ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หัวเมืองที่เป็นเมืองท่า"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''เรียบเรียงโดย''' : อาจารย์บุญยเกียรติ การะเวกพันธ...'
 
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 2 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 8: บรรทัดที่ 8:
==ความสำคัญ==
==ความสำคัญ==
 
 
ภูมิรัฐศาสตร์ของสยามอยู่ในทำเลการค้าที่ดีและมีกลไกในการจัดการการค้าที่มีประสิทธิภาพ สร้างความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ดังที่ เฟอร์เนา เมนเตซ ปินตู (Femao Mendez Pinto) นักเดินเรือชาวโปรตุเกสบันทึกเรื่องเกี่ยวกับอยุธยาในสมัยสมเด็จพระไชยราชาไว้ว่า “...เมืองหลวงของราชอาณาจักรคือเมืองแห่งโอเดีย (Odiaa คืออยุธยา) ราชอาณาจักรนี้ร่ำรวยมาก และมีการค้าจำนวนมาก ไม่มีเลยสักปีเดียวที่เมืองอื่นๆและเมืองในหมู่เกาะชวา บาหลี มาดูรา อัมบอน บอร์เนียว และซูลู จะไม่ส่งสำเภามาไม่ต่ำกว่า 10,000 ลำ ยังไม่นับเรือเล็กเรือน้อยซึ่งเข้ามาคลาคล่ำในแม่น้ำและท่าเรือทุกแห่ง...”   
ภูมิรัฐศาสตร์ของสยามอยู่ในทำเลการค้าที่ดีและมีกลไกในการจัดการการค้าที่มีประสิทธิภาพ สร้างความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ดังที่ เฟอร์เนา เมนเตซ ปินตู (Femao Mendez Pinto) นักเดินเรือชาวโปรตุเกสบันทึกเรื่องเกี่ยวกับอยุธยาในสมัยสมเด็จพระไชยราชาไว้ว่า “...เมืองหลวงของราชอาณาจักรคือเมืองแห่งโอเดีย (Odiaa คืออยุธยา) ราชอาณาจักรนี้ร่ำรวยมาก และมีการค้าจำนวนมาก ไม่มีเลยสักปีเดียวที่เมืองอื่นๆและเมืองในหมู่เกาะชวา บาหลี มาดูรา อัมบอน บอร์เนียว และซูลู จะไม่ส่งสำเภามาไม่ต่ำกว่า 10,000 ลำ ยังไม่นับเรือเล็กเรือน้อยซึ่งเข้ามาคลาคล่ำในแม่น้ำและท่าเรือทุกแห่ง...”<ref>วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ, จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์, พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขปรับปรุง,(นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร,2555) , หน้า 13-14. </ref>  
รายได้จากการค้าคือการเก็บภาษีร้อยชัก 3 หรือร้อยชัก 5 สำหรับเรือที่เข้ามาครั้งแรก นอกจากการเก็บภาษีขาเข้ายังมี “จังกอบ” คือเก็บภาษีตามความกว้างของปากเรือ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ คิดความยาว 1 บาทต่อ 1 วา แต่เรือจะยาวเท่าไรถ้ากว้างเกิน 6 ศอก เสียเพิ่มศอกละ 6 บาท เรือที่กว้าง 4 วาขึ้นไป ถ้าเป็นเรือลูกค้าไทยเก็บค่าจังกอบ 16 บาทต่อ 1 วา ถ้าเป็นเรือจากทางไกล เป็นเรือฝรั่งเก็บ 20 บาทต่อ 1 วา ถึงสมัยรัตนโกสินทร์คงเก็บภาษีปากเรือ เอกสารจอห์น ครอว์ฟอร์ด อธิบายว่าภาษีปากเรือเก็บ 40 บาทต่อ 1 วาเรือฝรั่งเก็บ 118 บาทต่อ 1 วา เรือจากมลายูเก็บลำละ 130 บาท และเรือจากตะวันตกยังต้องเสียค่าทอดสมอ  
รายได้จากการค้าคือการเก็บภาษีร้อยชัก 3 หรือร้อยชัก 5 สำหรับเรือที่เข้ามาครั้งแรก นอกจากการเก็บภาษีขาเข้ายังมี “[[จังกอบ]]” คือเก็บภาษีตามความกว้างของปากเรือ ใน[[สมัยสมเด็จพระนารายณ์]] คิดความยาว 1 บาทต่อ 1 วา แต่เรือจะยาวเท่าไรถ้ากว้างเกิน 6 ศอก เสียเพิ่มศอกละ 6 บาท เรือที่กว้าง 4 วาขึ้นไป ถ้าเป็นเรือลูกค้าไทยเก็บค่าจังกอบ 16 บาทต่อ 1 วา ถ้าเป็นเรือจากทางไกล เป็นเรือฝรั่งเก็บ 20 บาทต่อ 1 วา ถึงสมัยรัตนโกสินทร์คงเก็บภาษีปากเรือ เอกสารจอห์น ครอว์ฟอร์ด อธิบายว่าภาษีปากเรือเก็บ 40 บาทต่อ 1 วาเรือฝรั่งเก็บ 118 บาทต่อ 1 วา เรือจากมลายูเก็บลำละ 130 บาท และเรือจากตะวันตกยังต้องเสียค่าทอดสมอ<ref>สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์,(กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549), หน้า 131-132. </ref>


