอบด้วยพรรคกอไก่ พรรคขอไข่ พรรคคอควาย และพรรคงองู พบว่าพรรคกอไก่ได้จำนวนที่นั่งมากกว่ากึ่งหนึ่งในรัฐสภา ดังตารางประกอบที่ 1 โดยเกณฑ์การเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากขึ้นอยู่กับ''จำนวนที่นั่งในรัฐสภา'' โดยเฉพาะในระบบสภาคู่ที่ต้องได้เสียงข้างมากในสภาล่างหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุนี้ พรรคการเมืองที่แม้ว่าจะได้จำนวนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด แต่ถ้าได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งก็จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ดังตารางประกอบที่ 2 พรรคเพนนีแม้จะได้คะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดและเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด แต่ได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาน้อยกว่าพรรคบอมเบย์จึงทำให้พรรคบอมเบย์เป็นพรรคที่มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สำหรับรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก (Single-Party Majoritarian Government) จะเกิดขึ้นได้เมื่อ ''พรรคการเมืองพรรคเดียวที่ชนะการเลือกตั้งโดยได้เสียงข้างมากเด็ดขาดหรือได้จำนวนเสียงข้างมากกว่ากึ่งหนึ่ง (หรือมากกว่า ร้อยละ 50) ของจำนวนที่นั่งในรัฐสภา&nbsp;(หรือจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้''[[#_ftn5|[5]]] ตัวอย่างเช่น หากมีพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งและได้ที่นั่งในรัฐสภาจำนวน 4 พรรค ประกอบด้วยพรรคกอไก่ พรรคขอไข่ พรรคคอควาย และพรรคงองู พบว่าพรรคกอไก่ได้จำนวนที่นั่งมากกว่ากึ่งหนึ่งในรัฐสภา ดังตารางประกอบที่ 1 โดยเกณฑ์การเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งในรัฐสภา โดยเฉพาะในระบบสภาคู่ที่ต้องได้เสียงข้างมากในสภาล่างหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุนี้ พรรคการเมืองที่แม้ว่าจะได้จำนวนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด แต่ถ้าได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งก็จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ดังตารางประกอบที่ 2 พรรคเพนนีแม้จะได้คะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดและเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด แต่ได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาน้อยกว่าพรรคบอมเบย์จึงทำให้พรรคบอมเบย์เป็นพรรคที่มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว


&nbsp;
&nbsp;
 
<p style="text-align: center;">'''ตารางที่ 1&nbsp;: '''พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งพรรคเดียว</p>
'''ตารางที่ ''''''1: พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งพรรคเดียว'''
{| align="center" border="1" cellpadding="0" cellspacing="0"
 
{| border="1" cellpadding="0" cellspacing="0"
|-
|-
| style="width:170px;" |  
| style="width: 171px; text-align: center;" |  
'''พรรคการเมือง'''
'''พรรคการเมือง'''


| style="width:230px;" |  
| style="width: 200px; text-align: center;" |  
'''จำนวนที่นั่งในรัฐสภา (''''''100 ที่นั่ง)'''
'''จำนวนที่นั่งในรัฐสภา (100 ที่นั่ง)'''


| style="width:200px;" |  
| style="width: 200px; text-align: center;" |  
'''ร้อยละของจำนวนที่นั่งในรัฐสภา'''
'''ร้อยละของจำนวนที่นั่งในรัฐสภา'''


|-
|-
| style="width:170px;" |  
| style="width: 171px;" | <p style="text-align: center;">'''พรรค ก.'''</p>
'''พรรคกอไก่'''
| style="width: 229px;" | <p style="text-align: center;">'''55'''</p>
 
| style="width:200px;" | <p style="text-align: center;">'''55%'''</p>
| style="width:230px;" |  
'''55'''
 
| style="width:200px;" |  
'''55%'''
 
|-
|-
| style="width:170px;" |  
| style="width: 171px;" | <p style="text-align: center;">พรรค ข.</p>
พรรคขอไข่
| style="width: 229px;" | <p style="text-align: center;">25</p>
 
| style="width:200px;" | <p style="text-align: center;">25%</p>
| style="width:230px;" |  
25
 
| style="width:200px;" |  
25%
 
|-
|-
| style="width:170px;" |  
| style="width: 171px;" | <p style="text-align: center;">พรรค ค.</p>
พรรคคอควาย
| style="width: 229px;" | <p style="text-align: center;">15</p>
 
| style="width:200px;" | <p style="text-align: center;">15%</p>
| style="width:230px;" |  
15
 
| style="width:200px;" |  
15%
 
|-
|-
| style="width:170px;" |  
| style="width: 171px;" | <p style="text-align: center;">พรรค ง.</p>
พรรคงองู
| style="width: 229px;" | <p style="text-align: center;">5</p>
 
| style="width:200px;" | <p style="text-align: center;">5%</p>
| style="width:230px;" |  
5
 
| style="width:200px;" |  
5%
 
|}
|}
 
<p style="text-align: center;">'''ที่มา'''&nbsp;''':''' จำลองโดยผู้เขียน</p>
'''ที่มา: จำลองโดยผู้เขียน'''
 
&nbsp;
 
&nbsp;
 
&nbsp;
&nbsp;
 
<p style="text-align: center;">'''ตารางที่ 2&nbsp;: '''พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งพรรคเดียว</p>
'''ตารางที่ ''''''2: พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งพรรคเดียว'''
{| align="center" border="1" cellpadding="0" cellspacing="0"
 
{| border="1" cellpadding="0" cellspacing="0"
|-
|-
| style="width:122px;" |  
| style="width: 122px; text-align: center;" |  
'''พรรคการเมือง'''
'''พรรคการเมือง'''


| style="width:278px;" |  
| style="width: 200px; text-align: center;" |  
'''จำนวน/ร้อยละที่นั่งในรัฐสภา (''''''200 ที่นั่ง)'''
'''จำนวน/ร้อยละที่นั่งในรัฐสภา (200 ที่นั่ง)'''


| style="width:200px;" |  
| style="width: 150px; text-align: center;" |  
'''ร้อยละของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง'''
'''ร้อยละของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง'''


|-
|-
| style="width:122px;" |  
| style="width:122px;" | <p style="text-align: center;">พรรคบอมเบย์</p>
'''พรรคบอมเบย์'''
| style="width:278px;" | <p style="text-align: center;">110 (55%)</p>
 
| style="width:200px;" | <p style="text-align: center;">40</p>
| style="width:278px;" |  
'''110 (55%)'''
 
| style="width:200px;" |  
'''40'''
 
|-
|-
| style="width:122px;" |  
| style="width:122px;" | <p style="text-align: center;">พรรคเพนนี</p>
พรรคเพนนี
| style="width:278px;" | <p style="text-align: center;">80 (40%)</p>
 
| style="width:200px;" | <p style="text-align: center;">52</p>
| style="width:278px;" |  
80 (40%)
 
| style="width:200px;" |  
52
 
|-
|-
| style="width:122px;" |  
| style="width:122px;" | <p style="text-align: center;">พรรคบีน่า</p>
พรรคบีน่า
| style="width:278px;" | <p style="text-align: center;">5 (2.5%)</p>
 
| style="width:200px;" | <p style="text-align: center;">6</p>
| style="width:278px;" |  
5 (2.5%)
 
| style="width:200px;" |  
6
 
|-
|-
| style="width:122px;" |  
| style="width:122px;" | <p style="text-align: center;">พรรคบูเก้</p>
พรรคบูเก้
| style="width:278px;" | <p style="text-align: center;">5 (2.5%)</p>
 
| style="width:200px;" | <p style="text-align: center;">2</p>
| style="width:278px;" |  
5 (2.5%)
 
| style="width:200px;" |  
2
 
|}
|}
 
<p style="text-align: center;">'''ที่มา&nbsp;: '''จำลองโดยผู้เขียน</p>
'''ที่มา: จำลองโดยผู้เขียน'''
 
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;
 
อย่างไรก็ตาม การเป็นรัฐบาลพรรคเดียวต้องขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งในรัฐสภา หากสมาชิกรัฐสภาที่สังกัดพรรคเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลไม่เชื่อฟังหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากพรรคก็อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องควบคุมการทำงานและทิศทางของสมาชิกรัฐสภาพรรคของตนเอง ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองต้องสร้าง'''วินัยพรรค (''''''Party Discipline)''' เพือให้สมาชิกรัฐสภาลงคะแนนเสียงในสภาไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์[[#_ftn6|[6]]] มีน้อยครั้งมากที่จะมีการลงคะแนนเสียงขัดแย้งกับทิศทางของพรรค เว้นแต่ว่าผู้นำพรรคจะเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถตัดสินใจลงคะแนนเสียงได้อย่างอิสระตามจิตสำนึกของตัวสมาชิกเองหรือตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่[[#_ftn7|[7]]] นอกจากนี้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาสามารถกำกับทิศทางการทำงานในกระบวนการนิติบัญญัติ อาทิ การกำหนดวาระการประชุมและการกำหนดช่วงเวลาในการบรรจุวาระ[[#_ftn8|[8]]] ถ้าหากพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาไม่สามารถรักษาวินัยพรรคได้ก็ส่งผลกระทบต่อการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่สามารถควบคุมคะแนนเสียงเพื่อไว้วางใจ (vote of confidence) จากสภาได้[[#_ftn9|[9]]] อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สมาชิกผู้ลงคะแนนจัดแย้งกับทิศทางของพรรคจะย้ายขั้วทางการเมืองไปสังกัดกับพรรคฝ่ายตรงข้ามหรือประกาศตนเป็นอิสระ (independent)[[#_ftn10|[10]]]
 
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;


'''ระบบพรรคการเมืองในการเกิดรัฐบาลพรรคเดียว'''
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; อย่างไรก็ตาม การเป็นรัฐบาลพรรคเดียวต้องขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งในรัฐสภา หากสมาชิกรัฐสภาที่สังกัดพรรคเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลไม่เชื่อฟังหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากพรรคก็อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องควบคุมการทำงานและทิศทางของสมาชิกรัฐสภาพรรคของตนเอง ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองต้องสร้างวินัยพรรค (Party Discipline) เพือให้สมาชิกรัฐสภาลงคะแนนเสียงในสภาไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์[[#_ftn6|[6]]] มีน้อยครั้งมากที่จะมีการลงคะแนนเสียงขัดแย้งกับทิศทางของพรรค เว้นแต่ว่าผู้นำพรรคจะเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถตัดสินใจลงคะแนนเสียงได้อย่างอิสระตามจิตสำนึกของตัวสมาชิกเองหรือตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่[[#_ftn7|[7]]] นอกจากนี้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาสามารถกำกับทิศทางการทำงานในกระบวนการนิติบัญญัติ อาทิ การกำหนดวาระการประชุมและการกำหนดช่วงเวลาในการบรรจุวาระ[[#_ftn8|[8]]] ถ้าหากพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาไม่สามารถรักษาวินัยพรรคได้ก็ส่งผลกระทบต่อการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่สามารถควบคุมคะแนนเสียงเพื่อไว้วางใจ (vote of confidence) จากสภาได้[[#_ftn9|[9]]] อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สมาชิกผู้ลงคะแนนจัดแย้งกับทิศทางของพรรคจะย้ายขั้วทางการเมืองไปสังกัดกับพรรคฝ่ายตรงข้ามหรือประกาศตนเป็นอิสระ (independent)[[#_ftn10|[10]]]&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;
 
