ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การรวมศูนย์อำนาจ(Centralization)"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 7: | บรรทัดที่ 7: | ||
==แนวคิดและความหมาย== | ==แนวคิดและความหมาย== | ||
รัฐหนึ่งๆ จำเป็นต้องมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ ซึ่งมีความสำคัญในฐานะ“ตัวแทน”ของรัฐ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนในประเทศ ที่เกิดจาก[[การเจรจาต่อรอง]]การค้าการลงทุน หรือความสัมพันธ์ระหว่างต่างประเทศ ดังนั้น [[รัฐบาลส่วนกลาง]] จึงเป็นสิ่งที่รัฐขาดไม่ได้เพื่อคอยทำหน้าที่ในด้านความสัมพันธ์ภายนอกหรือกิจการวิเทศสัมพันธ์ของรัฐ ดังปรากฏว่า ภารกิจหน้าที่ในด้านการต่างประเทศ, การทูต ตลอดจนแนวนโยบายด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการดำรงอยู่ของรัฐ จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลส่วนกลาง ที่ไม่สามารถให้องค์กรหรือภาคส่วนใดเข้ามาดำเนินการแทนได้ ซึ่งส่วนใหญ่บทบาทของรัฐส่วนกลางที่เห็นได้ชัด มักจะเป็นบทบาทใหญ่ๆที่ส่งผลต่อผลประโยชน์มหาชนของชาติ เช่น มักจะเข้าไปบทบาทควบคุมระบบเศรษฐกิจโดยรวมของรัฐ รวมถึงการเข้าไปกำกับดูแลกิจการอื่นๆ เช่น การค้าภายใน และระบบการคมนาคมและขนส่ง เป็นต้น | รัฐหนึ่งๆ จำเป็นต้องมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ ซึ่งมีความสำคัญในฐานะ“ตัวแทน”ของรัฐ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนในประเทศ ที่เกิดจาก[[การเจรจาต่อรอง]]การค้าการลงทุน หรือความสัมพันธ์ระหว่างต่างประเทศ ดังนั้น [[รัฐบาลส่วนกลาง]] จึงเป็นสิ่งที่รัฐขาดไม่ได้เพื่อคอยทำหน้าที่ในด้านความสัมพันธ์ภายนอกหรือกิจการวิเทศสัมพันธ์ของรัฐ ดังปรากฏว่า ภารกิจหน้าที่ในด้านการต่างประเทศ, การทูต ตลอดจนแนวนโยบายด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการดำรงอยู่ของรัฐ จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลส่วนกลาง ที่ไม่สามารถให้องค์กรหรือภาคส่วนใดเข้ามาดำเนินการแทนได้ ซึ่งส่วนใหญ่บทบาทของรัฐส่วนกลางที่เห็นได้ชัด มักจะเป็นบทบาทใหญ่ๆที่ส่งผลต่อผลประโยชน์มหาชนของชาติ เช่น มักจะเข้าไปบทบาทควบคุมระบบเศรษฐกิจโดยรวมของรัฐ รวมถึงการเข้าไปกำกับดูแลกิจการอื่นๆ เช่น การค้าภายใน และระบบการคมนาคมและขนส่ง เป็นต้น<ref>นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, สารานุกรมการปกครองท้องถิ่นไทย หมวดที่ 1 แนวคิดพื้นฐานการกระจายอำนาจกับการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมดาเพรส จำกัด, 2547), หน้า 3.</ref> | ||
'''การรวมศูนย์อำนาจ (Centralization)''' มีได้ 2ประเภท คือ การรวมศูนย์อำนาจในทางการเมืองและการรวมศูนย์อำนาจในทางการปกครอง โดยความหมาย ประเภทแรกการรวมศูนย์อำนาจในทางการเมือง หมายถึง มีศูนย์รวม[[อำนาจอธิปไตย]]หรือมีเอกภาพในการใช้อำนาจรัฐทั้งภายในและภายนอกรัฐโดยสมบูรณ์ และประเภทที่สองการรวมศูนย์อำนาจในทางปกครอง หมายถึงการจัดระเบียบการปกครองภายในรัฐ โดยให้รัฐแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ดำเนินการปกครองหรือจัดทำบริการสาธารณะต่างๆให้แก่ประชาชน โดยมีการรวมอำนาจในการตัดสินใจ การวินิจฉัยสั่งการเป็นยุติเด็ดขาดอยู่ที่รัฐส่วนกลาง | '''การรวมศูนย์อำนาจ (Centralization)''' มีได้ 2ประเภท คือ การรวมศูนย์อำนาจในทางการเมืองและการรวมศูนย์อำนาจในทางการปกครอง โดยความหมาย ประเภทแรกการรวมศูนย์อำนาจในทางการเมือง หมายถึง มีศูนย์รวม[[อำนาจอธิปไตย]]หรือมีเอกภาพในการใช้อำนาจรัฐทั้งภายในและภายนอกรัฐโดยสมบูรณ์ และประเภทที่สองการรวมศูนย์อำนาจในทางปกครอง หมายถึงการจัดระเบียบการปกครองภายในรัฐ โดยให้รัฐแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ดำเนินการปกครองหรือจัดทำบริการสาธารณะต่างๆให้แก่ประชาชน โดยมีการรวมอำนาจในการตัดสินใจ การวินิจฉัยสั่งการเป็นยุติเด็ดขาดอยู่ที่รัฐส่วนกลาง<ref>ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สมคิด เลิศไพฑูรย์, กฎหมายการปกครองท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ: ธรรกมลการพิมพ์, 2550), หน้า 21-22. </ref> | ||
==ลักษณะสำคัญของการรวมศูนย์อำนาจปกครอง== | ==ลักษณะสำคัญของการรวมศูนย์อำนาจปกครอง<ref>ชูวงศ์ ฉายะบุตร, การปกครองท้องถิ่นไทย, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: บริษัทพิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์ จำกัด,2539), หน้า 16-17. </ref>== | ||
ลักษณะสำคัญของการรวมศูนย์อำนาจปกครองเป็นการรวมอำนาจไว้ที่เดียว กล่าวคือ เป็นการรวมอำนาจตัดสินใจในภารกิจหลักๆของรัฐ อาทิ เช่น กำลังทหาร ตำรวจ อำนาจวินิจฉัยสั่งการ อนุมัติ ยกเลิก แก้ไข ระงับหรือเพิกถอนการกระทำต่างๆที่เกิดจาก[[การบริหารราชการส่วนกลาง]] ซึ่งเป็นการบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่แบบลดหลั่นกันไป (Hierarchy) ให้ทุกฝ่ายขึ้นอยู่กับส่วนกลาง ไม่มีความเป็นอิสระ เพื่อสะดวกและสามารถใช้อำนาจเหล่านี้ได้ทันท่วงที | ลักษณะสำคัญของการรวมศูนย์อำนาจปกครองเป็นการรวมอำนาจไว้ที่เดียว กล่าวคือ เป็นการรวมอำนาจตัดสินใจในภารกิจหลักๆของรัฐ อาทิ เช่น กำลังทหาร ตำรวจ อำนาจวินิจฉัยสั่งการ อนุมัติ ยกเลิก แก้ไข ระงับหรือเพิกถอนการกระทำต่างๆที่เกิดจาก[[การบริหารราชการส่วนกลาง]] ซึ่งเป็นการบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่แบบลดหลั่นกันไป (Hierarchy) ให้ทุกฝ่ายขึ้นอยู่กับส่วนกลาง ไม่มีความเป็นอิสระ เพื่อสะดวกและสามารถใช้อำนาจเหล่านี้ได้ทันท่วงที | ||
==ข้อดีของการรวมศูนย์อำนาจ== | ==ข้อดีของการรวมศูนย์อำนาจ<ref>สรุปความจากประยูร กาญจนดุล, คำบรรยายกฎหมายปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ 5, (กรุงเทพฯ: คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549), หน้า 176-177; จักรพันธ์ วงษ์บูรณาวาทย์, การบริหารราชการไทย, (เชียงใหม่ : ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2541), หน้า 47. </ref>== | ||
จากลักษณะของการรวมศูนย์อำนาจปกครอง จะเห็นได้ว่า | จากลักษณะของการรวมศูนย์อำนาจปกครอง จะเห็นได้ว่า |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 12:33, 19 กรกฎาคม 2559
เรียบเรียงโดย : กฤษณ์ วงศ์วิเศษธร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล
แนวคิดและความหมาย