==เมืองท่าสำคัญของอยุธยา==
==เมืองท่าสำคัญของอยุธยา==
อยุธยาตั้งอยู่บริเวณปากน้ำเจ้าพระยา ซึ่งควบคุมเส้นทางการค้าในการค้าขายระหว่างจีนกับชาติตะวันตก ชาติตะวันตกใช้อยุธยาเป็นสถานีการค้านำสินค้าไปขายจีนและนำของจากจีนไปขายต่อ  แต่การที่อยุธยาตั้งลึกไปในแผ่นดินทำให้ต้องมีเมืองท่าไว้ทำการค้าทางทะเล  อยุธยามีเมืองท่า 2 แห่ง คือมะริดและเมืองท่าเล็กๆ ทางฝั่งทะเลทางใต้  
 
อยุธยาตั้งอยู่บริเวณปากน้ำเจ้าพระยา ซึ่งควบคุมเส้นทางการค้าในการค้าขายระหว่างจีนกับชาติตะวันตก ชาติตะวันตกใช้อยุธยาเป็นสถานีการค้านำสินค้าไปขายจีนและนำของจากจีนไปขายต่อ  แต่การที่อยุธยาตั้งลึกไปในแผ่นดินทำให้ต้องมีเมืองท่าไว้ทำการค้าทางทะเล  อยุธยามีเมืองท่า 2 แห่ง คือมะริดและเมืองท่าเล็กๆ ทางฝั่งทะเลทางใต้<ref>เพิ่งอ้าง ,หน้า 130 . </ref>
 
 
1. เมืองมะริดและตะนาวศรี เป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญของอยุธยา เป็นทางออกทะเลด้านอ่าวเบงกอลเพื่อติดต่อกับเมืองเบงกอลและชายฝั่งโคโรมันเดล ซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย การค้าด้านอ่าวเบงกอลเป็นการค้าสำคัญของกรุงศรีอยุธยาอีกด้านหนึ่ง สินค้าเหล่านี้จะมาจำหน่ายในอยุธยา ดินแดนตอนในและส่งไปขายในจีนและญี่ปุ่น เช่น ทองแดง ปรอท สีย้อมผ้า ผ้าไหม กำมะหยี่ หญ้าฝรั่น ปะการัง น้ำกุหลาบจากโมซาบรรจุในขวดทำด้วยทองแดงผสมดีบุก และฝิ่น   
1. เมืองมะริดและตะนาวศรี เป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญของอยุธยา เป็นทางออกทะเลด้านอ่าวเบงกอลเพื่อติดต่อกับเมืองเบงกอลและชายฝั่งโคโรมันเดล ซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย การค้าด้านอ่าวเบงกอลเป็นการค้าสำคัญของกรุงศรีอยุธยาอีกด้านหนึ่ง สินค้าเหล่านี้จะมาจำหน่ายในอยุธยา ดินแดนตอนในและส่งไปขายในจีนและญี่ปุ่น เช่น ทองแดง ปรอท สีย้อมผ้า ผ้าไหม กำมะหยี่ หญ้าฝรั่น ปะการัง น้ำกุหลาบจากโมซาบรรจุในขวดทำด้วยทองแดงผสมดีบุก และฝิ่น<ref>วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ,จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์, หน้า 27-28. </ref>  