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเกิดรัฐบาลพรรคเดียวที่สำคัญคือระบบพรรคการเมืองที่ก่อร่างและมีพัฒนาการตามลักษณะเฉพาะในแต่ละประเทศ จนกล่าวได้ว่าสิ่งที่กำหนดว่าพรรคการเมืองจะสามารถควบคุมและได้รับเสียงส่วนใหญ่ในการจัดตั้งรัฐบาลคือระบบพรรคการเมือง ว่าจะส่งผลให้เกิดการตั้งรัฐบาลพรรคเดียว รัฐบาลผสม (coalition cabinet) หรือรัฐบาลเสียงข้างน้อย (minority cabinet) จากแผนภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฎการณ์รัฐบาลพรรคเดียวสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศที่ระบบการแข่งขันของพรรคการเมืองแบบสองพรรค (two-party system) และแบบหลายพรรค (multiparty system)[[#_ftn11|[11]]]


โดยในส่วนของระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค (two-party system) จะเกิดในประเทศที่ระบบพรรคการเมืองก่อให้เกิดระบบพรรคใหญ่สองพรรคที่สามารถแข่งขันกันเพื่อได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แม้ว่าในระบบสองพรรคอาจมีพรรคการเมืองขนาดเล็กสามารถสมัครรับเลือกตั้งและได้ที่นั่งในรัฐสภาบ้าง แต่จะมีเพียงพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ที่จะได้คะแนนเสียงและที่นั่งในรัฐสภาเกือบทั้งหมดในการเลือกตั้ง พรรคการเมืองขนาดใหญ่สองพรรคมักจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนการชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล โดยคะแนนเสียงที่ได้จะช่วยให้พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งสามารถควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้[[#_ftn12|[12]]] ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคที่เกิดในประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภาที่สำคัญ ได้แก่ อังกฤษที่ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคได้ครอบงำระบบการเมืองของอังกฤษมาเป็นเวลายาวนานและได้แพร่กระจายไปยังประเทศในเครือจักรภพของอังกฤษและประเทศอื่น ๆ[[#_ftn13|[13]]] ขณะที่ระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรค (multiparty system) จะเกิดในประเทศที่มีพรรคการเมืองหลายพรรคตั้งแต่ 3 พรรคขึ้นไปแต่ไม่มีพรรคใดที่สามารถได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้พรรคการเมืองต้องแข่งขันกันเพื่อรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ได้เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม[[#_ftn14|[14]]] อย่างไรก็ตาม อาจมีบางกรณีที่ประเทศที่มีระบบพรรคการเมืองหลายพรรคอาจมีพรรคการเมืองที่สามารถชนะการเลือกตั้งจนได้คะแนนเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด แต่ความเป็นไปได้ในการเกิดกรณีดังกล่าวย่อมน้อยกว่าประเทศที่ใช้ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค
= <span style="font-size:x-large;">'''ระบบพรรคการเมืองในการเกิดรัฐบาลพรรคเดียว'''</span> =


&nbsp;
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเกิดรัฐบาลพรรคเดียวที่สำคัญคือระบบพรรคการเมืองที่ก่อร่างและมีพัฒนาการตามลักษณะเฉพาะในแต่ละประเทศ จนกล่าวได้ว่าสิ่งที่กำหนดว่าพรรคการเมืองจะสามารถควบคุมและได้รับเสียงส่วนใหญ่ในการจัดตั้งรัฐบาลคือระบบพรรคการเมือง ว่าจะส่งผลให้เกิดการตั้ง'''รัฐบาลพรรคเดียว''' [[รัฐบาลผสม|รัฐบาลผสม]] (coalition cabinet) หรือรัฐบาลเสียงข้างน้อย (minority cabinet) จากแผนภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฎการณ์รัฐบาลพรรคเดียวสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศที่ระบบการแข่งขันของพรรคการเมืองแบบสองพรรค (two-party system) และแบบหลายพรรค (multiparty system)[[#_ftn11|[11]]]


'''แผนภาพที่ ''''''1: พรรคการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลในระบบรัฐสภา'''
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โดยในส่วนของระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค (two-party system) จะเกิดในประเทศที่ระบบพรรคการเมืองก่อให้เกิดระบบพรรคใหญ่สองพรรคที่สามารถแข่งขันกันเพื่อได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แม้ว่าในระบบสองพรรคอาจมีพรรคการเมืองขนาดเล็กสามารถสมัครรับเลือกตั้งและได้ที่นั่งในรัฐสภาบ้าง แต่จะมีเพียงพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ที่จะได้คะแนนเสียงและที่นั่งในรัฐสภาเกือบทั้งหมดในการเลือกตั้ง พรรคการเมืองขนาดใหญ่สองพรรคมักจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนการชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล โดยคะแนนเสียงที่ได้จะช่วยให้พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งสามารถควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้[[#_ftn12|[12]]] ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคที่เกิดในประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภาที่สำคัญ ได้แก่ อังกฤษที่ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคได้ครอบงำระบบการเมืองของอังกฤษมาเป็นเวลายาวนานและได้แพร่กระจายไปยังประเทศในเครือจักรภพของอังกฤษและประเทศอื่น ๆ[[#_ftn13|[13]]] ขณะที่ระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรค (multiparty system) จะเกิดในประเทศที่มีพรรคการเมืองหลายพรรคตั้งแต่ 3 พรรคขึ้นไปแต่ไม่มีพรรคใดที่สามารถได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้พรรคการเมืองต้องแข่งขันกันเพื่อรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ได้เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม[[#_ftn14|[14]]] อย่างไรก็ตาม อาจมีบางกรณีที่ประเทศที่มีระบบพรรคการเมืองหลายพรรคอาจมีพรรคการเมืองที่สามารถชนะการเลือกตั้งจนได้คะแนนเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด แต่ความเป็นไปได้ในการเกิดกรณีดังกล่าวย่อมน้อยกว่าประเทศที่ใช้ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค


&nbsp;
&nbsp;
 