รัฐหนึ่งๆ จำเป็นต้องมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ ซึ่งมีความสำคัญในฐานะ“ตัวแทน”ของรัฐ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนในประเทศ ที่เกิดจากการเจรจาต่อรองการค้าการลงทุน หรือความสัมพันธ์ระหว่างต่างประเทศ ดังนั้น รัฐบาลส่วนกลาง จึงเป็นสิ่งที่รัฐขาดไม่ได้เพื่อคอยทำหน้าที่ในด้านความสัมพันธ์ภายนอกหรือกิจการวิเทศสัมพันธ์ของรัฐ ดังปรากฏว่า ภารกิจหน้าที่ในด้านการต่างประเทศ, การทูต ตลอดจนแนวนโยบายด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการดำรงอยู่ของรัฐ จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลส่วนกลาง ที่ไม่สามารถให้องค์กรหรือภาคส่วนใดเข้ามาดำเนินการแทนได้ ซึ่งส่วนใหญ่บทบาทของรัฐส่วนกลางที่เห็นได้ชัด มักจะเป็นบทบาทใหญ่ๆที่ส่งผลต่อผลประโยชน์มหาชนของชาติ เช่น มักจะเข้าไปบทบาทควบคุมระบบเศรษฐกิจโดยรวมของรัฐ รวมถึงการเข้าไปกำกับดูแลกิจการอื่นๆ เช่น การค้าภายใน และระบบการคมนาคมและขนส่ง เป็นต้น[1]
การรวมศูนย์อำนาจ (Centralization) มีได้ 2ประเภท คือ การรวมศูนย์อำนาจในทางการเมืองและการรวมศูนย์อำนาจในทางการปกครอง โดยความหมาย ประเภทแรกการรวมศูนย์อำนาจในทางการเมือง หมายถึง มีศูนย์รวมอำนาจอธิปไตยหรือมีเอกภาพในการใช้อำนาจรัฐทั้งภายในและภายนอกรัฐโดยสมบูรณ์ และประเภทที่สองการรวมศูนย์อำนาจในทางปกครอง หมายถึงการจัดระเบียบการปกครองภายในรัฐ โดยให้รัฐแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ดำเนินการปกครองหรือจัดทำบริการสาธารณะต่างๆให้แก่ประชาชน โดยมีการรวมอำนาจในการตัดสินใจ การวินิจฉัยสั่งการเป็นยุติเด็ดขาดอยู่ที่รัฐส่วนกลาง[2]
ลักษณะสำคัญของการรวมศูนย์อำนาจปกครอง[3]
ลักษณะสำคัญของการรวมศูนย์อำนาจปกครองเป็นการรวมอำนาจไว้ที่เดียว กล่าวคือ เป็นการรวมอำนาจตัดสินใจในภารกิจหลักๆของรัฐ อาทิ เช่น กำลังทหาร ตำรวจ อำนาจวินิจฉัยสั่งการ อนุมัติ ยกเลิก แก้ไข ระงับหรือเพิกถอนการกระทำต่างๆที่เกิดจากการบริหารราชการส่วนกลาง ซึ่งเป็นการบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่แบบลดหลั่นกันไป (Hierarchy) ให้ทุกฝ่ายขึ้นอยู่กับส่วนกลาง ไม่มีความเป็นอิสระ เพื่อสะดวกและสามารถใช้อำนาจเหล่านี้ได้ทันท่วงที
ข้อดีของการรวมศูนย์อำนาจ[4]
จากลักษณะของการรวมศูนย์อำนาจปกครอง จะเห็นได้ว่า
ประการแรก เป็นการรวมกำลังและรวมอำนาจบังคับบัญชาไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด ทำให้อำนาจของรัฐมั่นคง เป็นหลักที่ทำให้เกิดเอกภาพ (Unity) ในการปกครอง เป็นวิธีการปกครองที่อำนวยประโยชน์แก่ประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครองอย่างเสมอภาคกัน
ประการที่สอง ในส่วนของการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนนั้น ส่วนกลางมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ มีขนาดใหญ่ ทำให้เจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลางมีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตนเอง จนมีความรู้ความสามารถ สามารถจัดบริการสาธารณะได้ดีอย่างมีมาตรฐาน และเป็นระเบียบแบบแผนเดียวกันทั้งหมดทั่วประเทศ
ข้อเสียของการรวมศูนย์อำนาจ
หลักการรวมศูนย์อำนาจปกครองมีข้อเสียอยู่อย่างน้อย 3 ประการ คือ
ประการแรก การรวมศูนย์อำนาจทำให้อำนาจการตัดสินใจรวมอยู่ที่ส่วนกลาง เมื่อเกิดปัญหาในพื้นที่ห่างไกล การรั้งรอการตัดสินใจจากส่วนกลางย่อมทำให้ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงทีและไม่ทั่วถึง