เรือสินค้าที่เข้ามาเทียบท่าเมืองมะริดต้องการสินค้าจากจีนและของป่าจากอยุธยา เพื่อนำไปค้าในอ่าวเบง กอล มะละกา พ่อค้าจากเปอร์เชีย อินเดีย อาหรับ ที่เข้ามาทำการค้ากับอยุธยา ได้ตั้งถิ่นฐานที่มะละกาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 22  
เรือสินค้าที่เข้ามาเทียบท่าเมืองมะริดต้องการสินค้าจากจีนและของป่าจากอยุธยา เพื่อนำไปค้าในอ่าวเบง กอล มะละกา พ่อค้าจากเปอร์เชีย อินเดีย อาหรับ ที่เข้ามาทำการค้ากับอยุธยา ได้ตั้งถิ่นฐานที่มะละกาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 22  
บรรทัดที่ 21: บรรทัดที่ 22:
อยุธยาต้องทำสงครามกับพม่าหลายครั้งเพื่อชิงเมืองมะริดและตะนาวศรีกับมอญและพม่า เมืองท่ามะริด-ตะนาวศรีเสียแก่พม่าในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก พ.ศ.2112 แต่สมเด็จพระนเรศวรได้ตีเมืองกลับคืนมา
อยุธยาต้องทำสงครามกับพม่าหลายครั้งเพื่อชิงเมืองมะริดและตะนาวศรีกับมอญและพม่า เมืองท่ามะริด-ตะนาวศรีเสียแก่พม่าในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก พ.ศ.2112 แต่สมเด็จพระนเรศวรได้ตีเมืองกลับคืนมา
 
 
การจัดการหัวเมืองมะริดและตะนาวศรี ถูกจัดเป็นหัวเมืองพระยามหานครในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และเมื่อพระนเรศวรทรงจัดระเบียบการปกครองใหม่ได้จัดให้เป็นหัวเมืองชั้นโท  
การจัดการหัวเมืองมะริดและตะนาวศรี ถูกจัดเป็นหัวเมืองพระยามหานครในสมัย[[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]] และเมื่อ[[พระนเรศวร]]ทรงจัดระเบียบการปกครองใหม่ได้จัดให้เป็น[[หัวเมืองชั้นโท]]<ref>สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, หน้า 29,33. </ref>  
 
 
2. เมืองปัตตานี เป็นเมืองท่าทางคาบสมุทรมลายูฝั่งตะวันออก จะทำการค้ากับหมู่เกาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกัมพูชา เรือจากกัมพูชาจะนำสินค้าประเภทหนังกวาง ยางไม้และสินค้าอื่นๆมาขาย หลังจากมะละกาตกเป็นของโปรตุเกสใน พ.ศ.2054 ปัตตานีมีความสำคัญในฐานะเมืองท่ามากขึ้น การค้าส่วนที่เคยส่งไปมะละกาได้ย้ายมาอยู่ที่ปัตตานี เรือพ่อค้าต่างชาติจากจีน ชวา ริวกิว และเมืองจากหมู่เกาะมาทำการค้าที่ปัตตานีมากขึ้นแม้แต่เรือของพ่อค้าโปรตุเกส สำเภาจีนที่มาจากกวางตุ้งและเอ้หมึงมาซื้อสินค้าจากปัตตานีเพื่อนำไปขายยังญี่ปุ่น เรือจีนนิยมมาที่เมืองท่าชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมลายูนำผ้าไหมและเครื่องกระเบื้องจีนมาแลกกับ เครื่องเทศ ดีบุก งาช้าง นอแรด ไม้ฝางและข้าว ปัตตานียังมีสินค้าประเภทหนังวัว หนังกวาง น้ำตาล น้ำผึ้ง การบูร รังนกและยาดำ
2. เมืองปัตตานี เป็นเมืองท่าทางคาบสมุทรมลายูฝั่งตะวันออก จะทำการค้ากับหมู่เกาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกัมพูชา เรือจากกัมพูชาจะนำสินค้าประเภทหนังกวาง ยางไม้และสินค้าอื่นๆมาขาย หลังจากมะละกาตกเป็นของโปรตุเกสใน พ.ศ.2054 ปัตตานีมีความสำคัญในฐานะเมืองท่ามากขึ้น การค้าส่วนที่เคยส่งไปมะละกาได้ย้ายมาอยู่ที่ปัตตานี เรือพ่อค้าต่างชาติจากจีน ชวา ริวกิว และเมืองจากหมู่เกาะมาทำการค้าที่ปัตตานีมากขึ้นแม้แต่เรือของพ่อค้าโปรตุเกส สำเภาจีนที่มาจากกวางตุ้งและเอ้หมึงมาซื้อสินค้าจากปัตตานีเพื่อนำไปขายยังญี่ปุ่น เรือจีนนิยมมาที่เมืองท่าชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมลายูนำผ้าไหมและเครื่องกระเบื้องจีนมาแลกกับ เครื่องเทศ ดีบุก งาช้าง นอแรด ไม้ฝางและข้าว ปัตตานียังมีสินค้าประเภทหนังวัว หนังกวาง น้ำตาล น้ำผึ้ง การบูร รังนกและยาดำ
   