<p style="text-align: center;">'''แผนภาพที่ 1&nbsp;: '''พรรคการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลในระบบรัฐสภา</p>
'''ที่มา: แปลจาก ''''''Gabriel A. Almond et al., "Government and Policymaking," in ''Comparative Politics Today: A World View'', ed. Gabriel A. Almond et al. (New York: Pearson, 2006), 121.'''
[[File:GOV-1.jpg|center|RTENOTITLE]]
 
<p style="text-align: center;">'''ที่มา&nbsp;:''' แปลจาก&nbsp;Gabriel A. Almond et al., "Government and Policymaking," in ''Comparative Politics Today: A World View'', ed. Gabriel A. Almond et al. (New York: Pearson, 2006), 121.</p>
&nbsp;
&nbsp;


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; อนึ่ง มีข้อสังเกตว่าการเกิดขึ้นของรัฐบาลพรรคเดียวที่ครองอำนาจมาเป็นเวลายาวนานมีความสัมพันธ์กับการมีระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (predominant-party system) อันเป็นระบบที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียวได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่แบบเด็ดขาดจนสามารถครอบครองที่นั่งในรัฐสภามาอย่างยาวนานในทุกการเลือกตั้งทำให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่องมั่นคง โดยที่ระบบพรรคเด่นพรรคเดียวสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศประชาธิปไตยที่มีระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรคที่มีการแข่งขันผ่านการเลือกตั้ง แต่อาจมีเพียงพรรคการเมืองเดียวที่มีความเข้มแข็งและสามารถครองอำนาจในฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมายาวนาน[[#_ftn15|[15]]] โจวันนี ซาร์โตรี (Giovanni Sartori) มองว่าการเกิดระบบพรรคเด่นพรรคเดียวก็ต่อเมื่อมีพรรคการเมืองที่สามารถครองอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 รัฐบาล[[#_ftn16|[16]]] โดยมีคุณสมบัติของการเป็นรัฐบาลพรรคเดียวประกอบด้วย 3 มิติ คือ หนึ่ง พรรคการเมืองต้องได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาที่มากกว่าพรรคการเมืองคู่แข่ง (dominant in number) ส่งผลให้พรรคการเมืองคู่แข่งมีจำนวนที่นั่งน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สอง พรรคการเมืองต้องมีความสามารถสูงในการต่อรองอำนาจ (dominant bargaining position) อย่างมีประสิทธิภาพกับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองที่มีความสามารถด้อยกว่าอื่นๆ พรรคการเมืองต้องมีอำนาจต่อรองในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ (strategic position) สูงกว่ากลุ่มอื่น และ สาม พรรคการเมืองสามารถครอบงำรัฐบาลจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน (dominant governmentally) นโยบายของพรรคการเมืองถูกแปลงเป็นวาระนโยบายการเมืองแห่งชาติ (National Political Agenda) จนสามารถครอบงำผู้เลือกตั้งและพรรคการเมืองอื่น[[#_ftn17|[17]]] ประเทศที่มีรัฐบาลพรรคเดียวจากระบบพรรคเด่นพรรคเดียวที่สำคัญ อาทิ พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party: LDP) ของประเทศญี่ปุ่นที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลมายาวนานระหว่างค.ศ.1955-1993 และพรรคกิจประชาชน (People's Action Party: PAP) ของประเทศสิงคโปร์ที่เป็นรัฐบาลพรรคเดียวยาวนานตั้งแต่การเลือกตั้งในค.ศ.1959 จนถึงปัจจุบัน เป็นต้น
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; อนึ่ง มีข้อสังเกตว่าการเกิดขึ้นของรัฐบาลพรรคเดียวที่ครองอำนาจมาเป็นเวลายาวนานมีความสัมพันธ์กับการมีระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (predominant-party system) อันเป็นระบบที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียวได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่แบบเด็ดขาดจนสามารถครอบครองที่นั่งในรัฐสภามาอย่างยาวนานในทุกการเลือกตั้งทำให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่องมั่นคง โดยที่ระบบพรรคเด่นพรรคเดียวสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศประชาธิปไตยที่มีระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรคที่มีการแข่งขันผ่านการเลือกตั้ง แต่อาจมีเพียงพรรคการเมืองเดียวที่มีความเข้มแข็งและสามารถครองอำนาจในฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมายาวนาน[[#_ftn15|[15]]] โจวันนี ซาร์โตรี (Giovanni Sartori) มองว่าการเกิดระบบพรรคเด่นพรรคเดียวก็ต่อเมื่อมีพรรคการเมืองที่สามารถครองอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 รัฐบาล[[#_ftn16|[16]]] โดยมีคุณสมบัติของการเป็นรัฐบาลพรรคเดียวประกอบด้วย 3 มิติ คือ หนึ่ง พรรคการเมืองต้องได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาที่มากกว่าพรรคการเมืองคู่แข่ง (dominant in number) ส่งผลให้พรรคการเมืองคู่แข่งมีจำนวนที่นั่งน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สอง พรรคการเมืองต้องมีความสามารถสูงในการต่อรองอำนาจ (dominant bargaining position) อย่างมีประสิทธิภาพกับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองที่มีความสามารถด้อยกว่าอื่น ๆ พรรคการเมืองต้องมีอำนาจต่อรองในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ (strategic position) สูงกว่ากลุ่มอื่น และ สาม พรรคการเมืองสามารถครอบงำรัฐบาลจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน (dominant governmentally) นโยบายของพรรคการเมืองถูกแปลงเป็นวาระนโยบายการเมืองแห่งชาติ (National Political Agenda) จนสามารถครอบงำผู้เลือกตั้งและพรรคการเมืองอื่น[[#_ftn17|[17]]] ประเทศที่มีรัฐบาลพรรคเดียวจากระบบพรรคเด่นพรรคเดียวที่สำคัญ อาทิ พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party: LDP) ของประเทศญี่ปุ่นที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลมายาวนานระหว่าง ค.ศ. 1955-1993 และพรรคกิจประชาชน (People's Action Party: PAP) ของประเทศสิงคโปร์ที่เป็นรัฐบาลพรรคเดียวยาวนานตั้งแต่การเลือกตั้งใน ค.ศ. 1959 จนถึงปัจจุบัน เป็นต้น
 
