ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หลวงอดุลเดชจรัส"
สร้างหน้าด้วย " '''หลวงอดุลเดชจรัส : บุรุษหลายบทบาท''' ผู้เขียน : ศาสตรา..." |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
ผู้เรียบเรียง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร | |||
| ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต | ||
---- | |||
<p style="text-align: center;">'''หลวงอดุลเดชจรัส : บุรุษหลายบทบาท'''</p> | |||
ในบรรดานักการเมืองรุ่น ''“ ลายคราม ”'' ที่เคยมีบทบาททางการเมืองมากในเมืองไทยมาเป็นเวลาที่ค่อนข้างนานในสมัยก่อนนั้น พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส หรือหลวงอดุลเดชจรัส ผู้ซึ่งยังครองยศพลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอกของสามกองทัพไทยด้วยนั้น เป็นผู้มีชีวิตและงานการเมืองที่น่ารู้จักมากคนหนึ่งของไทย และบทบาททางการเมืองของท่านที่ต่างกรมต่างวาระกันก็มีมุมให้พิจารณาและถกเถียงกันได้มาก เพราะบางตอนก็ยังไม่กระจ่างชัด โดยทั่วไป เราทราบกันว่าหลวงอดุลฯเป็นนายทหารหนุ่มที่เข้าร่วมในการปฏิวัติ ปี 2475 และเป็นผู้ก่อการที่โอนย้ายจากทหารไปควบคุมดูแลกิจการตำรวจในตำแหน่งสำคัญคือไปเป็นรองอธิบดี และต่อมาก็ขึ้นเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ได้เป็นใหญ่ที่กรมตำรวจนานถึง 12 ปี ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยเป็นรองหัวหน้าเสรีไทย จากนั้นยังย้ายออกจากกรมตำรวจกลับไปเป็นผู้บัญชาการทหารบกได้อีก ดังนั้นครั้งนี้จึงขอเสนอชีวิตการเมืองงของหลวงอดุลเดชจรัสให้พิจารณา | |||
หลวงอดุลฯเป็นคนกรุงเทพฯ เกิดที่อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 2437 บิดาของท่านได้แก่หลวงบุรีรัฐพิจารณ์ มีมารดาชื่อ จันทร์ ชื่อเดิมของหลวงอดุลฯ คือ บัตร นามสกุลพึ่งพระคุณ มีผู้กล่าวถึงท่านว่าเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม ในวัยเด็กบิดาได้นำไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ จึงได้อาศัยอยู่ในวังปารุสกวันมาก่อน ส่วนการศึกษานั้นได้เข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ จากนั้นต่อมาจึงเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก และที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกนี่เอง ท่านได้พบและคบกับนักเรียนนายร้อยที่ชื่อแปลก ขีตะสังคะ ซึ่งต่อมาคือ หลวงพิบูลสงคราม จนนับเป็นเพื่อนสนิทกัน และหลวงพิบูลสงครามก็เป็นคนที่ชวนท่านเข้าร่วมงานยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้ทำงานการเมืองด้วยกันมายาวนาน แต่ได้มาแยกกันในภายหลังเพราะเหตุทางการเมืองนั่นเอง นักเรียนนายร้อย บัตร พึ่งพระคุณ เรียนจบจากโรงเรียนายร้อยทหารบกเข้ารับราชการทหารได้ยศนายร้อยตรีใน ปี 2459 จากนั้นอีก 10 ปีต่อมา ในปี 2469 ก็ได้เลื่อนยศเป็นนายร้อยโท มีบรรดาศักดิ์เป็น ขุนอดุลเดชจรัส และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงในชื่อเดิมเมื่อปี 2470 ดังนั้นเมื่อครั้งมีการปฏิวัติ ปี 2475 ท่านจึงเป็นนายร้อยเอก หลวงอดุลเดชจรัส ส่วนชีวิตครอบครัว ภริยาของท่านคือ คุณหญิงเปี่ยมสุข | |||
| หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 ท่านย้ายตำแหน่งจากนครราชสีมาเข้าพระนคร มาเป็นผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 2 และได้เลื่อนยศเป็นนายพันตรี ในปีถัดมา ทางรัฐบาลของคณะราษฎรที่มีพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ได้ส่งท่าน ''“ ข้ามห้วย ”'' ไปเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งในขณะนั้นมีนายพันตำรวจเอกพระยาอนุสรณ์ธุรการเป็นอธิบดี และในปีเดียวกันนี้ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 อีกด้วย ดังนั้นย่อมแสดงว่า หลวงอดุลฯเป็นบุคคลที่คณะราษฎรหรือพระยาพหลฯ หรือที่จริง นายพันโทหลวงพิบูลฯ ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจแท้จริงในรัฐบาล ไว้วางใจมาก จึงเห็นได้ว่าอีก 3 ปีต่อมา ในปี 2479 สมัยรัฐบาลของพระยาพหลฯ หลวงอดุลฯซึ่งได้รับยศทางตำรวจเป็นนายพันตำรวจเอก เท่ากับอธิบดีกรมตำรวจคนก่อนก็ได้ขึ้นเป็นอธิบดีกรมตำรวจเอง จากนั้นในปี 2480 นายกฯพระยาพหลฯจึงดึงเข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และเมื่อหลวงพิบูลสงครามขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2481 หลวงอดุลฯผู้เป็นเพื่อนสนิทของนายกฯและเป็นอธิบดีกรมตำรวจด้วย จึงเป็นขุนพลคู่ใจของนายกที่คอยเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลผู้ที่จะมามุ่งร้ายต่อรัฐบาล และในปี 2482 หลวงอดุลฯก็ได้ยศเป็นนายพลตำรวจตรี | ||
ในวันที่เมืองไทยตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน คืนวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2484 นั้น หลวงอดุลฯเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้สั่งราชการแทนนายกรัฐมนตรี คือหลวงพิบูลฯ และนายกฯไม่อยู่ใน พระนคร รัฐบาลญี่ปุ่นใด้สั่งให้ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยมายื่นคำขาดให้รัฐบาลไทยยอมให้กองทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทย โดยจะยกพลขึ้นบกให้รัฐบาลไทยตอบในทันที หลวงอดุลฯจึงต้องเผชิญกับแรงบีบของญี่ปุ่น แต่ก็สามารถดึงเรื่องรอจนหลวงพิบูลฯกลับมาประชุมคณะรัฐมนตรี และตัดสินใจยอมให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านได้ ครั้งนั้นผู้คนจึงรู้จักชื่อของหลวงอดุลฯเป็นอย่างดี | |||
ตอนที่รัฐบาลไทยร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นนั้นผู้นำทางการเมืองของไทยได้มีความเห็นแตกต่างกันเป็นสองฝ่าย โดยรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรี หลวงพิบูลสงครามนั้นร่วมมือกับญี่ปุ่นมาก ถึงขนาดว่าได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯในปี 2485 ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นไม่เต็มใจร่วมมือกับญี่ปุ่นตั้งแต่แรก ฝ่ายหลังนี้ต้องดำเนินการกันอย่างลับๆเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น หลวงอดุลฯผู้ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจได้อยู่กับฝ่ายหลวงพิบูลฯผู้ซึ่งเป็นนายกฯและเพื่อนสนิทตลอดมา และท่านก็ได้รับความเจริญก้าวหน้าในการงานและตำแหน่งหน้าที่ ดังจะเห็นได้ว่าในปี 2485 หลวงอดุลฯได้รับการเลื่อนยศเป็นพลตำรวจโท และในเดือนกันยายน ปี 2486 ก็ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีที่ถือกันว่านายกฯไว้วางใจมาก ทั้งยังได้เลื่อนยศทางตำรวจถึงขั้นสูงสุดเป็นพลตำรวจเอก ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับยศทางทหารเป็นพลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก จากกองทัพทั้ง 3 ของไทย | |||