   
นับแต่พุทธศตวรรษที่ 22 เรือสินค้าจากอยุธยาและปัตตานีมีการทำการค้ากันเป็นประจำ สินค้าจากปัตตานีที่เป็นสินค้าสำคัญเช่น เครื่องเทศและพริกไทย   
นับแต่พุทธศตวรรษที่ 22 เรือสินค้าจากอยุธยาและปัตตานีมีการทำการค้ากันเป็นประจำ สินค้าจากปัตตานีที่เป็นสินค้าสำคัญเช่น เครื่องเทศและพริกไทย<ref>วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ, จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์, หน้า 26-27. </ref>  
   
   
การจัดการปกครองเมืองปัตตานี ถูกจัดเป็นเมืองประเทศราชตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จนถึง พ.ศ.2438 ปัตตานีจึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลนครศรีธรรมราชและใน พ.ศ.2449 ได้แยกออกเป็นมณฑลปัตตานี   
การจัดการปกครองเมืองปัตตานี ถูกจัดเป็นเมืองประเทศราชตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จนถึง พ.ศ.2438 ปัตตานีจึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลนครศรีธรรมราชและใน พ.ศ.2449 ได้แยกออกเป็นมณฑลปัตตานี<ref>สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, 2545) ,หน้า 191. </ref>  
 
 
3.เมืองมะละกา เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของอุษาคเนย์ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-20 ในสมัยอยุธยา มะละกาเป็นแหล่งระบายสินค้าและแหล่งซื้อสินค้าที่สำคัญ อยุธยาส่งข้าวและอาหารจำนวนมากไปขายให้แก่มะละกา บางปีมีเรือสินค้าจากอยุธยาไปยังมะละกาถึง 30 ลำ สินค้าที่ส่งไปขายเช่น ข้าว เกลือ ปลาเค็ม เหล้าทำจากมะพร้าวและผัก ของจากป่าจำพวก ครั่ง กำยาน ไม้ฝาง ตะกั่ว ดีบุก เงิน ทองคำ งาช้าง ราชพฤกษ์ กระปุกทองแดงและกระปุกทอง แหวนทองฝังทับทิมและเพชร และผ้าเนื้อหยาบ เที่ยวกลับเรือสินค้าเหล่านี้จะบรรทุกสินค้าจากจีนและอินเดียกลับเข้ามา เช่น ปรอท ไม้จันทน์ขาว พริกไทย ชาด ฝิ่น การพลู ดอกจันทน์เทศ ผ้ามัสลิน ผ้าจากเมืองกลิงคราษฎร์ซึ่งนำมาทำผ้านุ่ง ผ้าขนอูฐน้ำหอม พรม ผ้าลูกไม้จากแคมเบย์ ขี้ผึ้ง การบูรบอร์เนียว ยางไม้เบญกานี
3.เมืองมะละกา เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของอุษาคเนย์ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-20 ในสมัยอยุธยา มะละกาเป็นแหล่งระบายสินค้าและแหล่งซื้อสินค้าที่สำคัญ อยุธยาส่งข้าวและอาหารจำนวนมากไปขายให้แก่มะละกา บางปีมีเรือสินค้าจากอยุธยาไปยังมะละกาถึง 30 ลำ สินค้าที่ส่งไปขายเช่น ข้าว เกลือ ปลาเค็ม เหล้าทำจากมะพร้าวและผัก ของจากป่าจำพวก ครั่ง กำยาน ไม้ฝาง ตะกั่ว ดีบุก เงิน ทองคำ งาช้าง ราชพฤกษ์ กระปุกทองแดงและกระปุกทอง แหวนทองฝังทับทิมและเพชร และผ้าเนื้อหยาบ เที่ยวกลับเรือสินค้าเหล่านี้จะบรรทุกสินค้าจากจีนและอินเดียกลับเข้ามา เช่น ปรอท ไม้จันทน์ขาว พริกไทย ชาด ฝิ่น การพลู ดอกจันทน์เทศ ผ้ามัสลิน ผ้าจากเมืองกลิงคราษฎร์ซึ่งนำมาทำผ้านุ่ง ผ้าขนอูฐน้ำหอม พรม ผ้าลูกไม้จากแคมเบย์ ขี้ผึ้ง การบูรบอร์เนียว ยางไม้เบญกานี<ref>วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ,จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์, หน้า 23-25. </ref>
    