&nbsp;


'''บรรณานุกรม'''
= <span style="font-size:x-large;">'''บรรณานุกรม'''</span> =


Almond, Gabriel A., G. Bingham Powell, Kaare Strom, and Russell J. Dalton. "Government and Policymaking." In ''Comparative Politics Today: A World View'', edited by Gabriel A. Almond, Russell J. Dalton, G. Bingham Powell, and Kaare Strom, 101-28. New York: Pearson, 2006.
Almond, Gabriel A., G. Bingham Powell, Kaare Strom, and Russell J. Dalton. "Government and Policymaking." In Comparative Politics Today: A World View, edited by Gabriel A. Almond, Russell J. Dalton, G. Bingham Powell, and Kaare Strom, 101-28. New York: Pearson, 2006.


Dimock, S. "Parliamentary Ethics." In ''Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition)'', edited by Ruth Chadwick, 338-48. San Diego: Academic Press, 2012.
Dimock, S. "Parliamentary Ethics." In Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition), edited by Ruth Chadwick, 338-48. San Diego: Academic Press, 2012.


Encyclopedia.com. "Majoritarian Party Systems." Last modified Accessed 17 June, 2021. https://www.encyclopedia.com/international/legal-and-political-magazines/majoritarian-party-systems.
Encyclopedia.com. "Majoritarian Party Systems." Last modified Accessed 17 June, 2021. [https://www.encyclopedia.com/international/legal-and-political-magazines/majoritarian-party-systems https://www.encyclopedia.com/international/legal-and-political-magazines/majoritarian-party-systems].


Klesner, Joseph L. ''Comparative Politica: A Introduction''. New York: McGraw-Hill, 2014.
Klesner, Joseph L. Comparative Politica: A Introduction. New York: McGraw-Hill, 2014.


นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์. "การก่อเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในการเมืองไทย: ศึกษากรณีพรรคไทยรักไทย." มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550.
นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์. "การก่อเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในการเมืองไทย: ศึกษากรณีพรรคไทยรักไทย." มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550.
บรรทัดที่ 187: บรรทัดที่ 115:


วรวลัญจ์ โรจนพล. "รัฐบาลในการเมืองไทย." ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, ฐปนรรต พรหมอินทร์ (บรรณาธิการ), 6-1 - 6-70. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2561.
วรวลัญจ์ โรจนพล. "รัฐบาลในการเมืองไทย." ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, ฐปนรรต พรหมอินทร์ (บรรณาธิการ), 6-1 - 6-70. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2561.
<div>
= '''<span style="font-size:x-large;">อ้างอิง</span>''' =


&nbsp;
<div>อ้างอิง
----
<div id="ftn1">
[[#_ftnref1|[1]]] วรวลัญจ์ โรจนพล, "รัฐบาลในการเมืองไทย," ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, ฐปนรรต พรหมอินทร์ (บรรณาธิการ) (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2561), 17.
[[#_ftnref1|[1]]] วรวลัญจ์ โรจนพล, "รัฐบาลในการเมืองไทย," ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, ฐปนรรต พรหมอินทร์ (บรรณาธิการ) (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2561), 17.
</div> <div id="ftn2">
<div id="ftn2">
[[#_ftnref2|[2]]] Joseph L. Klesner, ''Comparative Politica: A Introduction'' (New York: McGraw-Hill, 2014), 115-16.
[[#_ftnref2|[2]]] Joseph L. Klesner, Comparative Politica: A Introduction (New York: McGraw-Hill, 2014), 115-16.
</div> <div id="ftn3">
</div> <div id="ftn3">
[[#_ftnref3|[3]]] วรวลัญจ์ โรจนพล,&nbsp; ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, 17.
[[#_ftnref3|[3]]] วรวลัญจ์ โรจนพล,&nbsp; ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, 17.
บรรทัดที่ 204: บรรทัดที่ 130:
[[#_ftnref6|[6]]] Ibid., 117.
[[#_ftnref6|[6]]] Ibid., 117.
</div> <div id="ftn7">
</div> <div id="ftn7">
[[#_ftnref7|[7]]] S. Dimock, "Parliamentary Ethics," in ''Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition)'', ed. Ruth Chadwick (San Diego: Academic Press, 2012).
[[#_ftnref7|[7]]] S. Dimock, "Parliamentary Ethics," in Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition), ed. Ruth Chadwick (San Diego: Academic Press, 2012).
</div> <div id="ftn8">
</div> <div id="ftn8">
[[#_ftnref8|[8]]] วรวลัญจ์ โรจนพล,&nbsp; ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, 18.
[[#_ftnref8|[8]]] วรวลัญจ์ โรจนพล,&nbsp; ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, 18.
บรรทัดที่ 210: บรรทัดที่ 136:
[[#_ftnref9|[9]]] Klesner, 117.
[[#_ftnref9|[9]]] Klesner, 117.
</div> <div id="ftn10">
</div> <div id="ftn10">
[[#_ftnref10|[10]]] Dimock,&nbsp; in ''Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition)''.
[[#_ftnref10|[10]]] Dimock,&nbsp; in Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition).
</div> <div id="ftn11">
</div> <div id="ftn11">
[[#_ftnref11|[11]]] Gabriel A. Almond et al., "Government and Policymaking," in ''Comparative Politics Today: A World View'', ed. Gabriel A. Almond et al. (New York: Pearson, 2006), 101-28.
[[#_ftnref11|[11]]] Gabriel A. Almond et al., "Government and Policymaking," in Comparative Politics Today: A World View, ed. Gabriel A. Almond et al. (New York: Pearson, 2006), 101-28.
</div> <div id="ftn12">
</div> <div id="ftn12">
[[#_ftnref12|[12]]] พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์, "วิวัฒนาการพรรคการเมืองจากอดีตสู่ปัจจุบัน," วารสารพรรคการเมืองสัมพันธ์ 19, เล่ม 2 (2557): 9.
[[#_ftnref12|[12]]] พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์, "วิวัฒนาการพรรคการเมืองจากอดีตสู่ปัจจุบัน," วารสารพรรคการเมืองสัมพันธ์ 19, เล่ม 2 (2557): 9.
</div> <div id="ftn13">
</div> <div id="ftn13">
[[#_ftnref13|[13]]] Encyclopedia.com, "Majoritarian Party Systems," accessed 17 June, 2021. https://www.encyclopedia.com/international/legal-and-political-magazines/majoritarian-party-systems.
[[#_ftnref13|[13]]] Encyclopedia.com, "Majoritarian Party Systems," accessed 17 June, 2021. [https://www.encyclopedia.com/international/legal-and-political-magazines/majoritarian-party-systems https://www.encyclopedia.com/international/legal-and-political-magazines/majoritarian-party-systems].
</div> <div id="ftn14">
</div> <div id="ftn14">
[[#_ftnref14|[14]]] พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์, 10.
[[#_ftnref14|[14]]] พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์, 10.
บรรทัดที่ 225: บรรทัดที่ 151:
</div> <div id="ftn17">
</div> <div id="ftn17">
[[#_ftnref17|[17]]] Ibid., 31-32.
[[#_ftnref17|[17]]] Ibid., 31-32.
</div> </div> <div><div id="ftn17">
</div> </div> <div><div id="ftn17"><!--![endif]----></div> </div>  
<!--![endif]---->
&nbsp;[[Category:พรรคการเมือง]] [[Category:ว่าด้วยพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง]] [[Category:พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง]] [[Category:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ]]
</div> </div>  
<!--![endif]---->