แต่การเมืองไทยในช่วงเวลานั้นผันผวนมากเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่รัฐบาลไทยเข้าไปเป็นคู่กรณีด้วย ทำให้ประเทศไทยต้องเดือดร้อน ฝ่ายที่เห็นต่างจากทางรัฐบาลจึงต้องการเปลี่ยนรัฐบาลให้หลวงพิบูลฯพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ต่อต้านญี่ปุ่นนั้นมีอยู่แม้กระทั่งในรัฐบาลเอง ในกองทัพ และที่สำคัญคือในสภาผู้แทนราษฎร | |||
ในที่สุดรัฐบาลของหลวงพิบูลสงครามก็ถึงจุดอับเมื่อเจอพายุการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรในเดือนกรกฎาคม ปี 2487 เนื่องจากรัฐบาลออกพระราชกำหนด 2 ฉบับ แต่สภาผู้แทนราษฎรไม่ยอมผ่านร่างกฎหมายให้พระราชกำหนด 2 ฉบับเป็นกฎหมาย หลวงพิบูลฯจึงลาออกจากนายกรัฐมนตรีเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปีเดียวกันนั่นเอง และสภาฯก็เลือกหลวงโกวิท หรือนาย ควง อภัยวงศ์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดใหม่นี้ไม่ได้มีชื่อหลวงอดุลฯเข้าร่วมรัฐบาล แต่ท่านก็ยังเป็นอธิบดีกรมตำรวจอยู่ | |||
สำหรับงานเสรีไทยนั้น มีคนเล่ากันว่าแม้ท่านจะร่วมเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของหลวงพิบูลฯอยู่ตลอดเวลาสงครามจนหลวงพิบูลฯลาออก ท่านก็ไม่ชอบญี่ปุ่นมาตั้งแต่แรกและจำใจยอมให้ทัพญี่ปุ่นเดินผ่านไทย ดังนั้นท่านจึงทำงานต่อต้านญี่ปุ่นอยู่ลับๆ และได้มาร่วมงานในขบวนการเสรีไทยกันในเวลาต่อมา ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ซึ่งเป็นเสรีไทยสายอังกฤษที่โดดร่มลงมาที่จังหวัดชัยนาท ในเดือนมีนาคม ปี 2487 ถูกคนในพื้นที่จับตัวส่งเข้ามากรุงเทพฯหลวงอดุลฯเป็นอธิบดีกรมตำรวจก็ได้รับตัวไปควบคุมดูแล และให้นายตำรวจที่ท่านไว้วางใจพาไปพบหัวหน้าเสรีไทย คือ นายปรีดี พนมยงค์ ในตอนกลางคืน ที่บ้านของอาจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ ผู้เป็นเลขานุการของหัวหน้าเสรีไทยที่บางเขน เพื่อให้ ป๋วย หรือนาย ''“ เข้ม ”'' มอบสารของฝ่ายอังกฤษให้กับนายปรีดี โดยตรง และต่อมาในเดือนกันยายนปีเดียวกัน สมัยนายกรัฐมนตรี ควง อภัยวงศ์ หลวงอดุลฯพ้นจากการเป็นรัฐมนตรีแล้ว แต่ยังเป็นอธิบดีกรมตำรวจอยู่ เสรีไทยสายอเมริกาสองนาย คือ บุญมาก เทศะบุตร กับ วิมล วิริยะวิทย์ โดดร่มเข้ามาปฏิบัติการในไทย ตำรวจก็นำส่งหลวงอดุลฯ ก่อนที่ทั้งสองคนจะถูกพาไปพบนาย ปรีดี พนมยงค์ ดังนั้นหลวงอดุลฯจึงได้ร่วมงานเสรีไทยอย่างเต็มที่และได้เป็นรองหัวหน้าเสรีไทย | |||
ครั้นสิ้นสุดสงคราม ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าเสรีไทยสายอเมริกา ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2488 หลวงอดุลฯก็ได้ร่วมรัฐบาลได้เป็นรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และในปีเดียวกันนี้ท่านก็พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ ในสมัยรัฐบาลของม.ร.ว.เสนีย์ นี่เองที่มีการออกพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ.2488 ซึ่งทำให้อดีตนายกฯหลวงพิบูลฯและพวกตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ และหลวงอดุลฯคือพยานคนหนึ่งของฝ่ายรัฐบาล ดังนั้นจึงมีคนเชื่อกันว่านี่เองที่เป็นเหตุของความแตกหักจากการเป็นมิตรของท่านกับหลวงพิบูลฯ และเมื่อมีการยุบสภาเพื่อจะได้มีการเลือกตั้งทั่วไป นักการเมืองก็ได้คิดที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองกันคราวนั้นหลวงอดุลฯได้สนใจไปร่วมกับผู้ที่สนับสนุนนาย ปรีดี ตั้งพรรคการเมืองชื่อพรรคสหชีพ แต่ท่านก็ไม่ได้ลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้ง | |||