ประการที่สอง การรวมศูนย์อำนาจจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองมีความสัมพันธ์กันในลักษณะบังคับบัญชาเป็นชั้นลดหลั่นกันไป การปฏิบัติหน้าที่เต็มไปด้วยความล่าช้า การแก้ปัญหาและการปฏิบัติงานต้องกระทำตามกฎระเบียบที่เคร่งครัดตามลำดับขั้นตอนในการบังคับบัญชาก่อให้เกิดความยุ่งยากในการปฏิบัติงาน
ประการที่สาม การแก้ปัญหาในพื้นที่ห่างไกล เช่นในท้องถิ่นต่าง ๆ อำนาจในการตัดสินมิได้เป็นของคนในพื้นที่นั้น ๆ ทำให้การจัดทำบริการสาธารณะและการแก้ปัญหาไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่
กล่าวสรุปได้ว่า การรวมศูนย์อำนาจทางการปกครองนั้นคือการที่รวมอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการ ในการจัดระบบระเบียบการบริหารราชการ หรือการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนไว้ที่รัฐส่วนกลางเพียงผู้เดียว ทำให้แบบแผนการดำเนินของทั่วประเทศเป็นแบบเดียวกัน มีลำดับการบังคับบัญชา ทุกภาคส่วนขึ้นอยู่กับส่วนกลางทั้งหมด จึงทำให้ประเทศที่มีการรวมศูนย์อำนาจมักจะมีเอกภาพในการปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างไรก็ตามในการดำเนินโดยผ่านการตัดสินใจของส่วนกลางเพียงผู้เดียว ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการแก้ปัญหาที่เร่งด่วน และยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในพื้นที่ต่างๆได้อีกด้วย
อ้างอิง
- ↑ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, สารานุกรมการปกครองท้องถิ่นไทย หมวดที่ 1 แนวคิดพื้นฐานการกระจายอำนาจกับการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมดาเพรส จำกัด, 2547), หน้า 3.
- ↑ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สมคิด เลิศไพฑูรย์, กฎหมายการปกครองท้องถิ่น, (กรุงเทพฯ: ธรรกมลการพิมพ์, 2550), หน้า 21-22.
- ↑ ชูวงศ์ ฉายะบุตร, การปกครองท้องถิ่นไทย, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: บริษัทพิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์ จำกัด,2539), หน้า 16-17.
- ↑ สรุปความจากประยูร กาญจนดุล, คำบรรยายกฎหมายปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ 5, (กรุงเทพฯ: คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549), หน้า 176-177; จักรพันธ์ วงษ์บูรณาวาทย์, การบริหารราชการไทย, (เชียงใหม่ : ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2541), หน้า 47.
บรรณานุกรม
จักรพันธ์ วงษ์บูรณาวาทย์.การบริหารราชการไทย. เชียงใหม่ : ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2541.
ชูวงศ์ ฉายะบุตร.การปกครองท้องถิ่นไทย.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์ จำกัด, 2539.
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์.สารานุกรมการปกครองท้องถิ่นไทย หมวดที่ 1 แนวคิดพื้นฐานการกระจายอำนาจกับการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น.กรุงเทพมหานคร: บริษัท ธรรมดาเพรส จำกัด, 2547.
ประยูร กาญจนดุล.คำบรรยายกฎหมายปกครอง.พิมพ์ครั้งที่ 5.กรุงเทพมหานคร: คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.
สมคิด เลิศไพฑูรย์,ไพฑูรย์.กฎหมายการปกครองท้องถิ่น, (กรุงเทพฯท้องถิ่น. กรุงเทพมหานคร: ธรรกมลการพิมพ์, 2550).