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:54, 14 กรกฎาคม 2566

ผู้เรียบเรียง : เอกวีร์ มีสุข

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต  

 

รัฐบาลพรรคเดียว

          การทำความเข้าใจความหมายของรัฐบาลพรรคเดียวแบ่งการอธิบายออกเป็นสามส่วน คือ หนึ่ง การนิยามความหมายทั่วไปของรัฐบาลพรรคเดียว สอง รัฐบาลพรรคเดียวในการปกครองระบบรัฐสภา และ สามระบบพรรคการเมืองในการเกิดรัฐบาลพรรคเดียว

นิยามทั่วไปของรัฐบาลพรรคเดียว

          รัฐบาลพรรคเดียวหรือรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก (Single-Party Majoritarian Government) หมายถึง รูปแบบรัฐบาลที่จัดตั้งโดยพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา (หรือในกรณีของประเทศที่ใช้ระบบสภาคู่จะต้องมีเสียงข้างมากในสภาล่างหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร)[1] การเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในกรณีนี้พบในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภา (parliamentary government) ตัวอย่างเช่น รัฐบาลพรรคเดียวของพรรคไทยรักไทยภายหลังการชนะการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2548 การสลับกันเป็นรัฐบาลพรรคเดียวระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) และพรรคแรงงาน (Labour Party) ในประเทศอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่_2 จนถึงปัจจุบัน หรือการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวของพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party: LDP) ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยความหมายของรัฐบาลพรรคเดียวที่ในที่นี้จะแตกต่างจากระบบพรรคการเมืองพรรคเดียว (Single-Party System หรือ One-party state) ที่ประเทศกำหนดให้พรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวมีอำนาจทางการเมืองในการปกครองประเทศภายใต้ระบอบปกครองแบบเบ็ดเสร็จ (totalitarianism)

รัฐบาลพรรคเดียวในการปกครองระบบรัฐสภา

          การปกครองระบบรัฐสภา (parliamentary government) ในระบอบประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองของประเทศประชาธิปไตยที่นิยมใช้กันมากที่สุด การปกครองระบบรัฐสภาจะมีรัฐบาล (government) ที่ประกอบด้วยหัวหน้ารัฐบาล (head of government) ที่เรียกว่านายกรัฐมนตรี (prime minister) เป็นผู้นำของรัฐบาลและมีคณะรัฐมนตรี (cabinet) ทำหน้าที่ในการตัดสินใจในการบริหารงานรัฐและกำกับการทำงานของระบบราชการ โดยกระบวนการเลือกรัฐบาลในระบบรัฐสภาดำเนินการในสองขั้นตอนหลัก คือ หนึ่ง ประชาชนจะเป็นผู้เลือกสมาชิกรัฐสภา และ สอง สมาชิกรัฐสภาจะเป็นผู้เลือกหรือรับรองหัวหน้ารัฐบาลรัฐบาล[2] การจัดตั้งรัฐบาลจะทำได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลได้รับการเลือกหรือรับรองโดยเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกรัฐสภา โดยผู้นำของพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากในรัฐสภาจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีจะเลือกสมาชิกพรรคหรือบุคคลที่เห็นว่าสมควรเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี[3] แต่พรรคการเมืองคู่แข่งที่มีจำนวนที่นั่งในรัฐสภาน้อยกว่าพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากมีความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคการเมืองอื่นแข่งขันกับพรรคเสียงข้างมาก[4]

          สำหรับรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก (Single-Party Majoritarian Government) จะเกิดขึ้นได้เมื่อ พรรคการเมืองพรรคเดียวที่ชนะการเลือกตั้งโดยได้เสียงข้างมากเด็ดขาดหรือได้จำนวนเสียงข้างมากกว่ากึ่งหนึ่ง (หรือมากกว่า ร้อยละ 50) ของจำนวนที่นั่งในรัฐสภา (หรือจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้[5] ตัวอย่างเช่น หากมีพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งและได้ที่นั่งในรัฐสภาจำนวน 4 พรรค ประกอบด้วยพรรคกอไก่ พรรคขอไข่ พรรคคอควาย และพรรคงองู พบว่าพรรคกอไก่ได้จำนวนที่นั่งมากกว่ากึ่งหนึ่งในรัฐสภา ดังตารางประกอบที่ 1 โดยเกณฑ์การเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งในรัฐสภา โดยเฉพาะในระบบสภาคู่ที่ต้องได้เสียงข้างมากในสภาล่างหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุนี้ พรรคการเมืองที่แม้ว่าจะได้จำนวนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด แต่ถ้าได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งก็จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ดังตารางประกอบที่ 2 พรรคเพนนีแม้จะได้คะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดและเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด แต่ได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาน้อยกว่าพรรคบอมเบย์จึงทำให้พรรคบอมเบย์เป็นพรรคที่มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

 

ตารางที่ 1 : พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งพรรคเดียว

พรรคการเมือง

จำนวนที่นั่งในรัฐสภา (100 ที่นั่ง)

ร้อยละของจำนวนที่นั่งในรัฐสภา

พรรค ก.