ครั้นถึงปี 2489 ในสมัยที่นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี พลเอกหลวงอดุลฯซึ่งไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแล้ว ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อจาก พล.ท.พิชิต เกรียงศักดิ์พิชิต ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ 2489 ที่บัญญัติห้ามข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง เมื่อนายปรีดีขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีสืบแทนนายควง เนื่องจากนายควงลาออกจากตำแหน่งนายกฯเพราะแพ้เสียงในสภาฯเกี่ยวกับกฎหมายติดป้ายราคาสินค้านั้น สมาชิกสภาฯนำโดยประธานสภาฯได้ไปขอให้นายปรีดีมาเป็นนายกฯคนใหม่ แต่นายปรีดีไม่ได้เป็นสมาชิกสภาฯอยู่ในขณะนั้นและรัฐธรรมนูญกำหนดว่านายกฯต้องเป็นสมาชิกสภาฯ จึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งลาออกหนึ่งท่านเพื่อเปิดทางให้แต่งตั้ง นายปรีดี เป็นสมาชิกสภาฯแล้วนายปรีดีจึงเป็นนายกฯ และเป็นนายกฯหลังจากแถลงนโยบาย ต่อสภาฯแล้ว สมาชิกสภาฯออกเสียงไว้วางใจให้ถึง 115 เสียง ต่อ 3 เสียงที่ไม่ได้ไว้วางใจ | |||
เมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติมในวันที่ 5 สิงหาคม ปี 2489 นายปรีดี เห็นว่าท่านลงไปสมัครเข้ารับเลือกตั้งจากราษฎรจะดีกว่าจึงลงสมัครที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และท่านก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ แต่กรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันด้วยพระแสงปืนในพระที่นั่งบรมพิมานก็ทำให้รัฐบาลกระทบกระเทือนมาก และโดยที่ศัตรูทางการเมืองของท่านไม่คาดคิดเพราะท่านเพิ่งชนะเลือกตั้งมาเพียง 16 วัน นายปรีดีได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งผู้ที่รับตำแหน่งต่อจากท่านคือ พลเรือตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเหมือนกันที่เป็นหัวหน้าพรรคแนวรัฐธรรมนูญ แต่ความผันผวนทางการเมืองมีมากเปิดทางให้นายทหารนอกราชการ คือพลโท ผิน ชุณหะวัน เป็นหัวหน้าคณะทหารที่เรียกกันว่า ''“ คณะรัฐประหาร ”'' ยกกำลังทหารที่นำโดยนายทหารระดับนายพันและนายร้อยเข้ายึดอำนาจล้มรัฐบาลล้มรัฐธรรมนูญ และล้มรัฐสภา ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี 2490 โดยหลวง อดุลฯ ผู้บัญชาการทหารบก ที่รัฐบาลคิดและวางใจว่าจะป้องกันการยึดอำนาจจากทหารบกได้นั้นไม่สามารถป้องกันรัฐบาลได้ หลวงอดุลฯต้องหลุดจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกแต่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอภิรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่กำหนดไว้ใหม่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 และต่อมาท่านก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นองคมนตรี อีกตั้งแต่ปี 2492 ถึงปี 2494 จากนั้นจึงหมดบทบาทต่างๆ ในวงการเมือง วงการทหาร และวงการตำรวจ กระนั้นทางราชการก็ได้สร้างบ้านพักหลังเล็กขึ้นในวังปารุสกวันเพื่อให้ท่านพักอาศัยอยู่ต่อมา | |||
พล.ต.อ.หลวงอดุลเดชจรัส ได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ปี 2512 ในสมัยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี จอมพล ถนอม กิตติขจร | |||