    
ความสำคัญของมะละกาในฐานะศูนย์กลางทางการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้อยุธยาต้องการได้เมืองมะละกาไว้ใต้อิทธิพล ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มะละกาถูกกำหนดให้เป็น 1 ใน 4 หัวเมืองทางใต้ที่เป็นเมืองประเทศราชต้องถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทอง   
ความสำคัญของมะละกาในฐานะศูนย์กลางทางการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้อยุธยาต้องการได้เมืองมะละกาไว้ใต้อิทธิพล ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มะละกาถูกกำหนดให้เป็น 1 ใน 4 หัวเมืองทางใต้ที่เป็นเมืองประเทศราชต้องถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทอง<ref>สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, หน้า 30. </ref>  


แต่มะละกาถูกโปรตุเกสเข้ายึดครองใน พ.ศ.2054 ทำให้สยามใช้ปัตตานีเป็นเมืองท่าสำคัญแทนมะละกา
แต่มะละกาถูกโปรตุเกสเข้ายึดครองใน พ.ศ.2054 ทำให้สยามใช้ปัตตานีเป็นเมืองท่าสำคัญแทนมะละกา
บรรทัดที่ 37: บรรทัดที่ 38:
เมืองท่าจึงเป็นสถานีการค้าทางทะเลที่นำความมั่งคั่งมาให้กับราชธานี ส่งผลให้มีการสั่งสมความมั่งคั่ง เรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม และติดต่อสร้างสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ
เมืองท่าจึงเป็นสถานีการค้าทางทะเลที่นำความมั่งคั่งมาให้กับราชธานี ส่งผลให้มีการสั่งสมความมั่งคั่ง เรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม และติดต่อสร้างสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ
   
   
==อ้างอิง==
<references/>
==บรรณานุกรม==
==บรรณานุกรม==



รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 11:36, 7 ธันวาคม 2557

เรียบเรียงโดย : อาจารย์บุญยเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล


หัวเมืองที่เป็นเมืองท่าหมายถึง เมืองที่มีการติดต่อเคลื่อนไหวที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ทั้งการค้าขาย ส่งผ่านผ่านสินค้าไปต่างประเทศ ทำให้เกิดความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เมืองท่าที่สำคัญคือมะริด-ตะนาวศรี ,ปัตตานีและมะละกา

ความสำคัญ

ภูมิรัฐศาสตร์ของสยามอยู่ในทำเลการค้าที่ดีและมีกลไกในการจัดการการค้าที่มีประสิทธิภาพ สร้างความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ดังที่ เฟอร์เนา เมนเตซ ปินตู (Femao Mendez Pinto) นักเดินเรือชาวโปรตุเกสบันทึกเรื่องเกี่ยวกับอยุธยาในสมัยสมเด็จพระไชยราชาไว้ว่า “...เมืองหลวงของราชอาณาจักรคือเมืองแห่งโอเดีย (Odiaa คืออยุธยา) ราชอาณาจักรนี้ร่ำรวยมาก และมีการค้าจำนวนมาก ไม่มีเลยสักปีเดียวที่เมืองอื่นๆและเมืองในหมู่เกาะชวา บาหลี มาดูรา อัมบอน บอร์เนียว และซูลู จะไม่ส่งสำเภามาไม่ต่ำกว่า 10,000 ลำ ยังไม่นับเรือเล็กเรือน้อยซึ่งเข้ามาคลาคล่ำในแม่น้ำและท่าเรือทุกแห่ง...”[1]