55

55%

พรรค ข.

25

25%

พรรค ค.

15

15%

พรรค ง.

5

5%

ที่มา : จำลองโดยผู้เขียน

 

ตารางที่ 2 : พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งพรรคเดียว

พรรคการเมือง

จำนวน/ร้อยละที่นั่งในรัฐสภา (200 ที่นั่ง)

ร้อยละของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

พรรคบอมเบย์

110 (55%)

40

พรรคเพนนี

80 (40%)

52

พรรคบีน่า

5 (2.5%)

6

พรรคบูเก้

5 (2.5%)

2

ที่มา : จำลองโดยผู้เขียน

         

          อย่างไรก็ตาม การเป็นรัฐบาลพรรคเดียวต้องขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งในรัฐสภา หากสมาชิกรัฐสภาที่สังกัดพรรคเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลไม่เชื่อฟังหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากพรรคก็อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องควบคุมการทำงานและทิศทางของสมาชิกรัฐสภาพรรคของตนเอง ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองต้องสร้างวินัยพรรค (Party Discipline) เพือให้สมาชิกรัฐสภาลงคะแนนเสียงในสภาไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์[6] มีน้อยครั้งมากที่จะมีการลงคะแนนเสียงขัดแย้งกับทิศทางของพรรค เว้นแต่ว่าผู้นำพรรคจะเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถตัดสินใจลงคะแนนเสียงได้อย่างอิสระตามจิตสำนึกของตัวสมาชิกเองหรือตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่[7] นอกจากนี้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาสามารถกำกับทิศทางการทำงานในกระบวนการนิติบัญญัติ อาทิ การกำหนดวาระการประชุมและการกำหนดช่วงเวลาในการบรรจุวาระ[8] ถ้าหากพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาไม่สามารถรักษาวินัยพรรคได้ก็ส่งผลกระทบต่อการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่สามารถควบคุมคะแนนเสียงเพื่อไว้วางใจ (vote of confidence) จากสภาได้[9] อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สมาชิกผู้ลงคะแนนจัดแย้งกับทิศทางของพรรคจะย้ายขั้วทางการเมืองไปสังกัดกับพรรคฝ่ายตรงข้ามหรือประกาศตนเป็นอิสระ (independent)[10]         

ระบบพรรคการเมืองในการเกิดรัฐบาลพรรคเดียว

          ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเกิดรัฐบาลพรรคเดียวที่สำคัญคือระบบพรรคการเมืองที่ก่อร่างและมีพัฒนาการตามลักษณะเฉพาะในแต่ละประเทศ จนกล่าวได้ว่าสิ่งที่กำหนดว่าพรรคการเมืองจะสามารถควบคุมและได้รับเสียงส่วนใหญ่ในการจัดตั้งรัฐบาลคือระบบพรรคการเมือง ว่าจะส่งผลให้เกิดการตั้งรัฐบาลพรรคเดียว รัฐบาลผสม (coalition cabinet) หรือรัฐบาลเสียงข้างน้อย (minority cabinet) จากแผนภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฎการณ์รัฐบาลพรรคเดียวสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศที่ระบบการแข่งขันของพรรคการเมืองแบบสองพรรค (two-party system) และแบบหลายพรรค (multiparty system)[11]

          โดยในส่วนของระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค (two-party system) จะเกิดในประเทศที่ระบบพรรคการเมืองก่อให้เกิดระบบพรรคใหญ่สองพรรคที่สามารถแข่งขันกันเพื่อได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แม้ว่าในระบบสองพรรคอาจมีพรรคการเมืองขนาดเล็กสามารถสมัครรับเลือกตั้งและได้ที่นั่งในรัฐสภาบ้าง แต่จะมีเพียงพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ที่จะได้คะแนนเสียงและที่นั่งในรัฐสภาเกือบทั้งหมดในการเลือกตั้ง พรรคการเมืองขนาดใหญ่สองพรรคมักจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนการชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล โดยคะแนนเสียงที่ได้จะช่วยให้พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งสามารถควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้[12] ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคที่เกิดในประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภาที่สำคัญ ได้แก่ อังกฤษที่ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคได้ครอบงำระบบการเมืองของอังกฤษมาเป็นเวลายาวนานและได้แพร่กระจายไปยังประเทศในเครือจักรภพของอังกฤษและประเทศอื่น ๆ[13] ขณะที่ระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรค (multiparty system) จะเกิดในประเทศที่มีพรรคการเมืองหลายพรรคตั้งแต่ 3 พรรคขึ้นไปแต่ไม่มีพรรคใดที่สามารถได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้พรรคการเมืองต้องแข่งขันกันเพื่อรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ได้เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม[14] อย่างไรก็ตาม อาจมีบางกรณีที่ประเทศที่มีระบบพรรคการเมืองหลายพรรคอาจมีพรรคการเมืองที่สามารถชนะการเลือกตั้งจนได้คะแนนเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด แต่ความเป็นไปได้ในการเกิดกรณีดังกล่าวย่อมน้อยกว่าประเทศที่ใช้ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค

 

แผนภาพที่ 1 : พรรคการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลในระบบรัฐสภา

RTENOTITLE
RTENOTITLE

ที่มา : แปลจาก Gabriel A. Almond et al., "Government and Policymaking," in Comparative Politics Today: A World View, ed. Gabriel A. Almond et al. (New York: Pearson, 2006), 121.