พล.ต.อ.หลวงอดุลเดชจรัส ได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ปี 2512 ในสมัยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี จอมพล ถนอม กิตติขจร | |||
| | ||
[[Category:บุคคลสำคัญทางการเมือง]] | [[Category:บุคคลสำคัญทางการเมือง]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 12:25, 3 ธันวาคม 2561
ผู้เรียบเรียง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
หลวงอดุลเดชจรัส : บุรุษหลายบทบาท
ในบรรดานักการเมืองรุ่น “ ลายคราม ” ที่เคยมีบทบาททางการเมืองมากในเมืองไทยมาเป็นเวลาที่ค่อนข้างนานในสมัยก่อนนั้น พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส หรือหลวงอดุลเดชจรัส ผู้ซึ่งยังครองยศพลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอกของสามกองทัพไทยด้วยนั้น เป็นผู้มีชีวิตและงานการเมืองที่น่ารู้จักมากคนหนึ่งของไทย และบทบาททางการเมืองของท่านที่ต่างกรมต่างวาระกันก็มีมุมให้พิจารณาและถกเถียงกันได้มาก เพราะบางตอนก็ยังไม่กระจ่างชัด โดยทั่วไป เราทราบกันว่าหลวงอดุลฯเป็นนายทหารหนุ่มที่เข้าร่วมในการปฏิวัติ ปี 2475 และเป็นผู้ก่อการที่โอนย้ายจากทหารไปควบคุมดูแลกิจการตำรวจในตำแหน่งสำคัญคือไปเป็นรองอธิบดี และต่อมาก็ขึ้นเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ได้เป็นใหญ่ที่กรมตำรวจนานถึง 12 ปี ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยเป็นรองหัวหน้าเสรีไทย จากนั้นยังย้ายออกจากกรมตำรวจกลับไปเป็นผู้บัญชาการทหารบกได้อีก ดังนั้นครั้งนี้จึงขอเสนอชีวิตการเมืองงของหลวงอดุลเดชจรัสให้พิจารณา
หลวงอดุลฯเป็นคนกรุงเทพฯ เกิดที่อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 2437 บิดาของท่านได้แก่หลวงบุรีรัฐพิจารณ์ มีมารดาชื่อ จันทร์ ชื่อเดิมของหลวงอดุลฯ คือ บัตร นามสกุลพึ่งพระคุณ มีผู้กล่าวถึงท่านว่าเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม ในวัยเด็กบิดาได้นำไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ จึงได้อาศัยอยู่ในวังปารุสกวันมาก่อน ส่วนการศึกษานั้นได้เข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ จากนั้นต่อมาจึงเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก และที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกนี่เอง ท่านได้พบและคบกับนักเรียนนายร้อยที่ชื่อแปลก ขีตะสังคะ ซึ่งต่อมาคือ หลวงพิบูลสงคราม จนนับเป็นเพื่อนสนิทกัน และหลวงพิบูลสงครามก็เป็นคนที่ชวนท่านเข้าร่วมงานยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้ทำงานการเมืองด้วยกันมายาวนาน แต่ได้มาแยกกันในภายหลังเพราะเหตุทางการเมืองนั่นเอง นักเรียนนายร้อย บัตร พึ่งพระคุณ เรียนจบจากโรงเรียนายร้อยทหารบกเข้ารับราชการทหารได้ยศนายร้อยตรีใน ปี 2459 จากนั้นอีก 10 ปีต่อมา ในปี 2469 ก็ได้เลื่อนยศเป็นนายร้อยโท มีบรรดาศักดิ์เป็น ขุนอดุลเดชจรัส และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงในชื่อเดิมเมื่อปี 2470 ดังนั้นเมื่อครั้งมีการปฏิวัติ ปี 2475 ท่านจึงเป็นนายร้อยเอก หลวงอดุลเดชจรัส ส่วนชีวิตครอบครัว ภริยาของท่านคือ คุณหญิงเปี่ยมสุข