รายได้จากการค้าคือการเก็บภาษีร้อยชัก 3 หรือร้อยชัก 5 สำหรับเรือที่เข้ามาครั้งแรก นอกจากการเก็บภาษีขาเข้ายังมี “จังกอบ” คือเก็บภาษีตามความกว้างของปากเรือ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ คิดความยาว 1 บาทต่อ 1 วา แต่เรือจะยาวเท่าไรถ้ากว้างเกิน 6 ศอก เสียเพิ่มศอกละ 6 บาท เรือที่กว้าง 4 วาขึ้นไป ถ้าเป็นเรือลูกค้าไทยเก็บค่าจังกอบ 16 บาทต่อ 1 วา ถ้าเป็นเรือจากทางไกล เป็นเรือฝรั่งเก็บ 20 บาทต่อ 1 วา ถึงสมัยรัตนโกสินทร์คงเก็บภาษีปากเรือ เอกสารจอห์น ครอว์ฟอร์ด อธิบายว่าภาษีปากเรือเก็บ 40 บาทต่อ 1 วาเรือฝรั่งเก็บ 118 บาทต่อ 1 วา เรือจากมลายูเก็บลำละ 130 บาท และเรือจากตะวันตกยังต้องเสียค่าทอดสมอ[2]

เมืองท่าสำคัญของอยุธยา

อยุธยาตั้งอยู่บริเวณปากน้ำเจ้าพระยา ซึ่งควบคุมเส้นทางการค้าในการค้าขายระหว่างจีนกับชาติตะวันตก ชาติตะวันตกใช้อยุธยาเป็นสถานีการค้านำสินค้าไปขายจีนและนำของจากจีนไปขายต่อ แต่การที่อยุธยาตั้งลึกไปในแผ่นดินทำให้ต้องมีเมืองท่าไว้ทำการค้าทางทะเล อยุธยามีเมืองท่า 2 แห่ง คือมะริดและเมืองท่าเล็กๆ ทางฝั่งทะเลทางใต้[3]

1. เมืองมะริดและตะนาวศรี เป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญของอยุธยา เป็นทางออกทะเลด้านอ่าวเบงกอลเพื่อติดต่อกับเมืองเบงกอลและชายฝั่งโคโรมันเดล ซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย การค้าด้านอ่าวเบงกอลเป็นการค้าสำคัญของกรุงศรีอยุธยาอีกด้านหนึ่ง สินค้าเหล่านี้จะมาจำหน่ายในอยุธยา ดินแดนตอนในและส่งไปขายในจีนและญี่ปุ่น เช่น ทองแดง ปรอท สีย้อมผ้า ผ้าไหม กำมะหยี่ หญ้าฝรั่น ปะการัง น้ำกุหลาบจากโมซาบรรจุในขวดทำด้วยทองแดงผสมดีบุก และฝิ่น[4]

เรือสินค้าที่เข้ามาเทียบท่าเมืองมะริดต้องการสินค้าจากจีนและของป่าจากอยุธยา เพื่อนำไปค้าในอ่าวเบง กอล มะละกา พ่อค้าจากเปอร์เชีย อินเดีย อาหรับ ที่เข้ามาทำการค้ากับอยุธยา ได้ตั้งถิ่นฐานที่มะละกาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 22

อยุธยาต้องทำสงครามกับพม่าหลายครั้งเพื่อชิงเมืองมะริดและตะนาวศรีกับมอญและพม่า เมืองท่ามะริด-ตะนาวศรีเสียแก่พม่าในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก พ.ศ.2112 แต่สมเด็จพระนเรศวรได้ตีเมืองกลับคืนมา

การจัดการหัวเมืองมะริดและตะนาวศรี ถูกจัดเป็นหัวเมืองพระยามหานครในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และเมื่อพระนเรศวรทรงจัดระเบียบการปกครองใหม่ได้จัดให้เป็นหัวเมืองชั้นโท[5]

2. เมืองปัตตานี เป็นเมืองท่าทางคาบสมุทรมลายูฝั่งตะวันออก จะทำการค้ากับหมู่เกาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกัมพูชา เรือจากกัมพูชาจะนำสินค้าประเภทหนังกวาง ยางไม้และสินค้าอื่นๆมาขาย หลังจากมะละกาตกเป็นของโปรตุเกสใน พ.ศ.2054 ปัตตานีมีความสำคัญในฐานะเมืองท่ามากขึ้น การค้าส่วนที่เคยส่งไปมะละกาได้ย้ายมาอยู่ที่ปัตตานี เรือพ่อค้าต่างชาติจากจีน ชวา ริวกิว และเมืองจากหมู่เกาะมาทำการค้าที่ปัตตานีมากขึ้นแม้แต่เรือของพ่อค้าโปรตุเกส สำเภาจีนที่มาจากกวางตุ้งและเอ้หมึงมาซื้อสินค้าจากปัตตานีเพื่อนำไปขายยังญี่ปุ่น เรือจีนนิยมมาที่เมืองท่าชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมลายูนำผ้าไหมและเครื่องกระเบื้องจีนมาแลกกับ เครื่องเทศ ดีบุก งาช้าง นอแรด ไม้ฝางและข้าว ปัตตานียังมีสินค้าประเภทหนังวัว หนังกวาง น้ำตาล น้ำผึ้ง การบูร รังนกและยาดำ