 

          อนึ่ง มีข้อสังเกตว่าการเกิดขึ้นของรัฐบาลพรรคเดียวที่ครองอำนาจมาเป็นเวลายาวนานมีความสัมพันธ์กับการมีระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (predominant-party system) อันเป็นระบบที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียวได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่แบบเด็ดขาดจนสามารถครอบครองที่นั่งในรัฐสภามาอย่างยาวนานในทุกการเลือกตั้งทำให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่องมั่นคง โดยที่ระบบพรรคเด่นพรรคเดียวสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศประชาธิปไตยที่มีระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรคที่มีการแข่งขันผ่านการเลือกตั้ง แต่อาจมีเพียงพรรคการเมืองเดียวที่มีความเข้มแข็งและสามารถครองอำนาจในฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมายาวนาน[15] โจวันนี ซาร์โตรี (Giovanni Sartori) มองว่าการเกิดระบบพรรคเด่นพรรคเดียวก็ต่อเมื่อมีพรรคการเมืองที่สามารถครองอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 รัฐบาล[16] โดยมีคุณสมบัติของการเป็นรัฐบาลพรรคเดียวประกอบด้วย 3 มิติ คือ หนึ่ง พรรคการเมืองต้องได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาที่มากกว่าพรรคการเมืองคู่แข่ง (dominant in number) ส่งผลให้พรรคการเมืองคู่แข่งมีจำนวนที่นั่งน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สอง พรรคการเมืองต้องมีความสามารถสูงในการต่อรองอำนาจ (dominant bargaining position) อย่างมีประสิทธิภาพกับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองที่มีความสามารถด้อยกว่าอื่น ๆ พรรคการเมืองต้องมีอำนาจต่อรองในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ (strategic position) สูงกว่ากลุ่มอื่น และ สาม พรรคการเมืองสามารถครอบงำรัฐบาลจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน (dominant governmentally) นโยบายของพรรคการเมืองถูกแปลงเป็นวาระนโยบายการเมืองแห่งชาติ (National Political Agenda) จนสามารถครอบงำผู้เลือกตั้งและพรรคการเมืองอื่น[17] ประเทศที่มีรัฐบาลพรรคเดียวจากระบบพรรคเด่นพรรคเดียวที่สำคัญ อาทิ พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party: LDP) ของประเทศญี่ปุ่นที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลมายาวนานระหว่าง ค.ศ. 1955-1993 และพรรคกิจประชาชน (People's Action Party: PAP) ของประเทศสิงคโปร์ที่เป็นรัฐบาลพรรคเดียวยาวนานตั้งแต่การเลือกตั้งใน ค.ศ. 1959 จนถึงปัจจุบัน เป็นต้น

บรรณานุกรม

Almond, Gabriel A., G. Bingham Powell, Kaare Strom, and Russell J. Dalton. "Government and Policymaking." In Comparative Politics Today: A World View, edited by Gabriel A. Almond, Russell J. Dalton, G. Bingham Powell, and Kaare Strom, 101-28. New York: Pearson, 2006.

Dimock, S. "Parliamentary Ethics." In Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition), edited by Ruth Chadwick, 338-48. San Diego: Academic Press, 2012.

Encyclopedia.com. "Majoritarian Party Systems." Last modified Accessed 17 June, 2021. https://www.encyclopedia.com/international/legal-and-political-magazines/majoritarian-party-systems.

Klesner, Joseph L. Comparative Politica: A Introduction. New York: McGraw-Hill, 2014.

นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์. "การก่อเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในการเมืองไทย: ศึกษากรณีพรรคไทยรักไทย." มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550.

พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์. "วิวัฒนาการพรรคการเมืองจากอดีตสู่ปัจจุบัน." วารสารพรรคการเมืองสัมพันธ์ 19, เล่ม 2 (2557): 4-12.

วรวลัญจ์ โรจนพล. "รัฐบาลในการเมืองไทย." ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, ฐปนรรต พรหมอินทร์ (บรรณาธิการ), 6-1 - 6-70. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2561.

อ้างอิง

[1] วรวลัญจ์ โรจนพล, "รัฐบาลในการเมืองไทย," ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, ฐปนรรต พรหมอินทร์ (บรรณาธิการ) (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2561), 17.

[2] Joseph L. Klesner, Comparative Politica: A Introduction (New York: McGraw-Hill, 2014), 115-16.

[3] วรวลัญจ์ โรจนพล,  ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, 17.

[4] นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์, “การก่อเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในการเมืองไทย: ศึกษากรณีพรรคไทยรักไทย” (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550), 31.

[5] Klesner, 116.

[6] Ibid., 117.

[7] S. Dimock, "Parliamentary Ethics," in Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition), ed. Ruth Chadwick (San Diego: Academic Press, 2012).

[8] วรวลัญจ์ โรจนพล,  ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, 18.

[9] Klesner, 117.

[10] Dimock,  in Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition).

[11] Gabriel A. Almond et al., "Government and Policymaking," in Comparative Politics Today: A World View, ed. Gabriel A. Almond et al. (New York: Pearson, 2006), 101-28.

[12] พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์, "วิวัฒนาการพรรคการเมืองจากอดีตสู่ปัจจุบัน," วารสารพรรคการเมืองสัมพันธ์ 19, เล่ม 2 (2557): 9.

[13] Encyclopedia.com, "Majoritarian Party Systems," accessed 17 June, 2021. https://www.encyclopedia.com/international/legal-and-political-magazines/majoritarian-party-systems.

[14] พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์, 10.

[15] นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์, 22-23.

[16] Ibid., 24.

[17] Ibid., 31-32.