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 ท่านย้ายตำแหน่งจากนครราชสีมาเข้าพระนคร มาเป็นผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 2 และได้เลื่อนยศเป็นนายพันตรี ในปีถัดมา ทางรัฐบาลของคณะราษฎรที่มีพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ได้ส่งท่าน “ ข้ามห้วย ” ไปเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งในขณะนั้นมีนายพันตำรวจเอกพระยาอนุสรณ์ธุรการเป็นอธิบดี และในปีเดียวกันนี้ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 อีกด้วย ดังนั้นย่อมแสดงว่า หลวงอดุลฯเป็นบุคคลที่คณะราษฎรหรือพระยาพหลฯ หรือที่จริง นายพันโทหลวงพิบูลฯ ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจแท้จริงในรัฐบาล ไว้วางใจมาก จึงเห็นได้ว่าอีก 3 ปีต่อมา ในปี 2479 สมัยรัฐบาลของพระยาพหลฯ หลวงอดุลฯซึ่งได้รับยศทางตำรวจเป็นนายพันตำรวจเอก เท่ากับอธิบดีกรมตำรวจคนก่อนก็ได้ขึ้นเป็นอธิบดีกรมตำรวจเอง จากนั้นในปี 2480 นายกฯพระยาพหลฯจึงดึงเข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และเมื่อหลวงพิบูลสงครามขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2481 หลวงอดุลฯผู้เป็นเพื่อนสนิทของนายกฯและเป็นอธิบดีกรมตำรวจด้วย จึงเป็นขุนพลคู่ใจของนายกที่คอยเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลผู้ที่จะมามุ่งร้ายต่อรัฐบาล และในปี 2482 หลวงอดุลฯก็ได้ยศเป็นนายพลตำรวจตรี
ในวันที่เมืองไทยตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน คืนวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2484 นั้น หลวงอดุลฯเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้สั่งราชการแทนนายกรัฐมนตรี คือหลวงพิบูลฯ และนายกฯไม่อยู่ใน พระนคร รัฐบาลญี่ปุ่นใด้สั่งให้ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยมายื่นคำขาดให้รัฐบาลไทยยอมให้กองทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทย โดยจะยกพลขึ้นบกให้รัฐบาลไทยตอบในทันที หลวงอดุลฯจึงต้องเผชิญกับแรงบีบของญี่ปุ่น แต่ก็สามารถดึงเรื่องรอจนหลวงพิบูลฯกลับมาประชุมคณะรัฐมนตรี และตัดสินใจยอมให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านได้ ครั้งนั้นผู้คนจึงรู้จักชื่อของหลวงอดุลฯเป็นอย่างดี
ตอนที่รัฐบาลไทยร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นนั้นผู้นำทางการเมืองของไทยได้มีความเห็นแตกต่างกันเป็นสองฝ่าย โดยรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรี หลวงพิบูลสงครามนั้นร่วมมือกับญี่ปุ่นมาก ถึงขนาดว่าได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯในปี 2485 ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นไม่เต็มใจร่วมมือกับญี่ปุ่นตั้งแต่แรก ฝ่ายหลังนี้ต้องดำเนินการกันอย่างลับๆเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น หลวงอดุลฯผู้ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจได้อยู่กับฝ่ายหลวงพิบูลฯผู้ซึ่งเป็นนายกฯและเพื่อนสนิทตลอดมา และท่านก็ได้รับความเจริญก้าวหน้าในการงานและตำแหน่งหน้าที่ ดังจะเห็นได้ว่าในปี 2485 หลวงอดุลฯได้รับการเลื่อนยศเป็นพลตำรวจโท และในเดือนกันยายน ปี 2486 ก็ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีที่ถือกันว่านายกฯไว้วางใจมาก ทั้งยังได้เลื่อนยศทางตำรวจถึงขั้นสูงสุดเป็นพลตำรวจเอก ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับยศทางทหารเป็นพลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก จากกองทัพทั้ง 3 ของไทย
