ผลต่างระหว่างรุ่นของ "6 มีนาคม พ.ศ. 2518"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 1 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:


----
----
วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่รัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช ไม่ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว. เสนีย์  ปราโมช เกิดขึ้นมาจากผลของการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518  
วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่[[รัฐบาลเสียงข้างน้อย]]ของ[[นายกรัฐมนตรี]] [[เสนีย์  ปราโมช|ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช]] ไม่ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว. เสนีย์  ปราโมช เกิดขึ้นมาจากผลของ[[การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518]]
ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง คือได้เสียง 72 เสียง จากเสียงทั้งหมด 269 เสียง
ที่[[ประชาธิปัตย์|พรรคประชาธิปัตย์]]ได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง คือได้เสียง 72 เสียง จากเสียงทั้งหมด 269 เสียง


ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี มีพรรคเกษตรสังคมเป็นพรรคแนวทางกลาง ที่มีเสียงในสภาผู้แทนราษฎร อยู่ 19 เสียงมาร่วมรัฐบาล จึงเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยมีเสียงอยู่เพียง 91 เสียง
ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล [[หัวหน้าพรรค]]ประชาธิปัตย์ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี มี[[พรรคเกษตรสังคม]]เป็นพรรคแนวทางกลาง ที่มีเสียงใน[[สภาผู้แทนราษฎร]] อยู่ 19 เสียงมาร่วมรัฐบาล จึงเป็น[[รัฐบาลเสียงข้างน้อย]]มีเสียงอยู่เพียง 91 เสียง


แม้จะมีเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร แต่ทางรัฐบาลหวังว่าพรรคการเมืองอีกหลายพรรคที่เป็นพรรคเล็กที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลจะไว้วางใจให้รัฐบาลของตนได้บริหารประเทศ เพราะกล่าวกันว่าตอนที่จัดตั้งรัฐบาลนั้นทางผู้จัดตั้งได้ไปชักชวนทาบทามกันบ้างแล้ว แต่พรรคการเมืองที่ได้รับการชักชวนไม่ได้คัดค้าน เพียงไม่ขอร่วมเป็นรัฐบาล
แม้จะมีเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร แต่ทางรัฐบาลหวังว่า[[พรรคการเมือง]]อีกหลายพรรคที่เป็นพรรคเล็กที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลจะไว้วางใจให้รัฐบาลของตนได้บริหารประเทศ เพราะกล่าวกันว่าตอนที่จัดตั้งรัฐบาลนั้นทางผู้จัดตั้งได้ไปชักชวนทาบทามกันบ้างแล้ว แต่พรรคการเมืองที่ได้รับการชักชวนไม่ได้คัดค้าน เพียงไม่ขอร่วมเป็นรัฐบาล


เมื่อตั้งรัฐบาลเสร็จ จัดทำนโยบายของรัฐบาลแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงนำคณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อสภา เพื่อขอความไว้วางใจ หลังจากการอภิปรายเสร็จและมีการออกเสียงลงมติในวันต่อมา ปรากฏว่าเสียงที่ไว้วางใจรัฐบาลมีอยู่เพียง 111 เสียง มากกว่าเสียงที่พรรครัฐบาล 2 พรรครวมกันอยู่ 20 เสียง ซึ่งก็ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของเสียงทั้งสภา
เมื่อตั้งรัฐบาลเสร็จ จัดทำนโยบายของรัฐบาลแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงนำคณะรัฐมนตรีเข้า[[แถลงนโยบายต่อสภา]] เพื่อขอความไว้วางใจ หลังจาก[[การอภิปราย]]เสร็จและมี[[การออกเสียงลงมติ]]ในวันต่อมา ปรากฏว่าเสียงที่ไว้วางใจรัฐบาลมีอยู่เพียง 111 เสียง มากกว่าเสียงที่พรรครัฐบาล 2 พรรครวมกันอยู่ 20 เสียง ซึ่งก็ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของเสียงทั้งสภา
แต่เสียงไม่ไว้วางใจนั้นมีมากถึง 152 เสียง
แต่เสียงไม่ไว้วางใจนั้นมีมากถึง 152 เสียง
ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่ได้รับเสียงไว้วางใจ ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ  นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไม่ได้เสียงไว้วางใจ ต่อจากนั้นจึงมีการตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐบาลใหม่ที่มีนายกรัฐมนตรี ชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช เข้ามาบริหารประเทศโดยได้รับความไว้วางใจด้วยคะแนนเสียง 140 เสียง
ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่ได้รับเสียงไว้วางใจ ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ  นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไม่ได้เสียงไว้วางใจ ต่อจากนั้นจึงมีการตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐบาลใหม่ที่มีนายกรัฐมนตรี ชื่อ [[คึกฤทธิ์  ปราโมช|ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช]] เข้ามาบริหารประเทศโดยได้รับความไว้วางใจด้วยคะแนนเสียง 140 เสียง


หลังจากนั้นรัฐธรรมนูญของไทยที่มีต่อมาจึงตัดเรื่องการขอมติไว้วางใจรัฐบาลในโอกาสแรกออกเหลือเพียงว่า
หลังจากนั้นรัฐธรรมนูญของไทยที่มีต่อมาจึงตัดเรื่องการขอมติไว้วางใจรัฐบาลในโอกาสแรกออกเหลือเพียงว่า

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:08, 14 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่รัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ไม่ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เกิดขึ้นมาจากผลของการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง คือได้เสียง 72 เสียง จากเสียงทั้งหมด 269 เสียง

ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี มีพรรคเกษตรสังคมเป็นพรรคแนวทางกลาง ๆ ที่มีเสียงในสภาผู้แทนราษฎร อยู่ 19 เสียงมาร่วมรัฐบาล จึงเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยมีเสียงอยู่เพียง 91 เสียง

แม้จะมีเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร แต่ทางรัฐบาลหวังว่าพรรคการเมืองอีกหลายพรรคที่เป็นพรรคเล็กที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลจะไว้วางใจให้รัฐบาลของตนได้บริหารประเทศ เพราะกล่าวกันว่าตอนที่จัดตั้งรัฐบาลนั้นทางผู้จัดตั้งได้ไปชักชวนทาบทามกันบ้างแล้ว แต่พรรคการเมืองที่ได้รับการชักชวนไม่ได้คัดค้าน เพียงไม่ขอร่วมเป็นรัฐบาล

เมื่อตั้งรัฐบาลเสร็จ จัดทำนโยบายของรัฐบาลแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงนำคณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อสภา เพื่อขอความไว้วางใจ หลังจากการอภิปรายเสร็จและมีการออกเสียงลงมติในวันต่อมา ปรากฏว่าเสียงที่ไว้วางใจรัฐบาลมีอยู่เพียง 111 เสียง มากกว่าเสียงที่พรรครัฐบาล 2 พรรครวมกันอยู่ 20 เสียง ซึ่งก็ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของเสียงทั้งสภา

แต่เสียงไม่ไว้วางใจนั้นมีมากถึง 152 เสียง

ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่ได้รับเสียงไว้วางใจ ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไม่ได้เสียงไว้วางใจ ต่อจากนั้นจึงมีการตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐบาลใหม่ที่มีนายกรัฐมนตรี ชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เข้ามาบริหารประเทศโดยได้รับความไว้วางใจด้วยคะแนนเสียง 140 เสียง

หลังจากนั้นรัฐธรรมนูญของไทยที่มีต่อมาจึงตัดเรื่องการขอมติไว้วางใจรัฐบาลในโอกาสแรกออกเหลือเพียงว่า

“คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภา โดยไม่มีการลงมติไว้วางใจ”