นับแต่พุทธศตวรรษที่ 22 เรือสินค้าจากอยุธยาและปัตตานีมีการทำการค้ากันเป็นประจำ สินค้าจากปัตตานีที่เป็นสินค้าสำคัญเช่น เครื่องเทศและพริกไทย[6]

การจัดการปกครองเมืองปัตตานี ถูกจัดเป็นเมืองประเทศราชตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จนถึง พ.ศ.2438 ปัตตานีจึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลนครศรีธรรมราชและใน พ.ศ.2449 ได้แยกออกเป็นมณฑลปัตตานี[7]

3.เมืองมะละกา เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของอุษาคเนย์ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-20 ในสมัยอยุธยา มะละกาเป็นแหล่งระบายสินค้าและแหล่งซื้อสินค้าที่สำคัญ อยุธยาส่งข้าวและอาหารจำนวนมากไปขายให้แก่มะละกา บางปีมีเรือสินค้าจากอยุธยาไปยังมะละกาถึง 30 ลำ สินค้าที่ส่งไปขายเช่น ข้าว เกลือ ปลาเค็ม เหล้าทำจากมะพร้าวและผัก ของจากป่าจำพวก ครั่ง กำยาน ไม้ฝาง ตะกั่ว ดีบุก เงิน ทองคำ งาช้าง ราชพฤกษ์ กระปุกทองแดงและกระปุกทอง แหวนทองฝังทับทิมและเพชร และผ้าเนื้อหยาบ เที่ยวกลับเรือสินค้าเหล่านี้จะบรรทุกสินค้าจากจีนและอินเดียกลับเข้ามา เช่น ปรอท ไม้จันทน์ขาว พริกไทย ชาด ฝิ่น การพลู ดอกจันทน์เทศ ผ้ามัสลิน ผ้าจากเมืองกลิงคราษฎร์ซึ่งนำมาทำผ้านุ่ง ผ้าขนอูฐน้ำหอม พรม ผ้าลูกไม้จากแคมเบย์ ขี้ผึ้ง การบูรบอร์เนียว ยางไม้เบญกานี[8]

ความสำคัญของมะละกาในฐานะศูนย์กลางทางการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้อยุธยาต้องการได้เมืองมะละกาไว้ใต้อิทธิพล ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มะละกาถูกกำหนดให้เป็น 1 ใน 4 หัวเมืองทางใต้ที่เป็นเมืองประเทศราชต้องถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทอง[9]

แต่มะละกาถูกโปรตุเกสเข้ายึดครองใน พ.ศ.2054 ทำให้สยามใช้ปัตตานีเป็นเมืองท่าสำคัญแทนมะละกา

เมืองท่าจึงเป็นสถานีการค้าทางทะเลที่นำความมั่งคั่งมาให้กับราชธานี ส่งผลให้มีการสั่งสมความมั่งคั่ง เรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม และติดต่อสร้างสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ

อ้างอิง

  1. วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ, จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์, พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขปรับปรุง,(นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร,2555) , หน้า 13-14.
  2. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์,(กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549), หน้า 131-132.
  3. เพิ่งอ้าง ,หน้า 130 .
  4. วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ,จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์, หน้า 27-28.
  5. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, หน้า 29,33.
  6. วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ, จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์, หน้า 26-27.
  7. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, 2545) ,หน้า 191.
  8. วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ,จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์, หน้า 23-25.
  9. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, หน้า 30.

บรรณานุกรม

วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ,จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์,พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขปรับปรุง, นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร,2555.

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, 2545.

เอกสารอ่านเพิ่มเติม

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.

วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ, จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์,พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขปรับปรุง, นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร,2555.