แต่การเมืองไทยในช่วงเวลานั้นผันผวนมากเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่รัฐบาลไทยเข้าไปเป็นคู่กรณีด้วย ทำให้ประเทศไทยต้องเดือดร้อน ฝ่ายที่เห็นต่างจากทางรัฐบาลจึงต้องการเปลี่ยนรัฐบาลให้หลวงพิบูลฯพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ต่อต้านญี่ปุ่นนั้นมีอยู่แม้กระทั่งในรัฐบาลเอง ในกองทัพ และที่สำคัญคือในสภาผู้แทนราษฎร
ในที่สุดรัฐบาลของหลวงพิบูลสงครามก็ถึงจุดอับเมื่อเจอพายุการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรในเดือนกรกฎาคม ปี 2487 เนื่องจากรัฐบาลออกพระราชกำหนด 2 ฉบับ แต่สภาผู้แทนราษฎรไม่ยอมผ่านร่างกฎหมายให้พระราชกำหนด 2 ฉบับเป็นกฎหมาย หลวงพิบูลฯจึงลาออกจากนายกรัฐมนตรีเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปีเดียวกันนั่นเอง และสภาฯก็เลือกหลวงโกวิท หรือนาย ควง อภัยวงศ์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดใหม่นี้ไม่ได้มีชื่อหลวงอดุลฯเข้าร่วมรัฐบาล แต่ท่านก็ยังเป็นอธิบดีกรมตำรวจอยู่
สำหรับงานเสรีไทยนั้น มีคนเล่ากันว่าแม้ท่านจะร่วมเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของหลวงพิบูลฯอยู่ตลอดเวลาสงครามจนหลวงพิบูลฯลาออก ท่านก็ไม่ชอบญี่ปุ่นมาตั้งแต่แรกและจำใจยอมให้ทัพญี่ปุ่นเดินผ่านไทย ดังนั้นท่านจึงทำงานต่อต้านญี่ปุ่นอยู่ลับๆ และได้มาร่วมงานในขบวนการเสรีไทยกันในเวลาต่อมา ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ซึ่งเป็นเสรีไทยสายอังกฤษที่โดดร่มลงมาที่จังหวัดชัยนาท ในเดือนมีนาคม ปี 2487 ถูกคนในพื้นที่จับตัวส่งเข้ามากรุงเทพฯหลวงอดุลฯเป็นอธิบดีกรมตำรวจก็ได้รับตัวไปควบคุมดูแล และให้นายตำรวจที่ท่านไว้วางใจพาไปพบหัวหน้าเสรีไทย คือ นายปรีดี พนมยงค์ ในตอนกลางคืน ที่บ้านของอาจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ ผู้เป็นเลขานุการของหัวหน้าเสรีไทยที่บางเขน เพื่อให้ ป๋วย หรือนาย “ เข้ม ” มอบสารของฝ่ายอังกฤษให้กับนายปรีดี โดยตรง และต่อมาในเดือนกันยายนปีเดียวกัน สมัยนายกรัฐมนตรี ควง อภัยวงศ์ หลวงอดุลฯพ้นจากการเป็นรัฐมนตรีแล้ว แต่ยังเป็นอธิบดีกรมตำรวจอยู่ เสรีไทยสายอเมริกาสองนาย คือ บุญมาก เทศะบุตร กับ วิมล วิริยะวิทย์ โดดร่มเข้ามาปฏิบัติการในไทย ตำรวจก็นำส่งหลวงอดุลฯ ก่อนที่ทั้งสองคนจะถูกพาไปพบนาย ปรีดี พนมยงค์ ดังนั้นหลวงอดุลฯจึงได้ร่วมงานเสรีไทยอย่างเต็มที่และได้เป็นรองหัวหน้าเสรีไทย
ครั้นสิ้นสุดสงคราม ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าเสรีไทยสายอเมริกา ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2488 หลวงอดุลฯก็ได้ร่วมรัฐบาลได้เป็นรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และในปีเดียวกันนี้ท่านก็พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ ในสมัยรัฐบาลของม.ร.ว.เสนีย์ นี่เองที่มีการออกพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ.2488 ซึ่งทำให้อดีตนายกฯหลวงพิบูลฯและพวกตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ และหลวงอดุลฯคือพยานคนหนึ่งของฝ่ายรัฐบาล ดังนั้นจึงมีคนเชื่อกันว่านี่เองที่เป็นเหตุของความแตกหักจากการเป็นมิตรของท่านกับหลวงพิบูลฯ และเมื่อมีการยุบสภาเพื่อจะได้มีการเลือกตั้งทั่วไป นักการเมืองก็ได้คิดที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองกันคราวนั้นหลวงอดุลฯได้สนใจไปร่วมกับผู้ที่สนับสนุนนาย ปรีดี ตั้งพรรคการเมืองชื่อพรรคสหชีพ แต่ท่านก็ไม่ได้ลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้ง
ครั้นถึงปี 2489 ในสมัยที่นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี พลเอกหลวงอดุลฯซึ่งไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแล้ว ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อจาก พล.ท.พิชิต เกรียงศักดิ์พิชิต ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ 2489 ที่บัญญัติห้ามข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง เมื่อนายปรีดีขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีสืบแทนนายควง เนื่องจากนายควงลาออกจากตำแหน่งนายกฯเพราะแพ้เสียงในสภาฯเกี่ยวกับกฎหมายติดป้ายราคาสินค้านั้น สมาชิกสภาฯนำโดยประธานสภาฯได้ไปขอให้นายปรีดีมาเป็นนายกฯคนใหม่ แต่นายปรีดีไม่ได้เป็นสมาชิกสภาฯอยู่ในขณะนั้นและรัฐธรรมนูญกำหนดว่านายกฯต้องเป็นสมาชิกสภาฯ จึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งลาออกหนึ่งท่านเพื่อเปิดทางให้แต่งตั้ง นายปรีดี เป็นสมาชิกสภาฯแล้วนายปรีดีจึงเป็นนายกฯ และเป็นนายกฯหลังจากแถลงนโยบาย ต่อสภาฯแล้ว สมาชิกสภาฯออกเสียงไว้วางใจให้ถึง 115 เสียง ต่อ 3 เสียงที่ไม่ได้ไว้วางใจ
เมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติมในวันที่ 5 สิงหาคม ปี 2489 นายปรีดี เห็นว่าท่านลงไปสมัครเข้ารับเลือกตั้งจากราษฎรจะดีกว่าจึงลงสมัครที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และท่านก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ แต่กรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันด้วยพระแสงปืนในพระที่นั่งบรมพิมานก็ทำให้รัฐบาลกระทบกระเทือนมาก และโดยที่ศัตรูทางการเมืองของท่านไม่คาดคิดเพราะท่านเพิ่งชนะเลือกตั้งมาเพียง 16 วัน นายปรีดีได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งผู้ที่รับตำแหน่งต่อจากท่านคือ พลเรือตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเหมือนกันที่เป็นหัวหน้าพรรคแนวรัฐธรรมนูญ แต่ความผันผวนทางการเมืองมีมากเปิดทางให้นายทหารนอกราชการ คือพลโท ผิน ชุณหะวัน เป็นหัวหน้าคณะทหารที่เรียกกันว่า “ คณะรัฐประหาร ” ยกกำลังทหารที่นำโดยนายทหารระดับนายพันและนายร้อยเข้ายึดอำนาจล้มรัฐบาลล้มรัฐธรรมนูญ และล้มรัฐสภา ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี 2490 โดยหลวง อดุลฯ ผู้บัญชาการทหารบก ที่รัฐบาลคิดและวางใจว่าจะป้องกันการยึดอำนาจจากทหารบกได้นั้นไม่สามารถป้องกันรัฐบาลได้ หลวงอดุลฯต้องหลุดจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกแต่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอภิรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่กำหนดไว้ใหม่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 และต่อมาท่านก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นองคมนตรี อีกตั้งแต่ปี 2492 ถึงปี 2494 จากนั้นจึงหมดบทบาทต่างๆ ในวงการเมือง วงการทหาร และวงการตำรวจ กระนั้นทางราชการก็ได้สร้างบ้านพักหลังเล็กขึ้นในวังปารุสกวันเพื่อให้ท่านพักอาศัยอยู่ต่อมา
พล.ต.อ.หลวงอดุลเดชจรัส ได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ปี 2512 ในสมัยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี จอมพล ถนอม กิตติขจร